Happy Christmas Eve!!! เวลาผ่านไปไวจุง นี่แป๊บๆสิ้นปีแล้ว แป๊บๆกลับมาไทยได้ 10 วันแล้ว และแป๊บๆจะหมดช่วงพักร้อนกลับโซนหนาวเหน็บอีกแล้ว วันนี้ได้ฤกษ์ปล่อยตอนที่ 4 จาก 5 ตอน จ้าา
ทำไมเวลาพักกลางวันถึงกลายมาเป็นประเด็นได้ … ก่อนอื่นต้องเหลาก่อนว่าตอนเที่ยงเป็นโมเม้นท์เดียวที่จะคุยเรื่องอื่นๆกับเพื่อนร่วมงานบ้าง เพราะตอนทำงานพวกนางไม่ค่อยคุยกัน พอเลิกงานก็บ้านใครบ้านมัน ไม่ได้ชวนกันไปกินข้าวต่อเหมือนพี่ไทย และมันมีสิ่งที่น่าสังเกต นั่นก็คือความต่างทางวัฒนธรรมผ่านมุมมองคนไทย ทั้งเรื่องอาหารการกิน เนื้อหาสาระที่คุย และ mood & feel
ในส่วนของอาหารการกินนั้น ที่ออฟฟิศชั้นล่างจะมี cafeteria ไม่ได้ใหญ่บึ้มเป็นโรงอาหาร ข้างนอกก็ไม่ได้มีอะไรขาย ก็เลยอยู่แค่ในตึก ไลน์อาหารก็จะมีสลัดบาร์ ซุป ขนมปังเปล่าๆหลายชนิด แฮม ชีส อาหารร้อน โทสต์ แซนวิชหลายแบบ โยเกิร์ต ผลไม้ ที่พอจะพึ่งพาได้หน่อยเวลาที่ขี้เกียจหรือลืมกล่องข้าวไว้หน้าตู้เย็นที่บ้าน ก็คืออาหารร้อน นางก็จะวนๆไป มีวันละ 1 เมนู ย้ำเมนูเดียวเท่านั้น!! บางวันก็เป็น พาสต้า เบอร์เกอร์ ปลาทอด และ vegetarian menu อาหารที่นี่ไม่ใส่น้ำตาล ของหวาน น้ำอัดลมไม่มี อาหารร้อนมันก็ไม่ค่อยถูกปากคนไทย คนที่นี่เป็น Vegan และ Pescatarian (กินปลาแต่ไม่กินเนื้อแดง) กันเยอะมากกว่าที่คิด ตอนนี้เราก็ค่อยๆเปลี่ยนมาเป็น Pescatarian เหมือนกันแต่ชิวๆ
typical lunch for Dutch มัน น่า เบื่อ มาก เค้ากินแค่ขนมปังเปล่าๆโปะชีส 1 แผ่น ดีหน่อยก็มีแฮมด้วย+ซุป หรือสลัด+ซุป และปิดท้ายด้วยนมจืดแก้วใหญ่ ตัวเป็นยักษ์แต่กินแค่นี้ ส่วนคนยุโรปทั่วๆไปก็จะมีตั้งแต่แซนวิชที่ full option อีกหน่อย หรืออาหารร้อน+สลัด/ซุป สรุปว่าคนดัชต์เป็นชาติที่กินง่าย กินน้อยที่สุดถ้าเทียบกับขนาดตัวเท่าที่เคยเจอมา ก็เลยมีการวิเคราะห์กับเพื่อนๆคนเอเชียกันว่า คนดัชต์กินเพื่อ biological need เท่านั้น ง่ายๆ น้อยๆ จืดๆ แห้งๆ เย็นๆ มันก็ไม่ค่อยถูกจริตคนไทยอะนะ เรากลับไทยทีไรก็จะรู้สึกว่าเมืองไทยเป็นเมืองน้ำตาลจริงๆ วิธีการเอาตัวรอดของเราก็คือทำข้าวกล่องไปกินตลอดเพราะเรา need hot meal
เวลาพักเที่ยงคือ 30-45 นาที ไม่ซีเรียส แต่คุณพี่ดัชต์จะกินเร็วมาก กินเสร็จขึ้นไปทำงานต่อได้เลย ไม่ค่อยนั่งแช่ ส่วนยุโรปชาติอื่นๆก็จะนั่งต่ออีกหน่อย แล้วนั่งคุยอะไรกันบ้าง อันดับแรกก็คือเรื่องแพลนเที่ยว มีตั้งแต่ระยะสั้นคือวันศุกร์เย็น/weekend ระยะยาวคือ summer/easter/x’mas แปลกเนาะที่ในหัวพวกนางมีแต่เรื่องกิจกรรมวันหยุดหรือวางแผนเที่ยว 5555 เรื่องนี้จะเป็น ice breaker สำหรับคนที่เพิ่งรู้จักกัน แล้วมันก็จะเชื่อมๆไปถึงประเทศบ้านเกิดเรา กลายเป็นเรื่องคุยได้ยาว อันดับที่สองคนเรื่องเกี่ยวกับครอบครัว บ้าน family gathering คนมีลูกก็จะชอบมาแชร์เรื่องกิจกรรมที่โรงเรียนของลูกๆ คนที่ไม่มีก็จะเล่าเรื่องทำบ้านใหม่ ซื้อบ้าน ย้ายบ้าน ซ่อมบ้าน ทาสีเอง มาถึงตรงนี้ ความ DIY ของคนดัชต์อยู่ในระดับ 10/10 เพราะแรงงานที่ขาดแคลนและค่าจ้างที่แพง เค้าก็เลยมีสกิลซ่อมบ้าน ทาสีบ้านกันเอง พี่ไทยหรอ จ้างสิคะ จะเหนื่อยทำไม อันดับที่สาม เรื่องงาน ไม่ได้ออกแนวบ่นๆ แต่บางทีในเวลางานไม่มีเวลาคุยกัน ก็จะมีคุยช่วงกินข้าวบ้าง
จะเห็นได้ว่า 3 เรื่องยอดฮิตไม่มีความเม้ามอยเลยค่า ไม่ค่อยได้พูดถึงชีวิตคนอื่น หรือแอบดูว่าคนนั้นคนนี้คบกะใครเลิกกะใคร เม้าเจ้านาย หรือใครถูกเชิญออกจากบริษัทยังไม่ค่อยพูดกันเลย จะว่าดีมันก็ดีนะที่การนินทาหรือตัดสินคนอื่นจากภายนอกมีน้อยมาก แต่มันก็ขาดสีสันในชีวิตไปนิดนึง ฮ่าๆๆๆ
mood & feel หรอคะ มันไม่ค่อยเฮฮาเหมือนกินกะเพื่อนคนไทยอยู่แล้วแหละ เพราะคนยุโรปด้วยบุคลิก การพูดจา ภาษา มันดูนิ่งๆ มีมาดหน่อย ไม่ได้พูดไปหัวเราะไป ตลกโปกฮา คุยพร้อมๆกันได้แบบที่ละสามเรื่องแบบพี่ไทย เวลาใครพูดอยู่คนอื่นๆก็จะหยุดฟัง แล้วพูดจบเป็นเรื่องๆ ไม่ได้แบบหันไปคุยกะคนข้างๆพร้อมๆกันงี้ แรกๆเราไม่ชินเลยนะ เราเกร็งที่คน 6 คนหันมาตั้งใจฟังเราพูดอยู่คนเดียว แล้วก็ discuss อยู่เรื่องนี้ซักพัก ก่อนเปลี่ยน topic แต่ละคนในโต๊ะอาหารก็จะชอบแสดงความคิดเห็นด้วยออกแนวจริงจังในเรื่องทั่วๆไปอะ นึกออกปะ แต่วัฒนธรรมเราก็จะคุยไปแซวไปกระโดดไปเรื่องนู้นเรื่องนี้แล้วกลับมาเรื่องเดิมได้
แค่เรื่องกินข้าวเที่ยงธรรมดาๆคนแต่ละชาติยังต่างกันได้ขนาดนี้ ตลกดีเนาะ 🙂
ติดตามบทความอื่นๆได้ที่นี่นะคะ
kwangsblog.wordpress.com
เรื่องเล่าจากการทำงานที่เนเธอร์แลนด์ - 04 When we have a lunch break
ทำไมเวลาพักกลางวันถึงกลายมาเป็นประเด็นได้ … ก่อนอื่นต้องเหลาก่อนว่าตอนเที่ยงเป็นโมเม้นท์เดียวที่จะคุยเรื่องอื่นๆกับเพื่อนร่วมงานบ้าง เพราะตอนทำงานพวกนางไม่ค่อยคุยกัน พอเลิกงานก็บ้านใครบ้านมัน ไม่ได้ชวนกันไปกินข้าวต่อเหมือนพี่ไทย และมันมีสิ่งที่น่าสังเกต นั่นก็คือความต่างทางวัฒนธรรมผ่านมุมมองคนไทย ทั้งเรื่องอาหารการกิน เนื้อหาสาระที่คุย และ mood & feel
ในส่วนของอาหารการกินนั้น ที่ออฟฟิศชั้นล่างจะมี cafeteria ไม่ได้ใหญ่บึ้มเป็นโรงอาหาร ข้างนอกก็ไม่ได้มีอะไรขาย ก็เลยอยู่แค่ในตึก ไลน์อาหารก็จะมีสลัดบาร์ ซุป ขนมปังเปล่าๆหลายชนิด แฮม ชีส อาหารร้อน โทสต์ แซนวิชหลายแบบ โยเกิร์ต ผลไม้ ที่พอจะพึ่งพาได้หน่อยเวลาที่ขี้เกียจหรือลืมกล่องข้าวไว้หน้าตู้เย็นที่บ้าน ก็คืออาหารร้อน นางก็จะวนๆไป มีวันละ 1 เมนู ย้ำเมนูเดียวเท่านั้น!! บางวันก็เป็น พาสต้า เบอร์เกอร์ ปลาทอด และ vegetarian menu อาหารที่นี่ไม่ใส่น้ำตาล ของหวาน น้ำอัดลมไม่มี อาหารร้อนมันก็ไม่ค่อยถูกปากคนไทย คนที่นี่เป็น Vegan และ Pescatarian (กินปลาแต่ไม่กินเนื้อแดง) กันเยอะมากกว่าที่คิด ตอนนี้เราก็ค่อยๆเปลี่ยนมาเป็น Pescatarian เหมือนกันแต่ชิวๆ
typical lunch for Dutch มัน น่า เบื่อ มาก เค้ากินแค่ขนมปังเปล่าๆโปะชีส 1 แผ่น ดีหน่อยก็มีแฮมด้วย+ซุป หรือสลัด+ซุป และปิดท้ายด้วยนมจืดแก้วใหญ่ ตัวเป็นยักษ์แต่กินแค่นี้ ส่วนคนยุโรปทั่วๆไปก็จะมีตั้งแต่แซนวิชที่ full option อีกหน่อย หรืออาหารร้อน+สลัด/ซุป สรุปว่าคนดัชต์เป็นชาติที่กินง่าย กินน้อยที่สุดถ้าเทียบกับขนาดตัวเท่าที่เคยเจอมา ก็เลยมีการวิเคราะห์กับเพื่อนๆคนเอเชียกันว่า คนดัชต์กินเพื่อ biological need เท่านั้น ง่ายๆ น้อยๆ จืดๆ แห้งๆ เย็นๆ มันก็ไม่ค่อยถูกจริตคนไทยอะนะ เรากลับไทยทีไรก็จะรู้สึกว่าเมืองไทยเป็นเมืองน้ำตาลจริงๆ วิธีการเอาตัวรอดของเราก็คือทำข้าวกล่องไปกินตลอดเพราะเรา need hot meal
เวลาพักเที่ยงคือ 30-45 นาที ไม่ซีเรียส แต่คุณพี่ดัชต์จะกินเร็วมาก กินเสร็จขึ้นไปทำงานต่อได้เลย ไม่ค่อยนั่งแช่ ส่วนยุโรปชาติอื่นๆก็จะนั่งต่ออีกหน่อย แล้วนั่งคุยอะไรกันบ้าง อันดับแรกก็คือเรื่องแพลนเที่ยว มีตั้งแต่ระยะสั้นคือวันศุกร์เย็น/weekend ระยะยาวคือ summer/easter/x’mas แปลกเนาะที่ในหัวพวกนางมีแต่เรื่องกิจกรรมวันหยุดหรือวางแผนเที่ยว 5555 เรื่องนี้จะเป็น ice breaker สำหรับคนที่เพิ่งรู้จักกัน แล้วมันก็จะเชื่อมๆไปถึงประเทศบ้านเกิดเรา กลายเป็นเรื่องคุยได้ยาว อันดับที่สองคนเรื่องเกี่ยวกับครอบครัว บ้าน family gathering คนมีลูกก็จะชอบมาแชร์เรื่องกิจกรรมที่โรงเรียนของลูกๆ คนที่ไม่มีก็จะเล่าเรื่องทำบ้านใหม่ ซื้อบ้าน ย้ายบ้าน ซ่อมบ้าน ทาสีเอง มาถึงตรงนี้ ความ DIY ของคนดัชต์อยู่ในระดับ 10/10 เพราะแรงงานที่ขาดแคลนและค่าจ้างที่แพง เค้าก็เลยมีสกิลซ่อมบ้าน ทาสีบ้านกันเอง พี่ไทยหรอ จ้างสิคะ จะเหนื่อยทำไม อันดับที่สาม เรื่องงาน ไม่ได้ออกแนวบ่นๆ แต่บางทีในเวลางานไม่มีเวลาคุยกัน ก็จะมีคุยช่วงกินข้าวบ้าง
จะเห็นได้ว่า 3 เรื่องยอดฮิตไม่มีความเม้ามอยเลยค่า ไม่ค่อยได้พูดถึงชีวิตคนอื่น หรือแอบดูว่าคนนั้นคนนี้คบกะใครเลิกกะใคร เม้าเจ้านาย หรือใครถูกเชิญออกจากบริษัทยังไม่ค่อยพูดกันเลย จะว่าดีมันก็ดีนะที่การนินทาหรือตัดสินคนอื่นจากภายนอกมีน้อยมาก แต่มันก็ขาดสีสันในชีวิตไปนิดนึง ฮ่าๆๆๆ
mood & feel หรอคะ มันไม่ค่อยเฮฮาเหมือนกินกะเพื่อนคนไทยอยู่แล้วแหละ เพราะคนยุโรปด้วยบุคลิก การพูดจา ภาษา มันดูนิ่งๆ มีมาดหน่อย ไม่ได้พูดไปหัวเราะไป ตลกโปกฮา คุยพร้อมๆกันได้แบบที่ละสามเรื่องแบบพี่ไทย เวลาใครพูดอยู่คนอื่นๆก็จะหยุดฟัง แล้วพูดจบเป็นเรื่องๆ ไม่ได้แบบหันไปคุยกะคนข้างๆพร้อมๆกันงี้ แรกๆเราไม่ชินเลยนะ เราเกร็งที่คน 6 คนหันมาตั้งใจฟังเราพูดอยู่คนเดียว แล้วก็ discuss อยู่เรื่องนี้ซักพัก ก่อนเปลี่ยน topic แต่ละคนในโต๊ะอาหารก็จะชอบแสดงความคิดเห็นด้วยออกแนวจริงจังในเรื่องทั่วๆไปอะ นึกออกปะ แต่วัฒนธรรมเราก็จะคุยไปแซวไปกระโดดไปเรื่องนู้นเรื่องนี้แล้วกลับมาเรื่องเดิมได้
แค่เรื่องกินข้าวเที่ยงธรรมดาๆคนแต่ละชาติยังต่างกันได้ขนาดนี้ ตลกดีเนาะ 🙂
ติดตามบทความอื่นๆได้ที่นี่นะคะ kwangsblog.wordpress.com