ตอนที่ผมบอกเพื่อนๆ ว่าจะไปเที่ยวประเทศอินเดีย เพื่อนจะนึกถึงการเดินทางแสนลำบาก รถไฟที่มีคนเกาะเต็มขบวน หรือแม้กระทั่งห้องน้ำสกปรกๆ เมื่อเพื่อนถามกลับมาว่า แล้วจะไปเที่ยวที่ไหน ? ผมตอบกลับไปว่า Leh ladakh ไง...ทุกคนที่ผมตอบไปทำหน้างงๆ แล้วถามกลับว่า มันคือที่ไหน ??

สวัสดีสมาชิกทุกท่าน กระทู้นี้ผมพยายามใช้ตัวหนังสือให้น้อยที่สุด เนื่องจากเนื้อหามีหลายส่วน และรูปเยอะมาาาาาก ~ โดยเนื้อหาสำคัญจะแบ่งเป็นสองส่วน ดังนี้
1. รูป, รูป และ รูป..,
2. ข้อควรรู้จากประสบการณ์จริง และการเตรียมตัวก่อนเดินทางรวมถึงแผนและค่าใช้จ่าย (สำหรับ 3 วัน 2 คืน)
ก่อนเข้ากระทู้ขอขอบคุณครูปู ซึ่งเป็นครูสอนถ่ายรูปที่แนะนำอุปกรณ์ และให้คำแนะนำช่วงเวลาการเดินทางให้พอดีกับช่วงใบไม้เปลี่ยนสี(ช่วงเวลาใบไม้เปลี่ยนสีของ Leh จะอยู่ประมาณเดือนตุลาคมของทุกปี) ติดตามผลงานครูปูได้จากลิงค์ด้านล่างนี้เลย
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้https://www.facebook.com/Boonrawdphotography/
และที่ต้องขอบคุณอีกคนก็คือตัวเอง

ที่ดึงตัวเองออกจากชีวิตติด Loop มนุษย์เงินเดือน ไปพบโลกกว้าง แถมยังได้ Passion และเป้าหมายชีวิตกลับมาอีกเพียบ !! ว่าแล้วเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา ขอนำทุกท่านทยานข้ามฟ้ามุ่งสู่ดินแดนที่สวยงามดั่งเทพนิยาย Leh Ladakh ประเทศอินเดีย ส่วนสวยแค่ไหนดูจากในรูปเลยครับ ไม่พูดเยอะ เจ็บคอ !!
ก่อนเข้ากระทู้ถ้าใครอยากเห็นบรรยากาศแบบเป็น Video กดเข้าไปดูในลิงค์ด้านล่างนี่เลยครับ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
เริ่มต้นเดินทางจาก กทม. ช่วงสามทุ่มไปลงที่สนามบินไปลงที่สนามบิน Bengaluru หลังจากถึงสนามบินก็ตรงดิ่งเข้าไปหา ตม. (อัธยาศัยดีนะ ถึงหน้าเขาจะไม่ยิ้มแย้ม อาจเพราะเราคุ้นเคยกับเมืองไทยเมืองยิ้ม) พอคุยจบก็หันมาถามตัวเองว่า คุยกับเขารู้เรื่องได้ไงวะ ?

ฟังสำเนียงไม่ค่อยรู้เรื่อง ฟังยากสมคำร่ำรือ
บรรยากาศน่ารักๆ ในสนามบิน ก่อนเดินทางไป Delhi

บรรยากาศสนามบิน Delhi ค่อนข้างอลังการ ที่นี่ขึ้นชื่อเรื่องตรวจกระเป๋านาน(นานจริงถ้าคนเยอะ) มีเจ้าหน้าที่ถือปืนใส่ชุดทหารหน้าดุๆ เดินเต็มไปหมด
อุณหภูมิสบายๆ ที่ 20 องศา ใส่เสื้อยืดรับลมหนาวชิวๆ

อารมณ์ตอนนี้ง่วงมาก ได้นอนบนเครื่องแค่ไม่กี่ชั่วโมง ร่างกายเพลียแต่ต้องเฝ้ากระเป๋าระหวางรอขึ้นเครื่องไปเลห์ เนื่องจากคนค่อนข้างชุกชุม
ช่วงฟ้าสางได้เวลาเดินทาง แต่ความง่วงไม่ปราณีผมซะแล้ว พอหาที่นั่งตัวเองเจอภาพก็ตัดทันที

ขณะกำลังหลับไหลอยู่ในพวังค์ จู่ๆ ผมก็รู้สึกแสบตาฝั่งด้านซ้าย ลืมตาขึ้นมาเห็นว่าตัวเองไม่ได้ปิดหน้าต่างเลยจะรีบดึงลงมาปิดเพื่อนอนต่อ แต่ก่อนปิดผมก็ลองมองๆ ดูว่าวิวข้างนอกเป็นยังไง ภาพที่เห็นทำให้ผมถามตัวเองว่า นี่เราตื่นอยู่หรือภาพที่เห็นมันคือความฝัน ภูเขาหิมะเรียงสลับกันไกลสุดลูกหูลูกตา ฟ้าสีสดเหมือนรูปที่แต่งเกินจริง พอตั้งสติได้ก็รีบความกระเป๋ากล้องรัว ชัตเตอร์ (เบลอบ้าง ชัดบ้าง ฮ่าๆๆ) ความง่วงที่มีหายไปหมด ที่รู้ๆ คือตอนนี้เรามาอยู่อีกโลกนึงไปแล้ว ทุกอย่างคือความว๊าวววว ไปหมด

ก่อนเครื่องลงจอดที่สนามบินจะต้องวนก่อนรอบนึง ระหว่างวนก็ได้เมืองจากมุมสูงหลายรูปเลย

หลังคาเขียวๆ นั่นน่าจะเป็นฐานทัพทหาร

หลังลงจากเครื่องกรอกใบเข้าเมืองเสร็จเรียบร้อยก็ลองเปิด WI-FI ดูซะหน่อย ปรากฎว่าที่สนามบินมี Free WI-FI ด้วยนะครับ ไม่ต้อง Log in ให้ยุ่งยาก แต่สัญญาณจะอ่อนๆ ให้พอได้โพสรูปได้บ้าง แต่โหลดนานหน่อย ฮ่าๆ
เสร็จแล้วเราก็ตรงดิ่งไปหา Taxi เพื่อเดินทางไปโรงแรม (ถามกับเจ้าหน้าที่ได้เลยครับว่าเขามี Taxi ตรงไหน ซึ่งเอาเข้าจริงๆ เดินออกมาจากสนามบินก็เจอเลย) บรรยากาศในรถก็อารมณ์รถตู้เล็กๆ น่ารักๆ

เมื่อถึงโรงแรมเจอคนดูแลที่พักเดินผ่านมาตอนลงรถ พอดี๊ พอดี

พอเขาพาเข้าไปในห้องซึ่งอยู่ชั้นสอง สิ่งแรกที่สัมผัสได้คือความหนาว ในห้องหนาวจับใจมาก พอถอดรองเท้าถุงเท้าแล้วเดินวนดูวิวรอบห้องก็เจอปัญหาว่าพื้นห้องเย็นมาก มากจนยืนเท้าเปล่าไม่ได้
วิวข้างหน้าต่างก็จะประมาณนี้

หลังจากจัดการสัมภาระเสร็จเราก็ออกไปคุย Manager โรงแรมเพื่อให้เขาจัดหารถสำหรับเที่ยวสามวันจะกระทั่งส่งกลับสนามบิน พร้อมให้ทำใบ Permit (ถ้าใครจะออกนอกเมืองไกลๆ เช่น Pangong lake หรือไป Nubra ต้องมีใบ Permit ด้วยนะครับ ควรเอา Plan ของเราไปปรึกษาว่าแต่ละที่ๆ ที่เราจะไปต้องใช้หรือไม่) เวลาล่วงเลยมาถึง 11.00 ถึงเวลาที่ต้องเป็นเด็กดี นอนพักผ่อนให้ร่างกายปรับตัวกับสภาพอากาศ (Manager โรงแรมเขาแนะนำว่า 6 ชั่วโมง แต่จะบ้าหรา !! นอน 6 ชั่วโมงก็ไม่ได้เที่ยวสิ

) หลับไปได้สักพัก 13.00 ก็มาแต่งตัวพร้อมลุย แบกกล้องตัวใหญ่ๆ หวังเก็บรูปงามๆ มาฝากทุกท่าน
Taxi ที่โรงแรมจัดหาได้มารออยู่ที่ Lobby พร้อมแล้วสำหรับการออกไปเที่ยว ลุย !!
ในรูปนี้มีน้องวัวด้วยนะ ที่นี่เขาปล่อยเดินอิสระ ไม่ทราบเหมือนกันว่ามีเจ้าของมั้ย
[CR] แบกกล้องไปท่องดินแดนแห่งเทพนิยายที่มีอยู่จริง Leh Ladakh [ช่วงใบไม้เปลี่ยสี] พร้อมค่าใช้จ่าย 3 วัน 2 คืน{รูปเยอะ}
สวัสดีสมาชิกทุกท่าน กระทู้นี้ผมพยายามใช้ตัวหนังสือให้น้อยที่สุด เนื่องจากเนื้อหามีหลายส่วน และรูปเยอะมาาาาาก ~ โดยเนื้อหาสำคัญจะแบ่งเป็นสองส่วน ดังนี้
1. รูป, รูป และ รูป..,
2. ข้อควรรู้จากประสบการณ์จริง และการเตรียมตัวก่อนเดินทางรวมถึงแผนและค่าใช้จ่าย (สำหรับ 3 วัน 2 คืน)
ก่อนเข้ากระทู้ขอขอบคุณครูปู ซึ่งเป็นครูสอนถ่ายรูปที่แนะนำอุปกรณ์ และให้คำแนะนำช่วงเวลาการเดินทางให้พอดีกับช่วงใบไม้เปลี่ยนสี(ช่วงเวลาใบไม้เปลี่ยนสีของ Leh จะอยู่ประมาณเดือนตุลาคมของทุกปี) ติดตามผลงานครูปูได้จากลิงค์ด้านล่างนี้เลย
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
และที่ต้องขอบคุณอีกคนก็คือตัวเอง
ก่อนเข้ากระทู้ถ้าใครอยากเห็นบรรยากาศแบบเป็น Video กดเข้าไปดูในลิงค์ด้านล่างนี่เลยครับ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
เริ่มต้นเดินทางจาก กทม. ช่วงสามทุ่มไปลงที่สนามบินไปลงที่สนามบิน Bengaluru หลังจากถึงสนามบินก็ตรงดิ่งเข้าไปหา ตม. (อัธยาศัยดีนะ ถึงหน้าเขาจะไม่ยิ้มแย้ม อาจเพราะเราคุ้นเคยกับเมืองไทยเมืองยิ้ม) พอคุยจบก็หันมาถามตัวเองว่า คุยกับเขารู้เรื่องได้ไงวะ ?
บรรยากาศน่ารักๆ ในสนามบิน ก่อนเดินทางไป Delhi
บรรยากาศสนามบิน Delhi ค่อนข้างอลังการ ที่นี่ขึ้นชื่อเรื่องตรวจกระเป๋านาน(นานจริงถ้าคนเยอะ) มีเจ้าหน้าที่ถือปืนใส่ชุดทหารหน้าดุๆ เดินเต็มไปหมด
อุณหภูมิสบายๆ ที่ 20 องศา ใส่เสื้อยืดรับลมหนาวชิวๆ
อารมณ์ตอนนี้ง่วงมาก ได้นอนบนเครื่องแค่ไม่กี่ชั่วโมง ร่างกายเพลียแต่ต้องเฝ้ากระเป๋าระหวางรอขึ้นเครื่องไปเลห์ เนื่องจากคนค่อนข้างชุกชุม
ช่วงฟ้าสางได้เวลาเดินทาง แต่ความง่วงไม่ปราณีผมซะแล้ว พอหาที่นั่งตัวเองเจอภาพก็ตัดทันที
ขณะกำลังหลับไหลอยู่ในพวังค์ จู่ๆ ผมก็รู้สึกแสบตาฝั่งด้านซ้าย ลืมตาขึ้นมาเห็นว่าตัวเองไม่ได้ปิดหน้าต่างเลยจะรีบดึงลงมาปิดเพื่อนอนต่อ แต่ก่อนปิดผมก็ลองมองๆ ดูว่าวิวข้างนอกเป็นยังไง ภาพที่เห็นทำให้ผมถามตัวเองว่า นี่เราตื่นอยู่หรือภาพที่เห็นมันคือความฝัน ภูเขาหิมะเรียงสลับกันไกลสุดลูกหูลูกตา ฟ้าสีสดเหมือนรูปที่แต่งเกินจริง พอตั้งสติได้ก็รีบความกระเป๋ากล้องรัว ชัตเตอร์ (เบลอบ้าง ชัดบ้าง ฮ่าๆๆ) ความง่วงที่มีหายไปหมด ที่รู้ๆ คือตอนนี้เรามาอยู่อีกโลกนึงไปแล้ว ทุกอย่างคือความว๊าวววว ไปหมด
ก่อนเครื่องลงจอดที่สนามบินจะต้องวนก่อนรอบนึง ระหว่างวนก็ได้เมืองจากมุมสูงหลายรูปเลย
หลังคาเขียวๆ นั่นน่าจะเป็นฐานทัพทหาร
หลังลงจากเครื่องกรอกใบเข้าเมืองเสร็จเรียบร้อยก็ลองเปิด WI-FI ดูซะหน่อย ปรากฎว่าที่สนามบินมี Free WI-FI ด้วยนะครับ ไม่ต้อง Log in ให้ยุ่งยาก แต่สัญญาณจะอ่อนๆ ให้พอได้โพสรูปได้บ้าง แต่โหลดนานหน่อย ฮ่าๆ
เสร็จแล้วเราก็ตรงดิ่งไปหา Taxi เพื่อเดินทางไปโรงแรม (ถามกับเจ้าหน้าที่ได้เลยครับว่าเขามี Taxi ตรงไหน ซึ่งเอาเข้าจริงๆ เดินออกมาจากสนามบินก็เจอเลย) บรรยากาศในรถก็อารมณ์รถตู้เล็กๆ น่ารักๆ
เมื่อถึงโรงแรมเจอคนดูแลที่พักเดินผ่านมาตอนลงรถ พอดี๊ พอดี
วิวข้างหน้าต่างก็จะประมาณนี้
หลังจากจัดการสัมภาระเสร็จเราก็ออกไปคุย Manager โรงแรมเพื่อให้เขาจัดหารถสำหรับเที่ยวสามวันจะกระทั่งส่งกลับสนามบิน พร้อมให้ทำใบ Permit (ถ้าใครจะออกนอกเมืองไกลๆ เช่น Pangong lake หรือไป Nubra ต้องมีใบ Permit ด้วยนะครับ ควรเอา Plan ของเราไปปรึกษาว่าแต่ละที่ๆ ที่เราจะไปต้องใช้หรือไม่) เวลาล่วงเลยมาถึง 11.00 ถึงเวลาที่ต้องเป็นเด็กดี นอนพักผ่อนให้ร่างกายปรับตัวกับสภาพอากาศ (Manager โรงแรมเขาแนะนำว่า 6 ชั่วโมง แต่จะบ้าหรา !! นอน 6 ชั่วโมงก็ไม่ได้เที่ยวสิ
Taxi ที่โรงแรมจัดหาได้มารออยู่ที่ Lobby พร้อมแล้วสำหรับการออกไปเที่ยว ลุย !!
ในรูปนี้มีน้องวัวด้วยนะ ที่นี่เขาปล่อยเดินอิสระ ไม่ทราบเหมือนกันว่ามีเจ้าของมั้ย
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้
ข้อมูลเพิ่มเติม
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น