บอสๆทั้งหลาย เขามองแบบนี้อยู่แล้วใช่ไหม เขามองเราเป็นเครื่องจักรผลิตงานให้เขา ถ้าเขาจ่ายค่าชั่วโมงเยอะขึ้น เราต้องทำงานเยอะขึ้น หนักขึ้นตามเงินเดือนที่เราได้เหรอ เราฟังแล้ว เราก็ไม่เข้าใจ คือ ถ้าเงินเดือนปรับขึ้น แล้วอยากได้ productivity คุณก็ต้องช่วยเราด้วยสิ เช่น ส่งเราไป training ซึ่งตรงนี้เขาบอกว่าเขาจะส่งพนักงาน training แล้วปิดท้ายด้วย แต่ดูงบก่อนนะว่าจะส่งระดับ manager หรือ รองลงมาไป
ยังเท่านั้นยังไม่พอ Concept ของเขาคือ การไม่เพิ่มคน เขาอยากทำงานทั้งหมดด้วยทรัพยากรที่อยู่ ให้ทุกคนมี muti-tasking ทำงานแทนกันได้ เราอยากรู้มากว่าเอาความคิดนี้มาจากไหน มันเวิร์คจริงเหรอ ใครเคยทำแล้วลองมาแชร์หน่อยนะคะว่าผลของ concept นี้เป็นยังไง
เมื่อก่อนเราไม่เคยเชื่อเลยนะ พวกกระทู้หรือบทความที่บอกว่า รักงานได้ แต่อย่ารักบริษัท เพราะบริษัทไม่ได้รักคุณ ที่เราไม่เชื่อเพราะเราคงโชคดีที่ได้ทำงานกับบริษัทที่เจ้านายใจดี เป็นกันเอง อยู่กันแบบพี่น้อง มีความเชื่อใจกัน เชื่อมั่นในตัวพนักงาน เราถูกรุ่นพี่ที่ออฟฟิศคนหนึ่งสอนว่าให้คิดว่าบริษัทเป็นของเราเอง เราทำทุกอย่างเพื่อบริษัทของเรา ซึ่งเราก็ทุ่มเทเต็มที่ อยู่จนเย็นเพื่อช่วยทำ report ลูกค้าจนเสร็จ โอทีไม่มีก็ไม่เป็นไร เพราะเราก็คิดว่าทำเพื่อบริษัทของเรา เราทำแบบนี้มาตลอด ต่อมาบริษัทมีการเปลี่ยนแปลง มีการควบกิจการกับบริษัทใหม่ เนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง เราโดนย้ายตำแหน่งขึ้นมาสูงขึ้นกว่าเดิม แต่มาอยู่ใน scope งานที่ไม่ชอบมากๆ (อันนี้ต้องโทษตัวเอง เพราะตอนเขาบอกให้มาช่วยทำ ดันตอบตกลงว่าจะช่วยเอง)
ตอนนี้อะไรหลายๆเปลี่ยนไป เวลาเปลี่ยน คนก็เปลี่ยนไปอย่างไม่น่าเชื่อ เจ้านายที่เราคิดว่าเขาเป็นคนดี บางประโยค เราก็ไม่คิดว่าจะออกมาจากปากเขา เขาทำให้เราหมดความนับถือกับเขา หมดความศรัทธาในตัวเขา เราไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะเงินหรือสังคมหรือเป็นนิสัยจริงๆของเขาที่เพิ่งเผยออกมา บวกกับเหตุการณ์ที่คนอื่นๆได้พบเจอมา บางเรื่องเราก็ถึงกับอึ้งไป ไม่คิดว่าจะเป็นคนแบบนี้ กับเพื่อนร่วมงานบางคนต่อหน้าพูดดีกับเรา ลับหลังก็ว่าเรา อยากจะให้เราออก เอาเป็นว่าจากอะไรหลายๆอย่างที่เจอมา เราก็เชื่อแล้วว่าบริษัทไม่ได้รักเราจริง เราไม่ได้โกรธพวกเขา แต่เราเสียใจที่มองคนผิด ที่โลกสวยเกินไป แม่สอนเราเสมอว่าให้ช่วยเหลือให้นึกถึงคนอื่น แต่ต้องไม่ทำให้เราเดือดร้อน เราเองก็คิดเสมอว่าถ้าเราดีกับเขาแล้วเขาจะทำดีกับเรา เรารู้สึกเหมือนโดนหักหลัง จากนี้ไปเราตั้งใจจะทำงานให้ดีที่สุด และจะรีบหางานใหม่ เพื่อออกไปจากตรงนี้ก่อนที่สุขภาพจิตเราจะแย่ไปมากกว่านี้
สุดท้ายนี้อยากบอกทุกคนว่าให้พัฒนาทักษะของตัวเองหลายๆด้าน สร้างมูลค่าให้ตัวเอง ไม่ว่าเป็นด้านภาษา, ทักษะคอมพิวเตอร์ ฯลฯ พยายามเรียนรู้มากๆ แล้วถ้าสนใจจะทำธุรกิจอะไรก็ขอให้หาข้อมูลและอย่ายอมแพ้ ทำ business model วิเคราะห์ตลาดดีๆ ขอให้ทุกคนโชคดีกับเส้นทางที่คุณเลือกกันนะคะ
ถ้าคุณได้ยินบอสพูดว่าหลังปีใหม่ มีการปรับเงินเดือนพนักงานสูงขึ้นทุกปี แต่ productivity ไม่ได้เพิ่มขึ้น จะรู้สึกยังไง
ยังเท่านั้นยังไม่พอ Concept ของเขาคือ การไม่เพิ่มคน เขาอยากทำงานทั้งหมดด้วยทรัพยากรที่อยู่ ให้ทุกคนมี muti-tasking ทำงานแทนกันได้ เราอยากรู้มากว่าเอาความคิดนี้มาจากไหน มันเวิร์คจริงเหรอ ใครเคยทำแล้วลองมาแชร์หน่อยนะคะว่าผลของ concept นี้เป็นยังไง
เมื่อก่อนเราไม่เคยเชื่อเลยนะ พวกกระทู้หรือบทความที่บอกว่า รักงานได้ แต่อย่ารักบริษัท เพราะบริษัทไม่ได้รักคุณ ที่เราไม่เชื่อเพราะเราคงโชคดีที่ได้ทำงานกับบริษัทที่เจ้านายใจดี เป็นกันเอง อยู่กันแบบพี่น้อง มีความเชื่อใจกัน เชื่อมั่นในตัวพนักงาน เราถูกรุ่นพี่ที่ออฟฟิศคนหนึ่งสอนว่าให้คิดว่าบริษัทเป็นของเราเอง เราทำทุกอย่างเพื่อบริษัทของเรา ซึ่งเราก็ทุ่มเทเต็มที่ อยู่จนเย็นเพื่อช่วยทำ report ลูกค้าจนเสร็จ โอทีไม่มีก็ไม่เป็นไร เพราะเราก็คิดว่าทำเพื่อบริษัทของเรา เราทำแบบนี้มาตลอด ต่อมาบริษัทมีการเปลี่ยนแปลง มีการควบกิจการกับบริษัทใหม่ เนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง เราโดนย้ายตำแหน่งขึ้นมาสูงขึ้นกว่าเดิม แต่มาอยู่ใน scope งานที่ไม่ชอบมากๆ (อันนี้ต้องโทษตัวเอง เพราะตอนเขาบอกให้มาช่วยทำ ดันตอบตกลงว่าจะช่วยเอง)
ตอนนี้อะไรหลายๆเปลี่ยนไป เวลาเปลี่ยน คนก็เปลี่ยนไปอย่างไม่น่าเชื่อ เจ้านายที่เราคิดว่าเขาเป็นคนดี บางประโยค เราก็ไม่คิดว่าจะออกมาจากปากเขา เขาทำให้เราหมดความนับถือกับเขา หมดความศรัทธาในตัวเขา เราไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะเงินหรือสังคมหรือเป็นนิสัยจริงๆของเขาที่เพิ่งเผยออกมา บวกกับเหตุการณ์ที่คนอื่นๆได้พบเจอมา บางเรื่องเราก็ถึงกับอึ้งไป ไม่คิดว่าจะเป็นคนแบบนี้ กับเพื่อนร่วมงานบางคนต่อหน้าพูดดีกับเรา ลับหลังก็ว่าเรา อยากจะให้เราออก เอาเป็นว่าจากอะไรหลายๆอย่างที่เจอมา เราก็เชื่อแล้วว่าบริษัทไม่ได้รักเราจริง เราไม่ได้โกรธพวกเขา แต่เราเสียใจที่มองคนผิด ที่โลกสวยเกินไป แม่สอนเราเสมอว่าให้ช่วยเหลือให้นึกถึงคนอื่น แต่ต้องไม่ทำให้เราเดือดร้อน เราเองก็คิดเสมอว่าถ้าเราดีกับเขาแล้วเขาจะทำดีกับเรา เรารู้สึกเหมือนโดนหักหลัง จากนี้ไปเราตั้งใจจะทำงานให้ดีที่สุด และจะรีบหางานใหม่ เพื่อออกไปจากตรงนี้ก่อนที่สุขภาพจิตเราจะแย่ไปมากกว่านี้
สุดท้ายนี้อยากบอกทุกคนว่าให้พัฒนาทักษะของตัวเองหลายๆด้าน สร้างมูลค่าให้ตัวเอง ไม่ว่าเป็นด้านภาษา, ทักษะคอมพิวเตอร์ ฯลฯ พยายามเรียนรู้มากๆ แล้วถ้าสนใจจะทำธุรกิจอะไรก็ขอให้หาข้อมูลและอย่ายอมแพ้ ทำ business model วิเคราะห์ตลาดดีๆ ขอให้ทุกคนโชคดีกับเส้นทางที่คุณเลือกกันนะคะ