สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 13
ท่านอ.พุทธทาสบอกว่านี่เป็นพุทธดำรัส)" rel="nofollow" >ความคิดเห็นที่ 9
"ตราบใดที่ยังมีการเป็นอยู่ชอบ โลกจักไม่ว่างจากพระอรหันต์" (ท่าน อ. พุทธทาส บอกว่า นี่เป็นพุทธดำรัส)
ท่านพุทธทาส ก็มีทิฏฐิไปทางตายแล้วสูญ นรก สวรรค์ ไม่มี จนกล่าวตู่ พระพุทธเจ้าว่า ตรัสขัดแย้งกันเอง

กรณีธรรมกลาย
http://b2b2.tripod.com/tmk/
นิพพานเป็นอนัตตา.....42
นิพพาน ไม่ใช่ปัญหาอภิปรัชญา.....42
แหล่งความรู้ที่ชัดเจนมีอยู่ ก็ไม่เอา กลับไปหาทางเดาร่วมกับพวกที่ยังสับสน.....47
พระพุทธเจ้าตรัสไว้แน่นอนเด็ดขาด ว่าลัทธิถืออัตตาไม่ใช่คำสอน ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า.....50
พระไตรปิฎกและอรรถกถาระบุว่า นิพพานเป็นอนัตตา.....53
การหาทางตีความ ให้นิพพานเป็นอัตตา…………60
การใช้ตรรกะที่ผิด เพื่อให้คิดว่านิพพานเป็นอัตตา.....64
การจับคำความที่ผิดมาอ้างเป็นหลักฐาน เพื่อให้นิพพานเป็นอัตตา.....66
เมื่อจำนนด้วยหลักฐาน ก็หาทางทำให้สับสน……68
เมื่อหลักฐานก็ไม่มี ตีความก็ไม่ได้ ก็หันไปอ้างผลจากการปฏิบัติ.....71
เพราะไม่เห็นแก่พระธรรมวินัย จึงต้องหาทางดิ้นรนเพื่อหนีให้พ้นสัจจะ.....73
ความซื่อตรงต่อหลักพระศาสนา และมีเมตตาต่อประชาชน คือหัวใจของการรักษาระบบไตรสิกขาไว้ให้แก่ประชาสังคม.....75
ธรรมกาย เรื่องสูงที่ไม่ใหญ่.....79
ธรรมกายแบบไหน ก็มีความหมายชัดเจนของแบบนั้น.....79
ธรรมกายเดิมแท้ในพุทธกาล.....83
บำรุงเลี้ยงบริหารร่างกายไว้ รูปกายก็เจริญงอกงาม หมั่นบำเพ็ญศีลสมาธิปัญญา ธรรมกายก็เจริญขึ้นมาเติบโตได้เอง.....89
จะมองดูรูปกาย ก็อาศัยเพียงตาเนื้อ แต่ต้องมีตาปัญญา จึงจะมองเห็นธรรมกาย……93
จะเอาธรรมกายของพระพุทธเจ้า หรือธรรมกายแบบไหน ก็มีเสรีภาพเลือกได้ แต่ขอให้บอกไปตามตรง……97
ความเห็นผิดสุดโต่ง ๒ สาย (ธรรมกลาย / พุทธทาส)
http://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/Y2639614/Y2639614.html
นิพพานฟลุก - พุทธทาสภิกขุ
http://pantip.com/topic/34601873
"ตราบใดที่ยังมีการเป็นอยู่ชอบ โลกจักไม่ว่างจากพระอรหันต์" (ท่าน อ. พุทธทาส บอกว่า นี่เป็นพุทธดำรัส)
ท่านพุทธทาส ก็มีทิฏฐิไปทางตายแล้วสูญ นรก สวรรค์ ไม่มี จนกล่าวตู่ พระพุทธเจ้าว่า ตรัสขัดแย้งกันเอง

กรณีธรรมกลาย
http://b2b2.tripod.com/tmk/
นิพพานเป็นอนัตตา.....42
นิพพาน ไม่ใช่ปัญหาอภิปรัชญา.....42
แหล่งความรู้ที่ชัดเจนมีอยู่ ก็ไม่เอา กลับไปหาทางเดาร่วมกับพวกที่ยังสับสน.....47
พระพุทธเจ้าตรัสไว้แน่นอนเด็ดขาด ว่าลัทธิถืออัตตาไม่ใช่คำสอน ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า.....50
พระไตรปิฎกและอรรถกถาระบุว่า นิพพานเป็นอนัตตา.....53
การหาทางตีความ ให้นิพพานเป็นอัตตา…………60
การใช้ตรรกะที่ผิด เพื่อให้คิดว่านิพพานเป็นอัตตา.....64
การจับคำความที่ผิดมาอ้างเป็นหลักฐาน เพื่อให้นิพพานเป็นอัตตา.....66
เมื่อจำนนด้วยหลักฐาน ก็หาทางทำให้สับสน……68
เมื่อหลักฐานก็ไม่มี ตีความก็ไม่ได้ ก็หันไปอ้างผลจากการปฏิบัติ.....71
เพราะไม่เห็นแก่พระธรรมวินัย จึงต้องหาทางดิ้นรนเพื่อหนีให้พ้นสัจจะ.....73
ความซื่อตรงต่อหลักพระศาสนา และมีเมตตาต่อประชาชน คือหัวใจของการรักษาระบบไตรสิกขาไว้ให้แก่ประชาสังคม.....75
ธรรมกาย เรื่องสูงที่ไม่ใหญ่.....79
ธรรมกายแบบไหน ก็มีความหมายชัดเจนของแบบนั้น.....79
ธรรมกายเดิมแท้ในพุทธกาล.....83
บำรุงเลี้ยงบริหารร่างกายไว้ รูปกายก็เจริญงอกงาม หมั่นบำเพ็ญศีลสมาธิปัญญา ธรรมกายก็เจริญขึ้นมาเติบโตได้เอง.....89
จะมองดูรูปกาย ก็อาศัยเพียงตาเนื้อ แต่ต้องมีตาปัญญา จึงจะมองเห็นธรรมกาย……93
จะเอาธรรมกายของพระพุทธเจ้า หรือธรรมกายแบบไหน ก็มีเสรีภาพเลือกได้ แต่ขอให้บอกไปตามตรง……97
ความเห็นผิดสุดโต่ง ๒ สาย (ธรรมกลาย / พุทธทาส)
http://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/Y2639614/Y2639614.html
นิพพานฟลุก - พุทธทาสภิกขุ
http://pantip.com/topic/34601873
ความคิดเห็นที่ 7
ต้องการนิพพานต้องรู้ถูก
http://pantip.com/topic/30134196/comment5

นรชาติชายหญิง ผู้มีปัญญาแต่กำเนิด
มีความเพียรเป็นเครื่องเผากิเลสมีปัญญาบริหารจิต
เห็นภัยในการเวียนว่ายตายเกิด ตั้งมั่นในศีล
อบรมสมาธิและวิปัสสนาปัญญาเท่านั้น นรชนชาติชายหญิงนี้เท่านั้น
จึงจะสามารถสางรกชัฏที่เป็นเสมือนข่ายคือ ตัณหาออกได้
++++++++++++++++++++++++++++++++
ความหมายพระนิพพาน จากพระไตรปิฏก อรรถกถา และผู้ทรงพระไตรปิฏก
http://pantip.com/topic/31817916/comment1
นิพพานมี ๒ ประเภท
นิพพาน เมื่อกล่าวโดยปริยายแห่งเหตุ(การณูปจารปัจจัย)แล้ว มี ๒ ประเภท คือ
๑. สอุปาทิเสสนิพพาน ได้แก่ นิพพานที่เป็นไปกับขันธ์ ๕
๒. อนุปาทิเสสนิพพาน ได้แก่ นิพพานที่ไม่มีขันธ์ ๕
************************************************
คุณลักษณะของพระนิพพานมี ๓ ประการ คือ
๑. มีความสงบจากกิเลสและขันธ์ เป็นลักษณะ
๒. ไม่มีความแตกดับ คือ มีความเที่ยง เป็นกิจ
๓. ไม่มีนิมิตเครื่องหมายใด ๆ เป็นผลปรากฏ
พระนิพพานเป็นสันติสุข คือ สุขอันเกิดขึ้นจากความสงบ จากกิเลส สงบจากขันธ์ ไม่ใช่ความสุขชนิดที่ได้จากการเสวยอารมณ์ที่สบายกาย สบายใจในกามเทพ หรือในภพต่างๆ ซึ่งยังมีที่ไป เพราะเมื่อมีสถานที่ไปก็ต้องมีการเกิด เมื่อมีการเกิดแล้วไม่มีใครปฏิเสธความทุกข์ที่จะต้องพ่วงติดมาด้วยได้ ฉะนั้นเมื่อยังเกิดอยู่ ต้องมีทุกข์อย่างแท้จริง จึงไม่ใช่พระนิพพาน เป็นเพียง “สะพาน” ยืนอยู่ตรงนี้นึกว่ามีความสุข เกิดความชอบแล้วมันก็ไม่เที่ยง ยืนนาน ๆ ก็ทุกข์ จะพ้นทุกข์ได้คือพระนิพพานพ้นจากกิเลส พ้นจากการเกิด พ้นจากสังสารวัฎ
ความสุขของพระนิพพานจึงเรียกว่า “สันติสุข” เพราะเป็นความสุขที่เกิดจากการพ้นจากกิเลสและพ้นจากขันธ์ ๕ โดยการรื้อสัญญาและล้างสังโยชน์ คือไม่มีสักกายทิฎฐิ ไม่มีความเข้าใจผิดว่าเป็น “ฉัน” เป็น “ของฉัน” ไม่มีความลังเลสงสัย ไม่มีความประมาท ไม่มีการยินดีติดใจในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ไม่มีการกระทบกระทั่งของจิต ไม่มีการติดอยู่ในรูป ไม่มีการติดอยู่ในนาม ไม่มีมานะ ไม่มีอุทธัจจะ ไม่มีอวิชชา นั่นคืออรหัตตมรรค อรหัตตผล คือสิ้นสุดการเกิด
การฏิบัติธรรมในแนวทางธรรมกาย ทำให้เกิดพระอริยบุคคลมั๊ยครับ ?
คือตรงข้ามกับสิ่งที่ พระพุทธเจ้าสอน ( พระไตรปิฏก นิกายเถรวาท) ตั้งเป้าหมายสูงสุด คือนิพพาน แล้วครับ
ลัทธินี้ สอนว่า นิพพานเป็นอัตตา เข้าถึงด้วยวิธีที่ลัทธิตนค้นพบขึ้นมาใหม่ เท่านั้น
http://pantip.com/topic/30134196/comment5

นรชาติชายหญิง ผู้มีปัญญาแต่กำเนิด
มีความเพียรเป็นเครื่องเผากิเลสมีปัญญาบริหารจิต
เห็นภัยในการเวียนว่ายตายเกิด ตั้งมั่นในศีล
อบรมสมาธิและวิปัสสนาปัญญาเท่านั้น นรชนชาติชายหญิงนี้เท่านั้น
จึงจะสามารถสางรกชัฏที่เป็นเสมือนข่ายคือ ตัณหาออกได้
++++++++++++++++++++++++++++++++
ความหมายพระนิพพาน จากพระไตรปิฏก อรรถกถา และผู้ทรงพระไตรปิฏก
http://pantip.com/topic/31817916/comment1
นิพพานมี ๒ ประเภท
นิพพาน เมื่อกล่าวโดยปริยายแห่งเหตุ(การณูปจารปัจจัย)แล้ว มี ๒ ประเภท คือ
๑. สอุปาทิเสสนิพพาน ได้แก่ นิพพานที่เป็นไปกับขันธ์ ๕
๒. อนุปาทิเสสนิพพาน ได้แก่ นิพพานที่ไม่มีขันธ์ ๕
************************************************
คุณลักษณะของพระนิพพานมี ๓ ประการ คือ
๑. มีความสงบจากกิเลสและขันธ์ เป็นลักษณะ
๒. ไม่มีความแตกดับ คือ มีความเที่ยง เป็นกิจ
๓. ไม่มีนิมิตเครื่องหมายใด ๆ เป็นผลปรากฏ
พระนิพพานเป็นสันติสุข คือ สุขอันเกิดขึ้นจากความสงบ จากกิเลส สงบจากขันธ์ ไม่ใช่ความสุขชนิดที่ได้จากการเสวยอารมณ์ที่สบายกาย สบายใจในกามเทพ หรือในภพต่างๆ ซึ่งยังมีที่ไป เพราะเมื่อมีสถานที่ไปก็ต้องมีการเกิด เมื่อมีการเกิดแล้วไม่มีใครปฏิเสธความทุกข์ที่จะต้องพ่วงติดมาด้วยได้ ฉะนั้นเมื่อยังเกิดอยู่ ต้องมีทุกข์อย่างแท้จริง จึงไม่ใช่พระนิพพาน เป็นเพียง “สะพาน” ยืนอยู่ตรงนี้นึกว่ามีความสุข เกิดความชอบแล้วมันก็ไม่เที่ยง ยืนนาน ๆ ก็ทุกข์ จะพ้นทุกข์ได้คือพระนิพพานพ้นจากกิเลส พ้นจากการเกิด พ้นจากสังสารวัฎ
ความสุขของพระนิพพานจึงเรียกว่า “สันติสุข” เพราะเป็นความสุขที่เกิดจากการพ้นจากกิเลสและพ้นจากขันธ์ ๕ โดยการรื้อสัญญาและล้างสังโยชน์ คือไม่มีสักกายทิฎฐิ ไม่มีความเข้าใจผิดว่าเป็น “ฉัน” เป็น “ของฉัน” ไม่มีความลังเลสงสัย ไม่มีความประมาท ไม่มีการยินดีติดใจในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ไม่มีการกระทบกระทั่งของจิต ไม่มีการติดอยู่ในรูป ไม่มีการติดอยู่ในนาม ไม่มีมานะ ไม่มีอุทธัจจะ ไม่มีอวิชชา นั่นคืออรหัตตมรรค อรหัตตผล คือสิ้นสุดการเกิด
การฏิบัติธรรมในแนวทางธรรมกาย ทำให้เกิดพระอริยบุคคลมั๊ยครับ ?
คือตรงข้ามกับสิ่งที่ พระพุทธเจ้าสอน ( พระไตรปิฏก นิกายเถรวาท) ตั้งเป้าหมายสูงสุด คือนิพพาน แล้วครับ
ลัทธินี้ สอนว่า นิพพานเป็นอัตตา เข้าถึงด้วยวิธีที่ลัทธิตนค้นพบขึ้นมาใหม่ เท่านั้น
ความคิดเห็นที่ 6
เรื่องละเอียดอ่อนนะครับ ที่ถกกันก็ไม่มีใครเป็นพระอริยะสักคน และที่บอกว่าท่านนั้นท่านนี้เป็นพระอริยะ เราใช้อะไรเป็นเกณฑ์ตัดสินครับ
- ท่านบอกว่าตัวเองเป็นพระอริยะ
- อาจารย์ท่านบอก
- ญาติโยมบอก
ฉะนั้น เรื่องความเป็นอริยะนี่ละเอียดอ่อนครับ อย่าตัดสินโดยผิวเผิน ทุกคนและทุกหมู่คณะต่างสำคัญผิดได้เท่าเทียมกัน ดีที่สุดคืออย่าไปปรามาสใคร ยึดหลักอณูปวาโทไม่ว่าร้ายตามหลักของพระพุทธเจ้าครับ แต่ก็ให้พยายามศึกษาหาธรรมที่แท้จริงให้ได้
จะบอกจากที่ฟังและอ่านมาหลายทางนะครับ ไม่อาจชี้วัดอะไรได้ ฟังหูไว้หูเอาไว้พิจารณาต่อไปครับ
=========
สายหลวงปู่มั่น ตามประวัติที่หลวงตามหาบัวท่านเล่าไว้ คือ ท่านว่าท่านหลุดพ้นแบบไม่บรรลุปฏิสัมภิทาญาณ คือ ญาณที่รู้ทั่วถึงธรรม เรียกว่าท่านไม่สามารถสอนธรรมได้เหมือนผู้ที่แตกฉานในพระไตรปิฎก ท่านสอนตามวิสัย ตามภาษาของท่าน
ท่านเห็นดวงสว่างที่กลางหน้าอก และเท่าที่ตามศึกษามา ผู้ที่บรรลุธรรมในสายท่านก็เห็นเหมือนกัน เพียงแต่ไม่ยกเป็นประเด็นครับ เรียกว่าให้ไปรู้เห็นเอง ท่านเรียกว่าดวงพุทโธ และมักมีการพิจารณาธรรมในสภาวะนั้น
ท่านมักเห็นเทวดามาปรากฏและบอกเรื่องราวต่าง ๆ ทำให้ท่านรู้ทันผู้อื่น ท่านยังเห็นพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์มาอนุโมทนาอีกด้วย สายนี้หลายท่านยืนยันว่าตนเองเป็นพระอรหันต์ครับ บางท่านก็ว่าเป็นพระโพธิสัตว์ อันนี้คร่าว ๆ
ผมเคยเจอพระสายนี้อยู่บ้างโดยบังเอิญ รู้สึกว่ารอบตัวท่านเย็นมากครับ ว่าจะไปถวายทานก็กลายเป็นนั่งสนทนาธรรมกับท่านเป็นชั่วโมง บางทีนึก ๆ อยู่ว่าแถวนี้จะมีพระให้ถวายไหม เพราะวัดสายนี้มักจะเงียบสงบครับ แล้วท่านก็มาจากไหนไม่รู้ไม่ทันเห็น เห็นอีกทีมานั่งยิ้มปูผ้ารับประเคนแล้ว พอถวายเสร็จท่านก็ลุกเดินไปเลย ไม่ให้พรอะไรทั้งสิ้น แต่พอนึกได้พยายามหาว่าท่านเดินไปไหนก็หาไม่เจอ ทั้ง ๆ ที่ท่านก็ชราภาพมากแล้วครับ ทำงงไปพักนึง
=====
สายหลวงปู่ฤาษีลิงดำซึ่งเป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่ปานวัดบางนมโค ท่านเห็นพระพุทธรูปยืนยิ้มลอยอยู่ตรงหน้ามาตั้งแต่เด็กครับ ท่านเรียกว่าพระองค์ยิ้ม และเมื่อบรรลุธรรมแล้วพระองค์ยิ้มท่านก็มีการพัฒนาไปในแบบต่าง ๆ ท่านได้ไปสวรรค์ ไปนิพพาน และการไปนิพพานครั้งแรกของท่าน คือหลวงปู่ปานส่งท่านไปเรียนกับหลวงปู่วัดปากน้ำครับ ท่านว่าท่านสอนเองไม่ได้
แต่เรื่องราวของท่านเยอะครับ สิ่งที่ท่านเล่าก็เยอะมาก ท่านว่าท่านเป็นพระโพธิสัตว์แต่ท่านลาในชาตินี้เพื่อเป็นพระอรหันต์โปรดสัตว์โลก สายนี้เป็นสายอภิญญาหรือเรียกว่ามโนมยิทธิ ดังนั้นสายนี้จึงมักมีการพยากรณ์มรรคผล ตรวจสอบบารมี ตรวจสอบภพภูมิ รวมถึงการลาพุทธภูมิครับ
เรื่องที่ทำให้ประหลาดใจคือ สายนี้มีผู้ฝึกได้ผลเป็นชิ้นเป็นอันเยอะครับ เช่น ผมเคยคุยกับคน ๆ หนึ่งเขาแสวงหาอาจารย์ เขาก็ไล่ไปฝึกมาทีละสาย ซึ่งตอนนั้นเขายังไม่ได้มีประสบการณ์อะไร ฝึกมาทุกสายจนเหลือสายนี้กับสายธรรมกาย เขาก็ไปฝึกสายนี้ก่อน พอได้คุยกันอีกที เขาสามารถไปดูนรก ไปดูสวรรค์ ไปดูนิพพานได้แล้ว และเขาก็บอกว่าพบทางของตัวเองและหยุดที่สายนี้ครับ และน่าจะเป็นอาจารย์ไปแล้ว เขาไม่ได้เล่าอะไรมากมาย แต่ก็เข้าใจครับ เรื่องพวกนี้เล่ามั่วไม่ได้
อีกคนที่เจอในสายนี้คือเขาทักได้ถูกต้องว่าผมกำลังฝึกสมาธิอยู่ แต่ที่ไม่เข้าใจคือเขาว่าผมได้ฌาน 4 ที่คล่องดีแล้ว จะฝึกกรรมฐานไหนก็ได้ จะต่อวิปัสสนาก็ได้ ที่เขาว่ามาคือผมไม่เคยบอกอะไรเขาเลย แต่ทว่าสำหรับผมก็แค่พอได้เท่านั้น ไม่คิดว่าจะได้ฌานอะไร ยังไม่ใกล้เคียงเลย
=====
สายธรรมกาย หรือสายหลวงปู่วัดปากน้ำครับ เอาตามคำของหลวงปู่เลย คือ ต้องได้ธรรมกายเท่านั้นจึงจะบรรลุอริยบุคคล ท่านว่าพ้นจากนี้คือผิดทาง ที่สำคัญท่านเคยเป็นศิษย์ของพระอาจารย์หลายท่าน และพระอาจารย์ทุกท่านก็ยืนยันว่าท่านเรียนหมดแล้วทำได้เหมือนอาจารย์ แต่ท่านกลับเห็นว่ายังไม่ใช่ของจริงครับ ท่านเลยมาปฏิบัติเองจนบรรลุธรรมกาย
ความรู้ของสายธรรมกายถือว่าเว่อร์วังอลังการมากครับ เพราะมีทั้งวิชชา อภิญญา และปฏิสัมภิทาญาณ รู้เห็นนรก สวรรค์ นิพพาน และพระอภิธรรม เช่น ชวนะจิตที่เกิดดับรวดเร็วนี่หลวงปู่วัดปากน้ำท่านก็สอน สอนให้ไปดูไม่ใช่สอนแต่ในตำรา การปฏิบัติก็มีขั้นตอนที่ชัดเจนมีจุดสำคัญตรงที่ว่า ถ้าเห็นในตำแหน่งอื่น ๆ ถือว่าไม่ใช่ของจริงครับ ต้องน้อมทุกอย่างที่เห็นมาไว้ที่จุดที่ท่านเรียกว่าศูนย์กลางกายฐานที่ 7 อยู่กลางท้องเหนือสะดือ 2 นิ้วมือ จึงจะเดินเข้าไปสู่มรรคผลที่แท้จริงได้ครับ และทุกคนที่ทำเช่นนี้ก็จะพบพระธรรมกายเหมือนกันหมด และใช้ธรรมกายนั้นพิจารณาธรรมเป็นวิปัสสนาเพื่อบรรลุเป็นพระอริยบุคคลต่อไป
ดังนั้น ตามสายของธรรมกายแล้ว ยุคนี้ "ไม่มี" พระอริยบุคคลตั้งแต่โสดาบันขึ้นไปครับ ไม่ใช่แค่ในสายธรรมกาย แต่ไม่มีเลย เพราะผู้ที่รู้เห็นธรรมกายก็มีแต่ผู้ที่ฝึกได้ผลตามแนวของธรรมกายเท่านั้น และในสายของธรรมกายไม่มีใครบรรลุเป็นพระอริยบุคคลระดับโสดาบันขึ้นไปครับ เพราะเขาสร้างบารมีมาในลักษณะนั้น คือยังไม่ถึงเวลาของเขา และยุคนี้ไม่ใช่ยุคพระอริยะนั่นเอง ท่านว่าพระอรหันต์หรือความรู้เรื่องธรรมกาย หมดไปตั้งแต่ 500 ปีหลังพุทธกาลครับ
สายอื่น ๆ ผมก็พบมาบ้าง แต่ศึกษาไม่มากพอ และไม่ค่อยมีรายละเอียดเกี่ยวกับการบรรลุธรรมครับ เช่น สายหลวงพ่อเทียน สายหลวงพ่อจรัญ สายท่านพุทธทาส และอีกหลายสายที่มีทัศนคติแตกต่างกันไปครับ วิธีปฏิบัติก็ไม่เหมือนกัน แต่รู้ได้อย่างหนึ่งครับ ว่าการปฏิบัติธรรมนั้นได้ผลจริง ๆ เพียงแต่จะได้ผลในระดับไหนเท่านั้น เพราะแต่ละท่านก็มีคุณวิเศษชนิดที่สัมผัสได้กันไม่น้อยเลยครับ
- ท่านบอกว่าตัวเองเป็นพระอริยะ
- อาจารย์ท่านบอก
- ญาติโยมบอก
ฉะนั้น เรื่องความเป็นอริยะนี่ละเอียดอ่อนครับ อย่าตัดสินโดยผิวเผิน ทุกคนและทุกหมู่คณะต่างสำคัญผิดได้เท่าเทียมกัน ดีที่สุดคืออย่าไปปรามาสใคร ยึดหลักอณูปวาโทไม่ว่าร้ายตามหลักของพระพุทธเจ้าครับ แต่ก็ให้พยายามศึกษาหาธรรมที่แท้จริงให้ได้
จะบอกจากที่ฟังและอ่านมาหลายทางนะครับ ไม่อาจชี้วัดอะไรได้ ฟังหูไว้หูเอาไว้พิจารณาต่อไปครับ
=========
สายหลวงปู่มั่น ตามประวัติที่หลวงตามหาบัวท่านเล่าไว้ คือ ท่านว่าท่านหลุดพ้นแบบไม่บรรลุปฏิสัมภิทาญาณ คือ ญาณที่รู้ทั่วถึงธรรม เรียกว่าท่านไม่สามารถสอนธรรมได้เหมือนผู้ที่แตกฉานในพระไตรปิฎก ท่านสอนตามวิสัย ตามภาษาของท่าน
ท่านเห็นดวงสว่างที่กลางหน้าอก และเท่าที่ตามศึกษามา ผู้ที่บรรลุธรรมในสายท่านก็เห็นเหมือนกัน เพียงแต่ไม่ยกเป็นประเด็นครับ เรียกว่าให้ไปรู้เห็นเอง ท่านเรียกว่าดวงพุทโธ และมักมีการพิจารณาธรรมในสภาวะนั้น
ท่านมักเห็นเทวดามาปรากฏและบอกเรื่องราวต่าง ๆ ทำให้ท่านรู้ทันผู้อื่น ท่านยังเห็นพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์มาอนุโมทนาอีกด้วย สายนี้หลายท่านยืนยันว่าตนเองเป็นพระอรหันต์ครับ บางท่านก็ว่าเป็นพระโพธิสัตว์ อันนี้คร่าว ๆ
ผมเคยเจอพระสายนี้อยู่บ้างโดยบังเอิญ รู้สึกว่ารอบตัวท่านเย็นมากครับ ว่าจะไปถวายทานก็กลายเป็นนั่งสนทนาธรรมกับท่านเป็นชั่วโมง บางทีนึก ๆ อยู่ว่าแถวนี้จะมีพระให้ถวายไหม เพราะวัดสายนี้มักจะเงียบสงบครับ แล้วท่านก็มาจากไหนไม่รู้ไม่ทันเห็น เห็นอีกทีมานั่งยิ้มปูผ้ารับประเคนแล้ว พอถวายเสร็จท่านก็ลุกเดินไปเลย ไม่ให้พรอะไรทั้งสิ้น แต่พอนึกได้พยายามหาว่าท่านเดินไปไหนก็หาไม่เจอ ทั้ง ๆ ที่ท่านก็ชราภาพมากแล้วครับ ทำงงไปพักนึง
=====
สายหลวงปู่ฤาษีลิงดำซึ่งเป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่ปานวัดบางนมโค ท่านเห็นพระพุทธรูปยืนยิ้มลอยอยู่ตรงหน้ามาตั้งแต่เด็กครับ ท่านเรียกว่าพระองค์ยิ้ม และเมื่อบรรลุธรรมแล้วพระองค์ยิ้มท่านก็มีการพัฒนาไปในแบบต่าง ๆ ท่านได้ไปสวรรค์ ไปนิพพาน และการไปนิพพานครั้งแรกของท่าน คือหลวงปู่ปานส่งท่านไปเรียนกับหลวงปู่วัดปากน้ำครับ ท่านว่าท่านสอนเองไม่ได้
แต่เรื่องราวของท่านเยอะครับ สิ่งที่ท่านเล่าก็เยอะมาก ท่านว่าท่านเป็นพระโพธิสัตว์แต่ท่านลาในชาตินี้เพื่อเป็นพระอรหันต์โปรดสัตว์โลก สายนี้เป็นสายอภิญญาหรือเรียกว่ามโนมยิทธิ ดังนั้นสายนี้จึงมักมีการพยากรณ์มรรคผล ตรวจสอบบารมี ตรวจสอบภพภูมิ รวมถึงการลาพุทธภูมิครับ
เรื่องที่ทำให้ประหลาดใจคือ สายนี้มีผู้ฝึกได้ผลเป็นชิ้นเป็นอันเยอะครับ เช่น ผมเคยคุยกับคน ๆ หนึ่งเขาแสวงหาอาจารย์ เขาก็ไล่ไปฝึกมาทีละสาย ซึ่งตอนนั้นเขายังไม่ได้มีประสบการณ์อะไร ฝึกมาทุกสายจนเหลือสายนี้กับสายธรรมกาย เขาก็ไปฝึกสายนี้ก่อน พอได้คุยกันอีกที เขาสามารถไปดูนรก ไปดูสวรรค์ ไปดูนิพพานได้แล้ว และเขาก็บอกว่าพบทางของตัวเองและหยุดที่สายนี้ครับ และน่าจะเป็นอาจารย์ไปแล้ว เขาไม่ได้เล่าอะไรมากมาย แต่ก็เข้าใจครับ เรื่องพวกนี้เล่ามั่วไม่ได้
อีกคนที่เจอในสายนี้คือเขาทักได้ถูกต้องว่าผมกำลังฝึกสมาธิอยู่ แต่ที่ไม่เข้าใจคือเขาว่าผมได้ฌาน 4 ที่คล่องดีแล้ว จะฝึกกรรมฐานไหนก็ได้ จะต่อวิปัสสนาก็ได้ ที่เขาว่ามาคือผมไม่เคยบอกอะไรเขาเลย แต่ทว่าสำหรับผมก็แค่พอได้เท่านั้น ไม่คิดว่าจะได้ฌานอะไร ยังไม่ใกล้เคียงเลย
=====
สายธรรมกาย หรือสายหลวงปู่วัดปากน้ำครับ เอาตามคำของหลวงปู่เลย คือ ต้องได้ธรรมกายเท่านั้นจึงจะบรรลุอริยบุคคล ท่านว่าพ้นจากนี้คือผิดทาง ที่สำคัญท่านเคยเป็นศิษย์ของพระอาจารย์หลายท่าน และพระอาจารย์ทุกท่านก็ยืนยันว่าท่านเรียนหมดแล้วทำได้เหมือนอาจารย์ แต่ท่านกลับเห็นว่ายังไม่ใช่ของจริงครับ ท่านเลยมาปฏิบัติเองจนบรรลุธรรมกาย
ความรู้ของสายธรรมกายถือว่าเว่อร์วังอลังการมากครับ เพราะมีทั้งวิชชา อภิญญา และปฏิสัมภิทาญาณ รู้เห็นนรก สวรรค์ นิพพาน และพระอภิธรรม เช่น ชวนะจิตที่เกิดดับรวดเร็วนี่หลวงปู่วัดปากน้ำท่านก็สอน สอนให้ไปดูไม่ใช่สอนแต่ในตำรา การปฏิบัติก็มีขั้นตอนที่ชัดเจนมีจุดสำคัญตรงที่ว่า ถ้าเห็นในตำแหน่งอื่น ๆ ถือว่าไม่ใช่ของจริงครับ ต้องน้อมทุกอย่างที่เห็นมาไว้ที่จุดที่ท่านเรียกว่าศูนย์กลางกายฐานที่ 7 อยู่กลางท้องเหนือสะดือ 2 นิ้วมือ จึงจะเดินเข้าไปสู่มรรคผลที่แท้จริงได้ครับ และทุกคนที่ทำเช่นนี้ก็จะพบพระธรรมกายเหมือนกันหมด และใช้ธรรมกายนั้นพิจารณาธรรมเป็นวิปัสสนาเพื่อบรรลุเป็นพระอริยบุคคลต่อไป
ดังนั้น ตามสายของธรรมกายแล้ว ยุคนี้ "ไม่มี" พระอริยบุคคลตั้งแต่โสดาบันขึ้นไปครับ ไม่ใช่แค่ในสายธรรมกาย แต่ไม่มีเลย เพราะผู้ที่รู้เห็นธรรมกายก็มีแต่ผู้ที่ฝึกได้ผลตามแนวของธรรมกายเท่านั้น และในสายของธรรมกายไม่มีใครบรรลุเป็นพระอริยบุคคลระดับโสดาบันขึ้นไปครับ เพราะเขาสร้างบารมีมาในลักษณะนั้น คือยังไม่ถึงเวลาของเขา และยุคนี้ไม่ใช่ยุคพระอริยะนั่นเอง ท่านว่าพระอรหันต์หรือความรู้เรื่องธรรมกาย หมดไปตั้งแต่ 500 ปีหลังพุทธกาลครับ
สายอื่น ๆ ผมก็พบมาบ้าง แต่ศึกษาไม่มากพอ และไม่ค่อยมีรายละเอียดเกี่ยวกับการบรรลุธรรมครับ เช่น สายหลวงพ่อเทียน สายหลวงพ่อจรัญ สายท่านพุทธทาส และอีกหลายสายที่มีทัศนคติแตกต่างกันไปครับ วิธีปฏิบัติก็ไม่เหมือนกัน แต่รู้ได้อย่างหนึ่งครับ ว่าการปฏิบัติธรรมนั้นได้ผลจริง ๆ เพียงแต่จะได้ผลในระดับไหนเท่านั้น เพราะแต่ละท่านก็มีคุณวิเศษชนิดที่สัมผัสได้กันไม่น้อยเลยครับ
ความคิดเห็นที่ 5
สิ่งที่ต้องเข้าใจเป็นอย่างแรก คือ อะไรคือทางพ้นทุกข์ ใช่อริยมรรคหรือไม่
ข้อแรกของมรรค คือ สัมมาทิฏฐิ ซึ่งพระโสดาบัน พระอริยสงฆ์ขั้นต้น จะต้องทำความเห็นให้ตรง คือละสักกายะทิฏฐิให้ได้
สักกายทิฏฐิ คือ ความเห็นว่าเป็นตัวของตน เช่น เห็นรูป เห็นเวทนา เห็นวิญญาณ เป็นตน เป็นต้น
หลักคำสอนใดที่ให้หวังในภพ ยึดถือในสภาพตัวตน เป็นคน เป็นสัตว์ เป็นเรา เป็นเขา เป็นบุคคล ทำบุญแสนนึงได้ไปสวรรค์ชั้นนี้ ทำบุญล้านนึง จะมีวิมานอย่างนี้ ....พวกนี้ เป็นคำสอนที่ให้ยึดความเป็นตัวตนทั้งสิ้น
ในเมื่อเดินไม่ถูกทาง จะให้ไปถึงปลายทางที่ถูกต้องได้อย่างไร? หลงทางตั้งแต่เริ่มศึกษาแผนที่แล้ว
ข้อแรกของมรรค คือ สัมมาทิฏฐิ ซึ่งพระโสดาบัน พระอริยสงฆ์ขั้นต้น จะต้องทำความเห็นให้ตรง คือละสักกายะทิฏฐิให้ได้
สักกายทิฏฐิ คือ ความเห็นว่าเป็นตัวของตน เช่น เห็นรูป เห็นเวทนา เห็นวิญญาณ เป็นตน เป็นต้น
หลักคำสอนใดที่ให้หวังในภพ ยึดถือในสภาพตัวตน เป็นคน เป็นสัตว์ เป็นเรา เป็นเขา เป็นบุคคล ทำบุญแสนนึงได้ไปสวรรค์ชั้นนี้ ทำบุญล้านนึง จะมีวิมานอย่างนี้ ....พวกนี้ เป็นคำสอนที่ให้ยึดความเป็นตัวตนทั้งสิ้น
ในเมื่อเดินไม่ถูกทาง จะให้ไปถึงปลายทางที่ถูกต้องได้อย่างไร? หลงทางตั้งแต่เริ่มศึกษาแผนที่แล้ว
แสดงความคิดเห็น
การฏิบัติธรรมในแนวทางธรรมกาย ทำให้เกิดพระอริยบุคคลมั๊ยครับ ?