ตัดใจเลิกกับแฟนไม่ได้ เพราะแฟนเป็นไบโพล่า ทำยังไงดีคะ??

เรากับแฟนยังเป็นนักศึกษาอยู่นะคะ

เรื่องของเรื่องคือ ตอนที่เรารู้สึกว่าเราอยากเลิกคือตอนคบกันได้ซัก 1 ปี 7 เดือนค่ะ ช่วงนั้น เขาเริ่มมีภาวะเครียดจากงานที่ทำ เราเลยพาเค้าไปหาหมอเพื่อรับยาแก้เครียดมาทาน (เนื่องจากว่าเราก็เป็นโรคซึมเศร้า+เครียด เลยตัดสินใจพาเขาไป เพราะมันเป็นทางออกที่ดีที่สุด) หลังจากที่เขาถูกหมอวินิจฉัยว่าเป็นโรคเครียด เขาก็เริ่มเปลี่ยนไป ทั้ง ๆ ที่เขาก็ทานยาตามที่หมอสั่ง อาการของเขาแย่ลงทุกวัน จากที่ไม่เคยมีปากเสียงกันเขาก็เริ่มมีปากเสียง
เขาไม่ยอมให้เราคุยกับเพื่อนผู้ชายเลย ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้เราก็มีเพื่อนผู้ชาย แล้วเขาก็ไม่ว่า เขาเริ่มพาล บอกให้เราเลิกยุ่งเลิกคุยกับเพื่อนชาย  ซึ่งเราก็รู้สึกไม่โอเคมาก ๆ บางทีเราก็อยากคุย อยากปรึกษากับเพื่อนผู้ชายบ้าง เพราะคำปรึกษามันจะตรง ๆ และมุมมองแตกต่างจากผู้หญิง
เหตุการณ์เริ่มแย่ลงตรงที่เขามารู้ว่าเราเคยแอบชอบเพื่อนผู้ชายคนนี้มาก่อน เขายิ่งหงุดหงิดและโมโห ทั้งที่ความเป็นจริง เพื่อนเราคนนี้เขาก็รู้ว่าเราชอบเขามาตั้งแต่ปี 1 (ตอนนี้เราปี 3) แต่เราก็คุยกันแบบเพื่อนมาตลอด เพราะเขาก็รู้ว่าเรามีแฟนแล้ว เราเลยเป็นแค่เพื่อนกัน แต่แฟนเราเขาพาลจนถึงกับไปใช้กำลังกับเพื่อนเรา

เราก็เข้าใจนะคะ อารมณ์คนหึงมันเป็นยังไง แต่ก่อนหน้านี้เราคุยกันก็ไม่เห็นจะเป็นอะไร เราเปิดให้เขาดูโทรศัพท์เราตลอด เมื่อก่อนก็ไม่อะไร เราทนได้ เพราะคิดว่ามันคืออาการของโรคเนื่องจากว่าเราก็เป็นโรค มันจะค่อนข้างกังวลง่ายกว่าคนอื่นเขา เราอยู่ด้วยความเข้าใจเขามาตลอด จนวันหนึ่งเราจับได้ว่าเขาแอบดูแชทเราคุยกับเพื่อนผู้หญิงเรื่องเขา ว่าเราควรจะทำยังไงกับเขาดี เขาเห็นปุ๊บก็ปรี๊ดแตก หาว่าเรารับเขาไม่ได้ ทนอยู่กับเขาไม่ได้ ไม่รักกันแล้วเหรอ ไปคุยกับเพื่อนแบบนี้ทำไม ประมาณนี้ค่ะ นี่ขนาดเราคุยกับผู้หญิงนะคะ
ทำให้วันนั้นเราตัดสินใจขอเลิก หลังจากขอเลิกเหมือนเขากลายเป็นคนสติแตกไปเลยค่ะ เขาวิ่งจากหอตัวเองมาหอเราระยะทางประมาณสามกิโล แล้วบุกเข้ามาห้องเรา ร้องไห้ จะโดดตึกฆ่าตัวตาย เหตุการณ์นี้ทำให้เราตัดสินใจพาเขาส่งโรงพยาบาลจิตเวช
หมอวินิจฉัยว่าเขาต้องได้รับการช็อตไฟฟ้าเข้าสมอง เพื่อช่วยให้สารเคมีในสมองปรับเข้าสู่สมดุล ณ เวลานั้นบอกได้คำเดียวว่าเราเป็นห่วงเค้ามาก แต่เราเลิกกับเขาแล้ว อีกอย่างคือหมอสั่งห้ามให้เราไปเยี่ยมเนื่องจากเราเป็นตัวกระตุ้น เขาใช้เวลาอยู่ในโรงพยาบาล 2 อาทิตย์ แล้วยังต้องขาดเรียนอีก ตอนนั้นเรารู้สึกได้เลยว่าเราขาดเขาไม่ได้ เราเห็นทุกอย่างที่เราเคยทำร่วมกับเขาในทุก ๆ สถานที่ที่เราเคยไปด้วยกัน

หลังจากออกจากโรงพยาบาลเขามาขอแก้ตัว เราก็ให้โอกาสเพราะเรายังรักเขาอยู่ ในช่วงแรกเขาก็ดูปกติดี แต่หลังจากนั้นสัก 2 สัปดาห์ อาการแบบเดิมก็มาอีก แถมรุนแรงกว่าเดิม เราเลยพาเขาไปหาหมออีกครั้ง หมอสรุปว่าเขาเป็นไบโพล่า ซึ่งเราก็ไม่แปลกใจเพราะเรามีเพื่อนสนิทเป็นและรู้ว่าอาการเป็นยังไง เราพยายามปรับตัวเข้าหาเขาทุกอย่าง แต่เขาค่อนข้างเอาแต่ใจมากขึ้น ใช้เงินเก่งมากขึ้น จนเรากังวลว่าเขาจะมีเงินใช้มั้ย เขาสามารถใช้เงิน 3000 ที่พ่อเขาให้ในอาทิตย์นั้นหมดภายในวันเดียวโดยที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหมดไปกับอะไร เราคิดว่าเราเข้าใจคนเป็นโรคนี้ เราเลยปรับตัว ให้เขาหัดบันทึกรายรับรายจ่าย ให้เขาออมก่อนใช้ ซึ่งมันก็ช่วยได้บ้างในเรื่องนี้
มาพูดถึงด้านอารมณ์กันบ้างนะคะ อารมณ์เขาขึ้น ๆ ลง ๆ ตลอด จากที่แต่ก่อนไม่ใช่แบบนี้ ซึ่งก็น่าจะเพราะแต่ก่อนเขาไม่ได้เป็นโรค เราตัดสินใจคบกับเขาต่อ คอยดูแลกันไป จนตอนนี้คบมาได้ 2 ปี 2 เดือน เราเริ่มไม่ไหวแล้ว เราทะเลาะกันวันเว้นวัน กับเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่น เราไม่ยอมตั้งหน้าจอมือถือเป็นรูปเขา เราไม่ยอมบอกฝันดีเขา เราไม่บอกเขาว่าตื่นแล้ว เราไม่บอกเขาว่าอาบน้ำ เราไม่บอกเขาว่ากวาดบ้าน เราไม่บอกเขาว่า.... ซึ่งมันเกินไปค่ะ เราทะเลาะกันจนเหนื่อยเพราะเขาไม่ยอมเชื่อใจเราเลยว่าเรากำลังทำอะไร เขามัวแต่คิดว่าเราแอบไปคุยกับคนอื่น พูดง่าย ๆ คือเราต้องบอกเขาทุกอย่างว่าตอนนี้เราทำอะไร มันเหนื่อยมากค่ะ

เราคิดอยู่นานว่าจะเอายังไงต่อดี เรารู้แต่ว่าเราสงสารเค้า เราบอกเลิกเค้าไปหลายทีแล้วตั้งแต่เขาเริ่มมีอาการแบบนี้แรก ๆ แต่เขาบอกจะปรับปรุงตัว ก็ปรับไม่ได้สักที ใจนึงเราอยากเลิก ใจนึงก็ยังรักอยู่ แต่รักทั้ง ๆ ที่เหนื่อยมันก็ไม่ไหว จากที่เขาเป็นคนมี passion ในการใช้ชีวิต มีงานพาร์ททามเข้ามาบ้าง ตอนนี้คือเขาไม่รับรู้อะไรเลย ไม่แสวงหาอะไรเลย เขามัวแต่โทษโชคชะตา โทษเพื่อนบ้างว่าแย่งงาน ทั้ง ๆ ที่ความสามารถของเขาเองนั่นแหละที่ยังดีไม่พอจะได้รับเลือก โทษว่าเพราะพ่อแม่เขาเลิกกันเลยทำให้เขาโหยหาความรัก เลยจะรักษาเราไว้ให้ดีที่สุด เขาบอกว่านี่เป็นปมของเขา พูดง่าย ๆ คือเขาไม่ผิดอะไรเลย ในสายตาของเขาเอง

ด้วยความที่ตัวเราเป็นโรคซึมเศร้าแล้วเราไม่เคยโทษอย่างอื่นนอกจากตัวเอง เราก็เลยบอกมุมมองเราไป แต่เขาตอบกลับมาว่า "เธอไม่เป็นเราเธอไม่รู้หรอก ไม่มีใครเข้าใจเราเลย พ่อกับแม่ก็ไม่เข้าใจ คนเป็นโรคนี้มันต้องการกำลังใจแค่ไหน ไม่มีใครรู้หรอก ทำไมเราต้องเป็นโรคเหี้* นี่ด้วย แค่นี้ชีวิตก็แย่จะตายอยู่แล้ว เมื่อไหร่จะหาย สงสารพ่อแม่ต้องคอยมาเป็นภาระเขา ค่ายาก็แพง" เราเลยไม่ทนแล้วค่ะ ตัดสินใจบอกเขาไปว่า "เราไม่เคยเอาโรคซึมเศร้าของเรามาโวยวายใส่คนอื่นด้วยซ้ำ เราไม่เคยโทษโชคชะตา เราพยายามทำมันให้ดีขึ้น เรายอมรับว่าเราเป็นโรคนี้ แล้วเราก็ยินดีที่เราจะเป็นเพราะเราเป็นไปแล้ว เราเคยหายแล้วแล้วเราก็กลับมาเป็นอีก สรุปแล้วหนทางเดียวที่จะกลับมาเป็นปกติได้คือยอมรับว่าโรคนี้มันอยู่กับเรา แล้วมันจะอยู่ไปอีกนาน ถ้าไม่คิดที่จะอยู่ร่วมกับมันให้ได้ ก็ไม่มีใครอยู่ร่วมกับเธอได้หรอก แล้วรู้ไว้ด้วยว่าพ่อแม่เธอดีมากที่เข้าใจว่าโรคชนิดนี้มีอยู่จริง พ่อแม่เราเขาไม่เข้าใจเลย ทุกวันนี้เราจ่ายค่ายาเองเดือนละหลายพันด้วยซ้ำเรายังไม่บ่นสักคำ หัดมองโลกมุมอื่นบ้าง ไม่งั้นยาที่กินไปมันก็ไม่ช่วยหรอกนะ มีแต่จะต้องเพิ่มโดสไปเรื่อยๆ แล้วก็จะไม่หายสักที ถ้ามัวแต่จมกับอะไรแบบนี้"

เรายอมรับเลยค่ะว่าเราไม่รู้หรอกคนเป็นไบโพล่าจะรู้สึกยังไงกับคำพูดเรา แต่ก็น่าจะเจ็บมากกว่า เพราะไบโพล่าถ้าเศร้า เขาจะเศร้าหนักกว่าคนเป็นโรคซึมเศร้า เราถูกเลี้ยงมาแบบพ่อแม่ไม่ตามใจเท่าเขา เราเลยรู้สึกว่าแต่ละอย่างต้องดิ้นรน ต้องพยายาม อีกอย่างคือเราเคยเป็นโรคซึมเศร้าแล้วหายมาแล้วแต่เนื่องจากไม่ยอมเปลี่ยนพฤติกรรมเลยกลับมาเป็นใหม่ เรารู้ดีว่าโรคนี้มันไม่หาย ถ้าไม่เปลี่ยนความคิดและพฤติกรรม เราเลยกล้าพูดไปแบบนั้น

หลังจากที่เราพูดจบเราตัดสินใจบอกเลิกครั้งที่เท่าไรแล้วก็ไม่รู้ แต่เขาเอามีดกรีดแขนตัวเอง ทำเราช็อคไปเลยค่ะ เราเสียใจมากกับคำพูดและสิ่งที่เราทำลงไป แต่พอมาคิดอีกแง่หนึ่งคือ เราก็อยากจะหายจากโรคซึมเศร้าของเราเหมือนกัน ถ้าเราต้องมาคอยทะเลาะวันเว้นวัน คอยตามใจเขาแทบทุกเรื่อง (ถ้าไม่ตามใจเขาจะโกรธมากค่ะ) เราก็ไม่มีความสุข เรากล้าพูดว่าทุกวันนี้คบกับเขาแบบไม่มีความสุขเลยค่ะ เราไปปรึกษาเพื่อน เพื่อนบอกว่าที่เราเลิกขาดไม่ได้ เพราะเราไม่เคยตัดขาดจริง ๆ จัง ๆ เราคิดมาเสมอว่าถ้าเรารักเขา เราต้องอยู่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับเขาได้ในทุกช่วงของชีวิต แต่ทุกวันนี้คือเราเหนื่อยค่ะ เราอยากเหนื่อยแค่งานกับเรียนพอแล้ว เราอยากได้แฟนที่ทำให้เราหายเหนื่อยไม่ใช่เหนื่อยยิ่งกว่าเดิม

เราควรทำยังไงดีคะ เรารักเขา เราผูกพันกับเขา เราตัดเขาจริง ๆ ไม่ได้ แต่เราก็ไม่อยากรองรับอารมณ์ของเขาที่ขึ้น ๆ ลง ๆ แบบนี้แล้ว เราทนจนเราไม่ไหวแล้ว เราทนจนมันย้อนเข้าตัวเองคืออาการของโรคเรากำเริบยิ่งกว่าเดิม เราเห็นใจเขา แต่เขาไม่เห็นใจเราเลย เราหาทางออกไม่เจอแล้วค่ะ

ท่านใดพอจะแนะนำหรือให้คำปรึกษาบ้างได้บ้างคะ ว่าเราควรทำยังไงต่อดี
เราบอกเลยว่าเราไม่มีคนอื่น เราไม่ได้นอกใจ เราห่วงเขามาก แต่เราก็ห่วงตัวเองเหมือนกัน เราหาทางออกไม่ได้แล้วจริง ๆ ค่ะ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่