สวัสดีค่ะชาวพันทิพ วันนี้เราจะมารีวิวการทำเลสิกค่ะ เนื่องจากไปทำแล้วประทับใจมาก ชีวิตเปลี่ยน โลกคมชัดค่ะ
ก่อนอื่นขอเกริ่นข้อมูลการทำเลสิกก่อนนะคะ
การทำเลสิก คือ การรักษาอาการสายตาสั้น ยาว เอียงค่ะ ซึ่งหลังการทำจะกลับมามองเห็นชัดเจนเหมือนสายตาปกติค่ะ
แต่ก็สามารถกลับไปสั่น ยาว เอียงได้อีก จากอายุและการใช้สายตาที่ผิดนะคะ
การทำเลสิกในปัจจุบันมี 4 แบบค่ะ ซึ่งขึ้นตอนก็จะเหมือนกันคือ > เปิดกระจกตา > ยิงเลเซอร์รักษา โดยทั้ง 4 แบบนี้ก็จะแตกต่างกันด้วยขั้นตอนการเปลี่ยนกระจกตานี่แหล่ะค่ะ
1. PRK จะเป็นการขูดผิวกระจกตาออก ก่อนจะยิงเลเซอร์เข้าไปรักษาค่ะ ซึ่งกระจกตาจะสร้างกลับขึ้นมาใหม่เอง เหมือนผิวหนังที่ถลอกค่ะ
(ค่ารักษา 33,000-35,000)
ข้อดี
- กระจกตาแข็งแรง เพราะไม่โดนผ่า แต่สร้างกลับมาใหม่เอง
- อาการข้างเคียงจากตาแห้งหลังทำ น้อย
ข้อเสีย
- ใช้เวลาพักฟื้นนานค่ะ อาจจะเคืองตาสัก 5-7 วัน
2. lasik แบบใช้ใบมีดเปิดและแยกชั้นกระจกตา การทำเลสิกแบบนี้ก็จะให้เครื่องMicrokeratomeในการเปิดและแยกชั้นกระจกตา ก่อนยิงเลเซอร์รักษา
แล้วจึงปิดกระจกตากลับค่ะ
(ค่ารักษา 38,000-40,000)

ข้อดี
- ฟื้นฟูไวค่ะ หลังทำอาจจะมีเคืองตา น้ำตาไหล แต่ตื่นเช้ามาก็ใช้ชีวิตได้ปกติค่ะ ไม่มีอาการเคืองเลย
ข้อเสีย
- เนื่องจากกระจกถูกเปิด ก็จะต้องระวังเรื่องการกระแทกค่ะ ในบางคนอาจจะเป็นเดือนหรือปี ที่กระจกตาจะปิดสนิทเหมือนเดิมค่ะ
- อาจจะมีอาการตาแห้งหลังทำ 1-2 เดือนค่ะ
3. Femto Lasik เป็นการทำเลสิกแบบเปิดและแยกชั้นกระจกด้วยเลเซอร์ค่ะ เหมือนแบบ 2 ต่างกันที่เปิดกระจกตาด้วยเลเซอร์
(ค่ารักษา 48,000-50,000)
ข้อดี
- ฟื้นฟูไวค่ะ หลังทำอาจจะมีเคืองตา น้ำตาไหล แต่ตื่นเช้ามาก็ใช้ชีวิตได้ปกติค่ะ ไม่มีอาการเคืองเลย
ข้อเสีย
- เนื่องจากกระจกถูกเปิด ก็จะต้องระวังเรื่องการกระแทกค่ะ ในบางคนอาจจะเป็นเดือนหรือปี ที่กระจกตาจะปิดสนิทเหมือนเดิมค่ะ
- อาจจะมีอาการตาแห้งหลังทำ 1-2 เดือนค่ะ
4. Relex แบบนี้เป็นแบบที่ดีที่สุดค่ะ ราคาก็สูงมาเช่นกัน เราเลยไม่ได้คิดทำค่ะ จึงอ่านข้อมูลแค่นิกหน่อย ขออธิบายเท่าที่เข้าใจนะคะ
การทำแบบนี้ ก็จะไม่มีการผ่าเปิดกระจกตาค่ะ แต่จะใช้เลเซอร์ยิงเปิดประมาณ 5-6 มิล แล้วจึงยิงเลเซอร์รักษาค่ะ ด้วยแผลที่เล็กมาก ผลค้างเคียงจึงน้อย แล้วก็ฟื้นฟูเร็วด้วยค่ะ
ข้อมูลก็จะประมาณนี้นะคะ ต่อมาก็จะขอเล่าประสบการณ์การทำเลสิกของเราค่ะ
ก่อนอื่นก็ต้องวิเคราะห์ตัวเองก่อนค่ะ ว่าตัวเองจะทำแบบไหน ที่ไหน
ซึ่งเราก็วิเคราะห์ดังนี้ค่ะ
1. ราคาที่รับได้ (เราวางงบที่ 30,000- 40,000 ค่ะ ซึ่งก็จะได้ PRK และ Lasik )
2. เครื่องมือที่ใช้ (อันนี้สำคัญมากนะคะ เพราะดวงตามีคู่เดียวเนาะ ความแม่นยำของเครื่องมือก็
สำคัญมากเลยทีเดียว จากที่ศึกษามามีทั้ง เครื่องรุ่นเก่าแต่อัพซอฟแวร์ใหม่อะไรงี้ , เราก็ต้องหา รพ.ที่เครื่องรุ่นใหม่ ซอฟแวร์ใหม่ค่ะ)
3. คุณหมอ (อันนี้ก็สำคัญมากๆเลยค่ะ เพราะเหมือนเราเอาดวงตาไปฝากไว้กับหมอ ต้องศึกษาคุณหมอที่เชี่ยวชาญและมีประสบการณ์ค่ะ)
4. ความสะอาด และ การบริการ (อันนี้เราเน้นเรื่องความสะอาดค่ะ เพราะตาอาจะเสี่ยงติดเชื้อได้)
สรุปจากทั้งหมด เราจึงเหลือตัวเลือก 3 ตัวเลือกค่ะ คือ
>>>> รพ.กลาง ค่าทำเลสิกอยู่ที่ 35,000- ค่าอื่นๆรวมน่าจะ 38,000 อันนี้จากการโทรถามทางโทรศัพท์นะคะ
>>>> รพ.ยันฮี ค่าทำเลสิกอยู่ที่ 38,000 ค่าอื่นๆรวมน่าจะ 40,000 ค่ะ
>>>> รพ.ลาดพร้าว ค่าทำเลสิกอยู่ที่ 38,000- มีค่าอะไรสักอย่างเพิ่ม 15,000 ค่ะ แต่มีโปรกด like&share เพจ เลยลดไปค่ะ
ซึ่งเราเลือกทำที่ รพ. ลาดพร้าวค่ะ ค่าใช้จ่ายรวมทั้งหมด 38,000- ค่ะ
เพราะงั้นขอพูดข้อดี-ข้อเสีย ของ เลสิก รพ.ลาดพร้าวนะคะ
ข้อดี
1. ศูนย์เลสิกของที่นี้เพิ่งเปิดใหม่ไม่นานค่ะ เครื่องเลยใหม่ เป็นรุ่นใหม่และซอฟแวร์ใหม่ค่ะ
2. คุณหมอค่ะ เราเลือกทำกับ พญ.ชญานี โพธิวงศาจารย์ เพราะคุณหมอเชี่ยวชาญด้านกระจกตาโดยตรงค่ะ เราค่อนข้างกลัวกับขั้นตอนการผ่าและแยกชั้นกระจกตา เลยเลือกหมอด้านกระจกตาดีดว่าค่ะ อุ่นใจดี ปล.คุณหมอน่ารักมากกกด้วยค่ะ
3. คนไม่เยอะมากค่ะ คุณหมอสามารถมีเวลาดูแลและรักษาเต็มที่ค่ะ
ข้อเสีย
1. การเดินทางค่ะ รถติดมากกกกกกกกก เนื่องจากมีการทำรถไฟฟ้า
2. เพิ่งเปิด รีวิว น้อยค่ะ เราหาข้อมูล รพ. นี้ไม่ค่อยมี แต่พอดีเพื่อนของน้าอยู่วงการนี้ค่ะ เลยให้ข้อมูลแต่ละที่มาให้เราเปรียบเทียบได้
มาค่ะ เข้าเรื่องกันดีกว่า เรานัดทำไปวันอาทิตย์ที่ 16 ธันวาคม 2018 ค่ะ กับ คุณหมอชญานี
ต้องไปถึงแต่เช้านะคะ ไปถึงก็แจ้งว่านัดมาทำเลสิกค่ะ พยาบาลก็จะให้ทำประวัติที่ชั้น G เสร็จก็ขึ้นไปที่ 4 ซึ่งเป็นศูนย์เลสิกค่ะ

นั่งรอสักพักก็จะได้รับการวัดค่าสายตา และความดันตาค่ะ โดยขั้นตอนนี้ของเราวัดโดยบุรุษพยาบาลนะคะ
ค่อนข้างละเอียดที่เดียว โดนถามซ้ำไปมาหลายรอบเลยค่ะ 555555
พอวัดเสร็จเรียบร้อย ก็ไปพบคุณหมอค่ะ คุณหมอจะวัดค่าสายตาเราอีกที จากนั้นก็วัดความหนากระจกตาค่ะ
ในขั้นตอนนี้คุณหมอ อธิบายว่า ถ้าคนไข้กระจกตาบาง คือหนาไม่พอที่จะทำเลสิกได้ ต้องทำแบบ PRK แทนค่ะ
ซึ่งของเราหนาปกติ สามารถทำได้ค่ะ ซึ่งตอนพบคุณหมอ คุณหมอน่ารักมากกก อธิบายดี

พบคุณหมอเสร็จก็ออกมารอข้างนอกก็จะมีพยาบาลมาหยอดยาชา และยาขยายม่านตา
อันนี้นั่งสักพัก จะมองไม่ชัดคือ คือเราสายตาสั้นแต่พอขยายแล้วมองใกล้มากๆก็ยังไม่ชัดค่ะ แล้วพยาบาลก็จะมาตรวจการขยายม่านตาอีกที พยาบาลบอกเป็นอาการปกติจากการขยายม่ายตาค่ะ ซึ่งหลังจากขยายแล้ว ต้องรอม่านตาหดกลับ ใช้เวลาประมาณ 1 ชม. พยาบาลเลยให้ไปทานอาหารกลางวัน
แล้วกลับมาทำเลสิกตอนบ่ายโมงค่ะ แล้วก็ไปจ่ายเงินที่ชั้น 1 ด้วยค่ะ
อาหารก็เรากินที่แบล๊คแคนยอนค่ะ ร้านอยู่ที่ชั้น G จิงๆมีตลาดด้วยนะคะ แต่เราขี้เกียจออกไป
พอกินเสร็จก็ไปจ่ายเงิน แล้วขึ้นไปรอทำเลสิกค่ะ
พอขึ้นไปสักพัก พยาบาล ก็จะเรียกเข้าไปให้ห้องเพื่ออธิบายเรื่องขั้นตอนการทำและการดูแลหลังการทำค่ะ
คร่าวๆก็จะ
- ห้ามน้ำเข้าตา 1 อาทิตย์ เพราะจะติดเชื้อ
- ใช้น้ำเกลือชุบสำลีเช็ดรอบดวงตา และ เช็กหน้า
- ห้ามขยี้ตา ตอนนอนใส่ที่ครอบตา
- ห้ามว่ายน้ำ 1 เดือน
- ห้ามแต่งตา 2 อาทิตย์
เสร็จก็เตรียมตัวแล้วค่ะ นั่งรอเตรียมผ่าตัด อันนี้ก็เป็นห้องที่นั่งรอค่ะ หลังประตูไปเป็นห้องผ่าตัด

เข้าไปตามคิวค่ะ แต่ละคิวกจะใช้เวลาประมาณ 15-20 นาทีค่ะ
นั่งรอคิวไป ที่ประทับใจคือพอถึงคิวเรา เรากลัวมากกกค่ะ เอาจริงๆคอนนั่งรอคือกลัวค่ะ นึกในใจไม่ทำแล้วได้ไหม 55555555555
แต่พยาบาลที่ออกมารับก็พูดปลอบค่ะ แบบมันจะไม่เจ็บนะคะ ไม่ต้องกลัว แต่มองแสงเลเซอร์เอาไว้ 10 นาทีก็เสร็จ
เอาค่ะ เราต้องทำได้ เข้าไปในห้องก็ขึ้นนอนบนเตียงค่ะ คุณหมอก็จะอธิบายทุกๆขั้นตอนที่ทำให้เรารับรู้
มันไม่เจ็บเลยจริงๆค่ะ ตอนเครื่องแยกชั้นกระจกตา ภาพจะเบลอหายไปแปบบนึง ไม่ต้องตกใจค่ะ นิ่งๆเข้าไว้
เพราะเดี่ยวพอเลเซอร์มา เราจะเห็นจุดเขียวกระพริบๆ คุณหมอบอกให้จ้องไว้ค่ะนิ่งๆ แล้วเลเซอร์แดงจะยิงๆๆ
แล้วคุณหมอก็ทำความสะอาด ปิดกระจกตากลับ เสร็จเรียบร้อยค่ะ คุณหมอมือเบามากกกก
แล้วคุณหมอก็จะตรวจการปิดของกระจกตาอีกครั้งค่ะ เราก็ขอถ่ายรูปหลังทำเสร็จกับหมอ 1 รูปค่ะ

ขอบคุณที่ทำให้โลกชัดค่ะหมออ
หลังจากนั้นก็รอบนัดค่ะ จะมีนัดวันรุ่งขึ้น 1 สัปดาห์ และ 1 เดือนค่ะ
และพยาบาลก็แจ้งว่าหลังจากนี้ 1 ปี ถ้ามีค่าสายตาอีกสามารถมายิงรักษาเพิ่มฟรีค่ะ
จบแล้วค่ะรีวิวการทำเลสิก ไม่น่ากลัวอย่างที่คิดเลยค่ะ ถือว่าคุ้มมากๆๆกับการรักษานี้ โดยเฉพาะสำหรับเรา เพราะเราชอบเที่ยวมากกกกค่ะ
เพราะงั้นเวลาไปเดินป่า ขึ้นดอย หรือกางเต้นท์ ใส่แว่นเราไม่ค่อยสะดวกค่ะ เลื่อน ไหล หลุดบ่อย
ส่วนคอนแทคก็ใส่จนตาแห้งค่ะ เนื่องด้วยบางวันใส่ติดต่อกันนาน เลสิกจึงเป็นทางออกที่ดีมากของเราค่ะ ชีวิตสดใสเลย
ก็เลยขอแนะนำคนที่ชอบเที่ยวแบบเราค่ะ เราว่ามันสะดวกมาก ว่าแล้วก็แพคกระเป๋าไปเที่ยวปีใหม่กันค่ะ
[CR] การทำเลสิก รพ ลาดพร้าว
ก่อนอื่นขอเกริ่นข้อมูลการทำเลสิกก่อนนะคะ
การทำเลสิก คือ การรักษาอาการสายตาสั้น ยาว เอียงค่ะ ซึ่งหลังการทำจะกลับมามองเห็นชัดเจนเหมือนสายตาปกติค่ะ
แต่ก็สามารถกลับไปสั่น ยาว เอียงได้อีก จากอายุและการใช้สายตาที่ผิดนะคะ
การทำเลสิกในปัจจุบันมี 4 แบบค่ะ ซึ่งขึ้นตอนก็จะเหมือนกันคือ > เปิดกระจกตา > ยิงเลเซอร์รักษา โดยทั้ง 4 แบบนี้ก็จะแตกต่างกันด้วยขั้นตอนการเปลี่ยนกระจกตานี่แหล่ะค่ะ
1. PRK จะเป็นการขูดผิวกระจกตาออก ก่อนจะยิงเลเซอร์เข้าไปรักษาค่ะ ซึ่งกระจกตาจะสร้างกลับขึ้นมาใหม่เอง เหมือนผิวหนังที่ถลอกค่ะ
(ค่ารักษา 33,000-35,000)
ข้อดี
- กระจกตาแข็งแรง เพราะไม่โดนผ่า แต่สร้างกลับมาใหม่เอง
- อาการข้างเคียงจากตาแห้งหลังทำ น้อย
ข้อเสีย
- ใช้เวลาพักฟื้นนานค่ะ อาจจะเคืองตาสัก 5-7 วัน
2. lasik แบบใช้ใบมีดเปิดและแยกชั้นกระจกตา การทำเลสิกแบบนี้ก็จะให้เครื่องMicrokeratomeในการเปิดและแยกชั้นกระจกตา ก่อนยิงเลเซอร์รักษา
แล้วจึงปิดกระจกตากลับค่ะ (ค่ารักษา 38,000-40,000)
- ฟื้นฟูไวค่ะ หลังทำอาจจะมีเคืองตา น้ำตาไหล แต่ตื่นเช้ามาก็ใช้ชีวิตได้ปกติค่ะ ไม่มีอาการเคืองเลย
ข้อเสีย
- เนื่องจากกระจกถูกเปิด ก็จะต้องระวังเรื่องการกระแทกค่ะ ในบางคนอาจจะเป็นเดือนหรือปี ที่กระจกตาจะปิดสนิทเหมือนเดิมค่ะ
- อาจจะมีอาการตาแห้งหลังทำ 1-2 เดือนค่ะ
3. Femto Lasik เป็นการทำเลสิกแบบเปิดและแยกชั้นกระจกด้วยเลเซอร์ค่ะ เหมือนแบบ 2 ต่างกันที่เปิดกระจกตาด้วยเลเซอร์
(ค่ารักษา 48,000-50,000)
ข้อดี
- ฟื้นฟูไวค่ะ หลังทำอาจจะมีเคืองตา น้ำตาไหล แต่ตื่นเช้ามาก็ใช้ชีวิตได้ปกติค่ะ ไม่มีอาการเคืองเลย
ข้อเสีย
- เนื่องจากกระจกถูกเปิด ก็จะต้องระวังเรื่องการกระแทกค่ะ ในบางคนอาจจะเป็นเดือนหรือปี ที่กระจกตาจะปิดสนิทเหมือนเดิมค่ะ
- อาจจะมีอาการตาแห้งหลังทำ 1-2 เดือนค่ะ
4. Relex แบบนี้เป็นแบบที่ดีที่สุดค่ะ ราคาก็สูงมาเช่นกัน เราเลยไม่ได้คิดทำค่ะ จึงอ่านข้อมูลแค่นิกหน่อย ขออธิบายเท่าที่เข้าใจนะคะ
การทำแบบนี้ ก็จะไม่มีการผ่าเปิดกระจกตาค่ะ แต่จะใช้เลเซอร์ยิงเปิดประมาณ 5-6 มิล แล้วจึงยิงเลเซอร์รักษาค่ะ ด้วยแผลที่เล็กมาก ผลค้างเคียงจึงน้อย แล้วก็ฟื้นฟูเร็วด้วยค่ะ
ข้อมูลก็จะประมาณนี้นะคะ ต่อมาก็จะขอเล่าประสบการณ์การทำเลสิกของเราค่ะ
ก่อนอื่นก็ต้องวิเคราะห์ตัวเองก่อนค่ะ ว่าตัวเองจะทำแบบไหน ที่ไหน
ซึ่งเราก็วิเคราะห์ดังนี้ค่ะ
1. ราคาที่รับได้ (เราวางงบที่ 30,000- 40,000 ค่ะ ซึ่งก็จะได้ PRK และ Lasik )
2. เครื่องมือที่ใช้ (อันนี้สำคัญมากนะคะ เพราะดวงตามีคู่เดียวเนาะ ความแม่นยำของเครื่องมือก็
สำคัญมากเลยทีเดียว จากที่ศึกษามามีทั้ง เครื่องรุ่นเก่าแต่อัพซอฟแวร์ใหม่อะไรงี้ , เราก็ต้องหา รพ.ที่เครื่องรุ่นใหม่ ซอฟแวร์ใหม่ค่ะ)
3. คุณหมอ (อันนี้ก็สำคัญมากๆเลยค่ะ เพราะเหมือนเราเอาดวงตาไปฝากไว้กับหมอ ต้องศึกษาคุณหมอที่เชี่ยวชาญและมีประสบการณ์ค่ะ)
4. ความสะอาด และ การบริการ (อันนี้เราเน้นเรื่องความสะอาดค่ะ เพราะตาอาจะเสี่ยงติดเชื้อได้)
สรุปจากทั้งหมด เราจึงเหลือตัวเลือก 3 ตัวเลือกค่ะ คือ
>>>> รพ.กลาง ค่าทำเลสิกอยู่ที่ 35,000- ค่าอื่นๆรวมน่าจะ 38,000 อันนี้จากการโทรถามทางโทรศัพท์นะคะ
>>>> รพ.ยันฮี ค่าทำเลสิกอยู่ที่ 38,000 ค่าอื่นๆรวมน่าจะ 40,000 ค่ะ
>>>> รพ.ลาดพร้าว ค่าทำเลสิกอยู่ที่ 38,000- มีค่าอะไรสักอย่างเพิ่ม 15,000 ค่ะ แต่มีโปรกด like&share เพจ เลยลดไปค่ะ
ซึ่งเราเลือกทำที่ รพ. ลาดพร้าวค่ะ ค่าใช้จ่ายรวมทั้งหมด 38,000- ค่ะ
เพราะงั้นขอพูดข้อดี-ข้อเสีย ของ เลสิก รพ.ลาดพร้าวนะคะ
ข้อดี
1. ศูนย์เลสิกของที่นี้เพิ่งเปิดใหม่ไม่นานค่ะ เครื่องเลยใหม่ เป็นรุ่นใหม่และซอฟแวร์ใหม่ค่ะ
2. คุณหมอค่ะ เราเลือกทำกับ พญ.ชญานี โพธิวงศาจารย์ เพราะคุณหมอเชี่ยวชาญด้านกระจกตาโดยตรงค่ะ เราค่อนข้างกลัวกับขั้นตอนการผ่าและแยกชั้นกระจกตา เลยเลือกหมอด้านกระจกตาดีดว่าค่ะ อุ่นใจดี ปล.คุณหมอน่ารักมากกกด้วยค่ะ
3. คนไม่เยอะมากค่ะ คุณหมอสามารถมีเวลาดูแลและรักษาเต็มที่ค่ะ
ข้อเสีย
1. การเดินทางค่ะ รถติดมากกกกกกกกก เนื่องจากมีการทำรถไฟฟ้า
2. เพิ่งเปิด รีวิว น้อยค่ะ เราหาข้อมูล รพ. นี้ไม่ค่อยมี แต่พอดีเพื่อนของน้าอยู่วงการนี้ค่ะ เลยให้ข้อมูลแต่ละที่มาให้เราเปรียบเทียบได้
มาค่ะ เข้าเรื่องกันดีกว่า เรานัดทำไปวันอาทิตย์ที่ 16 ธันวาคม 2018 ค่ะ กับ คุณหมอชญานี
ต้องไปถึงแต่เช้านะคะ ไปถึงก็แจ้งว่านัดมาทำเลสิกค่ะ พยาบาลก็จะให้ทำประวัติที่ชั้น G เสร็จก็ขึ้นไปที่ 4 ซึ่งเป็นศูนย์เลสิกค่ะ
นั่งรอสักพักก็จะได้รับการวัดค่าสายตา และความดันตาค่ะ โดยขั้นตอนนี้ของเราวัดโดยบุรุษพยาบาลนะคะ
ค่อนข้างละเอียดที่เดียว โดนถามซ้ำไปมาหลายรอบเลยค่ะ 555555
พอวัดเสร็จเรียบร้อย ก็ไปพบคุณหมอค่ะ คุณหมอจะวัดค่าสายตาเราอีกที จากนั้นก็วัดความหนากระจกตาค่ะ
ในขั้นตอนนี้คุณหมอ อธิบายว่า ถ้าคนไข้กระจกตาบาง คือหนาไม่พอที่จะทำเลสิกได้ ต้องทำแบบ PRK แทนค่ะ
ซึ่งของเราหนาปกติ สามารถทำได้ค่ะ ซึ่งตอนพบคุณหมอ คุณหมอน่ารักมากกก อธิบายดี
พบคุณหมอเสร็จก็ออกมารอข้างนอกก็จะมีพยาบาลมาหยอดยาชา และยาขยายม่านตา
อันนี้นั่งสักพัก จะมองไม่ชัดคือ คือเราสายตาสั้นแต่พอขยายแล้วมองใกล้มากๆก็ยังไม่ชัดค่ะ แล้วพยาบาลก็จะมาตรวจการขยายม่านตาอีกที พยาบาลบอกเป็นอาการปกติจากการขยายม่ายตาค่ะ ซึ่งหลังจากขยายแล้ว ต้องรอม่านตาหดกลับ ใช้เวลาประมาณ 1 ชม. พยาบาลเลยให้ไปทานอาหารกลางวัน
แล้วกลับมาทำเลสิกตอนบ่ายโมงค่ะ แล้วก็ไปจ่ายเงินที่ชั้น 1 ด้วยค่ะ
อาหารก็เรากินที่แบล๊คแคนยอนค่ะ ร้านอยู่ที่ชั้น G จิงๆมีตลาดด้วยนะคะ แต่เราขี้เกียจออกไป
พอกินเสร็จก็ไปจ่ายเงิน แล้วขึ้นไปรอทำเลสิกค่ะ
พอขึ้นไปสักพัก พยาบาล ก็จะเรียกเข้าไปให้ห้องเพื่ออธิบายเรื่องขั้นตอนการทำและการดูแลหลังการทำค่ะ
คร่าวๆก็จะ
- ห้ามน้ำเข้าตา 1 อาทิตย์ เพราะจะติดเชื้อ
- ใช้น้ำเกลือชุบสำลีเช็ดรอบดวงตา และ เช็กหน้า
- ห้ามขยี้ตา ตอนนอนใส่ที่ครอบตา
- ห้ามว่ายน้ำ 1 เดือน
- ห้ามแต่งตา 2 อาทิตย์
เสร็จก็เตรียมตัวแล้วค่ะ นั่งรอเตรียมผ่าตัด อันนี้ก็เป็นห้องที่นั่งรอค่ะ หลังประตูไปเป็นห้องผ่าตัด
เข้าไปตามคิวค่ะ แต่ละคิวกจะใช้เวลาประมาณ 15-20 นาทีค่ะ
นั่งรอคิวไป ที่ประทับใจคือพอถึงคิวเรา เรากลัวมากกกค่ะ เอาจริงๆคอนนั่งรอคือกลัวค่ะ นึกในใจไม่ทำแล้วได้ไหม 55555555555
แต่พยาบาลที่ออกมารับก็พูดปลอบค่ะ แบบมันจะไม่เจ็บนะคะ ไม่ต้องกลัว แต่มองแสงเลเซอร์เอาไว้ 10 นาทีก็เสร็จ
เอาค่ะ เราต้องทำได้ เข้าไปในห้องก็ขึ้นนอนบนเตียงค่ะ คุณหมอก็จะอธิบายทุกๆขั้นตอนที่ทำให้เรารับรู้
มันไม่เจ็บเลยจริงๆค่ะ ตอนเครื่องแยกชั้นกระจกตา ภาพจะเบลอหายไปแปบบนึง ไม่ต้องตกใจค่ะ นิ่งๆเข้าไว้
เพราะเดี่ยวพอเลเซอร์มา เราจะเห็นจุดเขียวกระพริบๆ คุณหมอบอกให้จ้องไว้ค่ะนิ่งๆ แล้วเลเซอร์แดงจะยิงๆๆ
แล้วคุณหมอก็ทำความสะอาด ปิดกระจกตากลับ เสร็จเรียบร้อยค่ะ คุณหมอมือเบามากกกก
แล้วคุณหมอก็จะตรวจการปิดของกระจกตาอีกครั้งค่ะ เราก็ขอถ่ายรูปหลังทำเสร็จกับหมอ 1 รูปค่ะ
หลังจากนั้นก็รอบนัดค่ะ จะมีนัดวันรุ่งขึ้น 1 สัปดาห์ และ 1 เดือนค่ะ
และพยาบาลก็แจ้งว่าหลังจากนี้ 1 ปี ถ้ามีค่าสายตาอีกสามารถมายิงรักษาเพิ่มฟรีค่ะ
จบแล้วค่ะรีวิวการทำเลสิก ไม่น่ากลัวอย่างที่คิดเลยค่ะ ถือว่าคุ้มมากๆๆกับการรักษานี้ โดยเฉพาะสำหรับเรา เพราะเราชอบเที่ยวมากกกกค่ะ
เพราะงั้นเวลาไปเดินป่า ขึ้นดอย หรือกางเต้นท์ ใส่แว่นเราไม่ค่อยสะดวกค่ะ เลื่อน ไหล หลุดบ่อย
ส่วนคอนแทคก็ใส่จนตาแห้งค่ะ เนื่องด้วยบางวันใส่ติดต่อกันนาน เลสิกจึงเป็นทางออกที่ดีมากของเราค่ะ ชีวิตสดใสเลย
ก็เลยขอแนะนำคนที่ชอบเที่ยวแบบเราค่ะ เราว่ามันสะดวกมาก ว่าแล้วก็แพคกระเป๋าไปเที่ยวปีใหม่กันค่ะ
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้