ผมคิดวนไปวนมา เรื่องเกี่ยวกับคนที่หมดหวังในชีวิต จนมันมาถึงการลงเอยด้วยการเลือกจบชีวิตตัวเอง หลายๆคนทำมันได้สำเร็จ ขณะที่อีกหลายคนทำไม่ได้ อะไรคือความแตกต่าง? ผมสรุปเอาเองว่า คนที่ทำสำเร็จจะต้อง อยู่ลำพัง,เขียนระบายทุกอย่างทิ้งเอาไว้,และไม่เปิดโอกาสให้มีสิ่งใดมาขัดขวางได้
แล้วผมล่ะ? ความห่วงกังวลในตัวลูกๆยังเป็นสิ่งที่ยึดเหนี่ยวผมเอาไว้ ในขณะที่การเชือดเฉือนจากคู่ชีวิตก็คอยผลักไสผมให้เดินเข้าจุดอับ
เมื่อผมมาถึงจุดที่ไร้ตำแหน่งหน้าที่การงานดีๆ ไม่มีเงินเดือนประจำสูงๆอย่างแต่ก่อน ผมก็ได้รู้จักกับคำว่า "ชิงชัง"
ผมรู้สึกมันได้จากวาจา การกระทำ สีหน้า แววตา ความภูมิใจในหัวโขนของผมที่เธอเคยมี มันหมดไปเมื่อผมถอดมันออก เมื่อผมเลือกที่จะหนีจากงานที่ผมไม่เคยชอบมัน แต่ต้องทำมากว่า 20 ปี ผมก็ได้พบกับโลกใหม่ที่สร้างความผิดหวัง และท้อแท้แก่ผมมากกว่าเดิม
ผมจึงเลือกที่จะเปิดโอกาสให้เธอเลือกชีวิตใหม่กับใครที่ไม่ใช่ผม ทุกวันนี้ผมแทบไม่ได้พูดกับใครนอกจากลูกๆ ผมคิดอะไรในหัวอยู่คนเดียว นั่นคือสิ่งที่เธอเรียกว่า "เวลาผ่านไปอย่างไร้ค่า" ซึ่งก็คงจะจริงอย่างที่เธอว่ามา ก่อนนี้ผมมีความหวังกับสิ่งใหม่ๆที่ผมจะลงมือทำ แต่ก็ดูเหมือนมันจะมอดลงเรื่อยๆด้วยคำพูดของคนๆเดียวที่ผมใส่ใจ
ตอนนี้ผมมีทางเลือก 3 ทาง
1.ยอมแพ้ ทิ้งทุกอย่าง จบชีวิตตัวเองซะ
2.พยายามทำทุกอย่างที่เธอต้องการ และดึงเธอกลับมา
3.เดินหน้าต่อด้วยตัวเองเพียงลำพัง เลิกฟังคำที่บั่นทอนจิตใจ แต่นั่นหมายถึงผมต้องหยุดรักเธอ และสามารถทนมองเธอมีคนใหม่ได้
ดังนั้น ผมจึงเลิกคิด และลงมือเรียบเรียงสิ่งต่างๆในหัว ออกมาเป็นตัวอักษร เพื่อหาบทสรุปให้ชีวิตผมเอง
สรุป ผมเลือกทางที่ 3 ผมจะมุ่งหน้าต่อในสิ่งที่ผมเชื่อมั่น ต่อจากนี้ทางที่ผมเดินจะมีเพียงลูกๆ แม่ และน้องชายอยู่เคียงข้าง มันอาจจะยาก แต่ผมต้องทำมันให้ได้
บทความนี้มาจากชีวิตจริงของผม ในช่วงเทศกาลส่งท้ายปีเก่า 2561 ที่จะถึงนี้ และในวันนี้ ปีหน้า ผมจะกลับมาอ่านมันอีกครั้ง และจะตอบตัวผมเองในตอนนี้ว่าสิ่งที่ผมเบือก มันถูก หรือ ผิด
สวัสดีปีใหม่ 2562 ครับ ไม่ขอให้มีความสุข แต่ขอให้มีความหว้ง
เรื่องเล่าจากคนอยากตาย
แล้วผมล่ะ? ความห่วงกังวลในตัวลูกๆยังเป็นสิ่งที่ยึดเหนี่ยวผมเอาไว้ ในขณะที่การเชือดเฉือนจากคู่ชีวิตก็คอยผลักไสผมให้เดินเข้าจุดอับ
เมื่อผมมาถึงจุดที่ไร้ตำแหน่งหน้าที่การงานดีๆ ไม่มีเงินเดือนประจำสูงๆอย่างแต่ก่อน ผมก็ได้รู้จักกับคำว่า "ชิงชัง"
ผมรู้สึกมันได้จากวาจา การกระทำ สีหน้า แววตา ความภูมิใจในหัวโขนของผมที่เธอเคยมี มันหมดไปเมื่อผมถอดมันออก เมื่อผมเลือกที่จะหนีจากงานที่ผมไม่เคยชอบมัน แต่ต้องทำมากว่า 20 ปี ผมก็ได้พบกับโลกใหม่ที่สร้างความผิดหวัง และท้อแท้แก่ผมมากกว่าเดิม
ผมจึงเลือกที่จะเปิดโอกาสให้เธอเลือกชีวิตใหม่กับใครที่ไม่ใช่ผม ทุกวันนี้ผมแทบไม่ได้พูดกับใครนอกจากลูกๆ ผมคิดอะไรในหัวอยู่คนเดียว นั่นคือสิ่งที่เธอเรียกว่า "เวลาผ่านไปอย่างไร้ค่า" ซึ่งก็คงจะจริงอย่างที่เธอว่ามา ก่อนนี้ผมมีความหวังกับสิ่งใหม่ๆที่ผมจะลงมือทำ แต่ก็ดูเหมือนมันจะมอดลงเรื่อยๆด้วยคำพูดของคนๆเดียวที่ผมใส่ใจ
ตอนนี้ผมมีทางเลือก 3 ทาง
1.ยอมแพ้ ทิ้งทุกอย่าง จบชีวิตตัวเองซะ
2.พยายามทำทุกอย่างที่เธอต้องการ และดึงเธอกลับมา
3.เดินหน้าต่อด้วยตัวเองเพียงลำพัง เลิกฟังคำที่บั่นทอนจิตใจ แต่นั่นหมายถึงผมต้องหยุดรักเธอ และสามารถทนมองเธอมีคนใหม่ได้
ดังนั้น ผมจึงเลิกคิด และลงมือเรียบเรียงสิ่งต่างๆในหัว ออกมาเป็นตัวอักษร เพื่อหาบทสรุปให้ชีวิตผมเอง
สรุป ผมเลือกทางที่ 3 ผมจะมุ่งหน้าต่อในสิ่งที่ผมเชื่อมั่น ต่อจากนี้ทางที่ผมเดินจะมีเพียงลูกๆ แม่ และน้องชายอยู่เคียงข้าง มันอาจจะยาก แต่ผมต้องทำมันให้ได้
บทความนี้มาจากชีวิตจริงของผม ในช่วงเทศกาลส่งท้ายปีเก่า 2561 ที่จะถึงนี้ และในวันนี้ ปีหน้า ผมจะกลับมาอ่านมันอีกครั้ง และจะตอบตัวผมเองในตอนนี้ว่าสิ่งที่ผมเบือก มันถูก หรือ ผิด
สวัสดีปีใหม่ 2562 ครับ ไม่ขอให้มีความสุข แต่ขอให้มีความหว้ง