ตัวหนังย้อนกลับไปเมื่อหลายสิบปีก่อน สมัยที่คนผิวสี ยังถูกเหยียดจากคนขาว
และเป็นสมัยที่ดนตรีนั้นเฟื่องฟู หลายๆคนยังนิยมที่จะดูดนตรีสด ตามผับ บาร์ หรืองานเลี้ยงต่างๆ
เนื้อเรื่องย่อมีดังนี้
ตัวเอกของเรา "โทนี่ ลิป" ชายชาวอิตาเลี่ยนซึ่งเดิมทีก็ไม่ได้ชอบคนผิวสีเท่าไหร่
ปากจัด ใช้กำลังเก่ง กิริยาท่าทางค่อนข้างไปทางไร้มารยาท ถึงขั้นเลวทรามในบางจุด
แต่เค้าก็จัดการปัญหาเฉพาะหน้าเก่ง เอาตัวรอดเก่ง และ รักครอบครัวมากกว่าใคร
"ดอน เชอร์ลี่ย์" ชาย
"ผิวสี"ผู้ถูกเรียกว่า ดอกเตอร์เพราะเรียนจบปริญญาเอก ไม่ได้จบหมอแต่อย่างใด
นักดนตรีมากความสามารถ เกิดในชนชั้นสูง และเป็นนักดนตรีชื่อดังขนาดมีบ้านอยู่บนโรงแสดงสด
ถ้าเทียบสมัยนี้ก็น่าจะเป็นบนห้างดังๆ ต่างๆ
โทนี่ ต้องการหาเงินเพื่อไปประทังครอบครัว ส่วน เชอร์ลี่ย์ นั้นอยากจะหาคนขับรถสักคนเพื่อเดินสายทัวร์
ดนตรีของเค้าไปทั่วทั้งภาคใต้ ในประเทศ สหรัฐอเมริกา ซึ่งจะต้องแวะหลากหลายแห่งเป็นจำนวนมาก
แล้วมันเกี่ยวอะไรกับ Greenbook?
Greenbook คือหนังสือไกด์สำหรับคนผิวสี ว่าร้านไหนคนผิวสีสามารถเข้าไปใช้บริการได้ เข้าไปกินข้าวได้
เรื่องนี้แสดงให้เห็นชัดเจนว่า คนในสมัยนั้นเหยียดสีผิวกันรุนแรงขนาดไหน ถึงขั้นว่าต้องมี Guidebook แยกเลย
หลังจากนี้เป็น Spoil !!!
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ตัวหนังนั้นพาเราไปพบกับ การพัฒนาความสัมพันธ์ต่างๆของทั้งคู่ โดยแต่ละอย่างนั้นเป็นสิ่งง่ายๆ
โดยมีหลายๆฉากที่ประทับใจมากๆ เช่น ฉากที่โทนี่ลิปนั้นเล่นพนัน อยู่ แต่ เชอร์ลี่ย์ก็เข้ามาห้าม
ทั้งยังบอกอีกว่า ถ้าอยากได้เงิน ก็แค่บอกเค้า ไม่เห็นจำเป็นต้องไปเล่นพนัน แม้โทนี่จะบอกว่า
เล่นเพื่อเงิน ใครๆเค้าก็เล่นกัน แต่เชอร์ลี่ย์ก็สวนกลับทันทีว่า เพราะพวกเค้าไม่มีทางเลือก แต่คุณไม่
ตรงนี้ทำให้เห็นเลยว่า เชอร์ลี่ย์นั้น ถึงแม้จะไม่ชอบขี้หน้าโทนี่สักเท่าไหร่ แต่เค้าก็ไม่อยากให้ใครที่เค้าอยู่ด้วยตกต่ำลง
กลับกัน โทนี่ ที่ตอนแรกเห็นว่า เชอร์ลี่ย์นั้นเป็นเพียงเจ้านายผิวดำ แต่เมื่อเค้าเริ่มได้ฟังคำสั่งสอนของเชอร์ลี่ย์
โทนี่ก็ไม่ได้โง่เกินกว่าจะเข้าใจว่า เชอร์ลี่ย์พูดทุกอย่างนั้น มาจากใจที่ห่วงใยและอยากให้โทนี่เป็นคนที่ดีขึ้นจริงๆ
อีกทั้งโทนี่เองก็เริ่มสงสัย ว่าทำไมถึงต่อถ่อมาเล่นภาคใต้ขนาดนี้ ทั้งยังเริ่มโดนเหยียดหยามมากมาย
แม้กระทั่งห้องน้ำในบ้านคนขาวก็เข้าไม่ได้ ทำไมเค้ายังถึงตัดสินใจจะเล่นโชว์พวกนี้อีก ทำให้โทนี่เริ่มเข้าใจเค้ามากขึ้นทีละน้อย
ตัวหนังนั้นดำเนินไปเรื่อยๆ และโทนี่ก็ได้พบมุม แต่ละมุมของ เชอร์ลี่ย์ที่ปกปิดไว้ไม่มีใครรู้
ไม่ว่าจะเป็นมุมที่เหงา เพราะไม่มีเพื่อนยอมรับ มุมที่เค้าเป็นเพศที่สามที่สมัยนั้นมันไม่เป็นที่ยอมรับเอาเสียเลย
โดยจุดที่ทำให้เรารู้สึกแบบ เห้ย สุดว่ะ คือจุดที่ทั้งสองคนเพิ่งรอดจากการที่ตำรวจจับออกมาแล้ว
เพียงเพราะเชอร์ลี่ย์นั้นเป็นคนดำ และเชอร์ลี่ย์ก็ให้ประธานาธิปดีช่วยออกมา ซึ่งตอนแรกโทนี่ภูมิใจมากๆที่ได้ใช้เส้นสาย
แต่ตัวเชอร์ลี่ย์นั้นไม่ภูมิใจเอาเสียเลยเพราะเค้าต้องการต่อต้านความไม่เท่าเทียมนี้ด้วยเกียรติของเค้าที่ต้องการแสดงให้
คนผิวขาวเห็น ว่าคนผิวสีนั้นก็เป็นคนเหมือนกัน แต่ตัวโทนี่นั้นเองก็ประชดไปโดยไม่คิด และกล่าวว่าตัวเชอร์ลี่ย์นั้น
ไม่ได้สมควรเกิดเป็นคนผิวสีเลย ตัวโทนี่นั้น ยังย้ำอีกว่าตัวเค้านั้นเหมาะจะเป็นคนดำมากกว่าด้วยซ้ำ
เพราะเชอร์ลี่ย์ไม่เคยฟังเพลงของคนผิวสี และ กินอาหารแบบที่คนผิวสีส่วนใหญ่ทำ
และเชอร์ลี่ย์ระเบิดออกความใจใจออกมา ว่าตัวเค้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเค้าต้องทำตัวแบบไหน
สังคมที่เค้าอยู่ก็ไม่ยอมรับคนผิวสี แถมตัวเค้ายังไม่ใช่ผู้ชายอีก เค้าจึงไม่รู้ด้วยซ้ำ ว่าเค้าต้องทำตัวแบบไหน
หลังจากนั้นเราเห็นได้ชัดเลยว่าความสัมพันธุ์ในความเป็นเพื่อนของทั้งสองนั้นเพิ่มขึ้นมามาก
จากการที่เปิดใจคุยกันมากขึ้น มากขึ้นจนขนาดที่ว่า โทนี่ที่เป็นลูกจ้างนั้นอยากกลับบ้านให้ทันคริสมัสต์
แต่หิมะตกหนัก และเจ้าตัวขับกลับไม่ไหว เชอร์ลี่ย์ยังยอมที่จะขับกลับให้แทน เพื่อให้เจ้าตัวกลับทันวันคริสมัสต์
แม้ตอนแรก โทนี่จะทำเพื่อเงิน แต่สุดท้ายแล้ว ทั้งสองคนรู้ดีว่าเค้าได้เพื่อนที่จะหาจากที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว จากโลกนี้
โดยรวมแล้วเป็นหนังที่ดีมาก แม้ตัวหนังจะเป็นหนังที่บทฟังดูไม่ได้น่าดูขนาดนั้น
เพราะเป็นเพียงแค่การเดินทางของคนสองคน แต่หนังแสดงให้เราเห็นจริงๆว่า
ความสัมพันธ์ของคนเรา เวลามันพัฒนาไปถึงจุดนึง แม้วัฒนะธรรมและสังคมมันจะยังกีดกัน
แต่สุดท้ายแล้ว เรามองเห็นเกียรติของกันและกันด้วยหัวใจ ไม่ใช่สีผิว และ ฐานะ อีกต่อไป ...
โดยรวมแล้วเป็นหนังที่ดี และอยากให้ทุกคนได้ดูครับถ้ามีโอกาส รับรองไม่ผิดหวังแน่นอน ^ ^
[CR] [CR][Review] Green Book : กับคำถามว่าเกียรติของคุณคืออะไร? [Spoil เล็กน้อย]
และเป็นสมัยที่ดนตรีนั้นเฟื่องฟู หลายๆคนยังนิยมที่จะดูดนตรีสด ตามผับ บาร์ หรืองานเลี้ยงต่างๆ
เนื้อเรื่องย่อมีดังนี้
ตัวเอกของเรา "โทนี่ ลิป" ชายชาวอิตาเลี่ยนซึ่งเดิมทีก็ไม่ได้ชอบคนผิวสีเท่าไหร่
ปากจัด ใช้กำลังเก่ง กิริยาท่าทางค่อนข้างไปทางไร้มารยาท ถึงขั้นเลวทรามในบางจุด
แต่เค้าก็จัดการปัญหาเฉพาะหน้าเก่ง เอาตัวรอดเก่ง และ รักครอบครัวมากกว่าใคร
"ดอน เชอร์ลี่ย์" ชาย"ผิวสี"ผู้ถูกเรียกว่า ดอกเตอร์เพราะเรียนจบปริญญาเอก ไม่ได้จบหมอแต่อย่างใด
นักดนตรีมากความสามารถ เกิดในชนชั้นสูง และเป็นนักดนตรีชื่อดังขนาดมีบ้านอยู่บนโรงแสดงสด
ถ้าเทียบสมัยนี้ก็น่าจะเป็นบนห้างดังๆ ต่างๆ
โทนี่ ต้องการหาเงินเพื่อไปประทังครอบครัว ส่วน เชอร์ลี่ย์ นั้นอยากจะหาคนขับรถสักคนเพื่อเดินสายทัวร์
ดนตรีของเค้าไปทั่วทั้งภาคใต้ ในประเทศ สหรัฐอเมริกา ซึ่งจะต้องแวะหลากหลายแห่งเป็นจำนวนมาก
แล้วมันเกี่ยวอะไรกับ Greenbook?
Greenbook คือหนังสือไกด์สำหรับคนผิวสี ว่าร้านไหนคนผิวสีสามารถเข้าไปใช้บริการได้ เข้าไปกินข้าวได้
เรื่องนี้แสดงให้เห็นชัดเจนว่า คนในสมัยนั้นเหยียดสีผิวกันรุนแรงขนาดไหน ถึงขั้นว่าต้องมี Guidebook แยกเลย
หลังจากนี้เป็น Spoil !!!
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
โดยรวมแล้วเป็นหนังที่ดีมาก แม้ตัวหนังจะเป็นหนังที่บทฟังดูไม่ได้น่าดูขนาดนั้น
เพราะเป็นเพียงแค่การเดินทางของคนสองคน แต่หนังแสดงให้เราเห็นจริงๆว่า
ความสัมพันธ์ของคนเรา เวลามันพัฒนาไปถึงจุดนึง แม้วัฒนะธรรมและสังคมมันจะยังกีดกัน
แต่สุดท้ายแล้ว เรามองเห็นเกียรติของกันและกันด้วยหัวใจ ไม่ใช่สีผิว และ ฐานะ อีกต่อไป ...
โดยรวมแล้วเป็นหนังที่ดี และอยากให้ทุกคนได้ดูครับถ้ามีโอกาส รับรองไม่ผิดหวังแน่นอน ^ ^
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้