"ข่าวใหญ่"ตอนนี้ของวงการข่าวเศรษฐกิจ คือข่าวเรื่องการควบรวม 2 ธนาคาร ระหว่างธนาคารทีเอ็มบีและธนาคารธนชาต โดยเป็นข่าวเกือบจะไม่มีที่มาที่ไป จนกลายเป็นข่าว "ทหารไทยกลืนธนชาต" ตามการพาดหัวข่าวแบบฉาบฉวยของสื่อเศรษฐกิจบางเว็บไซต์
ทั้งที่เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นวันเดียวจบ เพราะมีกฎหมายหลายอย่างมาเกี่ยวข้อง และในส่วนของแต่ละธนาคารเอง ก็ต้องมีการประชุมผู้ถือหุ้น เพื่อขอมติที่ประชุมว่าจะดำเนินการอย่างไร และยังไม่สรุป เพราะเรื่องละเอียดอ่อนเช่นนี้ เป็นเรื่องที่ต้อง "ชัดเจน" มีการแถลงเป็นทางการ จึงจะเป็นข่าวจริง

เหมือนที่"อภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์" รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ต้องเอ่ยปากกับผู้สื่อข่าวว่า นี่เป็นเพียงขั้นตอนของการ"จีบ"กันระหว่างคนสองคน จึงเลยขั้นตอนที่จะรีบสรุปว่ามีการพิมพ์การ์ดแต่งงาน และใครเป็นผู้นำ ใครเป็นผู้ตามของครอบครัว
ที่สำคัญก็คือ การควบรวมที่อาจจะเกิดขึ้น ในวันข่าวหน้า อาจจะไม่ใช่แค่ 2 ธนาคาร เพราะในระบบธนาคารพาณิชย์ที่กระทรวงการคลังถือหุ้น อาจจะมีการหารือเพื่อการควบรวมมากกว่า 2 ธนาคารที่กล่าวถึง เพราะยังมี "ธนาคารกรุงไทย" อีกธนาคารที่อาจจะเป็นสถาบันการเงินหลักในการดำเนินการรวมธนาคารของกระทรวงการคลัง
การ"ควบรวม"ธนาคารที่เป็นนโยบายกระทรวงการคลัง จึงอาจจะไม่ใช่แค่ 2 ธนาคาร เพราะการมุ่งขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศโดยธนาคารพาณิชย์ของรัฐ กระทรวงการคลังอาจจะต้องการธนาคารที่"ใหญ่" แต่ไม่"อุ้ยอ้าย" และมีความแข็งแกร่งมากพอที่จะเป็นองคาพยพสำคัญในระบบการเงินของประเทศ
ทีเอ็มบีกับธนาชาต จึงอาจจะเป็นเพียงข่าวที่ยังไม่สมควรพูดถึง เพราะยังไม่มีการหารือในที่ประชุมผู้ถือหุ้น ยังไม่มีการขยับตัวของคณะกรรมการ และยังไม่มีการแถลงของผู้ถือหุ้นใหญ่ คือกระทรวงการคลัง
แนวนโยบายการควบรวมธนาคารของกระทรวงการคลัง จึงเป็นเรื่องที่ควรจะเป็นการประกาศอย่างเป็นทางการ เพราะจะกระทบกับภาคที่เกี่ยวข้องของธนาคารที่เป็นตัวละครนี้มากมาย ตั้งแต่ผู้ถือหุ้น พนักงาน และส่วนสำคัญที่สุดของระบบธนาคารพาณิชย์ นั่นคือประชาชนที่เป็น"ลูกค้า" ทั้งในฐานะ"เจ้าหนี้" และในสถานะ"ลูกหนี้" ที่จะได้รับผลกระทบหลังการควบรวมหากเกิดขึ้นจริง
นี่จึงเป็นเรื่องที่ต้องชัดเจนยิ่งกว่าแค่ข่าวที่เกิดขึ้นแบบไม่มีที่มา-ไม่มีที่ไป เพราะการควบรวมธนาคารรัฐ จะต้องเป็นนโยบายของรัฐ และน่าเสียดาย ที่ข่าวที่เกิดขึ้นโดยยังไม่มีความชัดเจนนี้ คนที่ตกเป็น "เหยื่อ" ก็คือ"นักลงทุน" ที่หลงเชื่อข่าวที่ออกมา จนมีผลต่อราคาหุ้นของทั้ง 2 ธนาคาร
เรื่องราวที่เกิดขึ้นนี้ จึงเป็นเรื่องที่"แมงเม่า" ควรจะตระหนักว่าข่าวไหนจริง ข่าวไหนเท็จ ควรตรวจสอบข้อมูลให้รอบด้านเสียก่อน และเตือนตัวเองว่า อย่ารีบบินเข้ากองไฟ
"แมงเม่า" อย่าบินเข้ากองไฟ
ทั้งที่เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นวันเดียวจบ เพราะมีกฎหมายหลายอย่างมาเกี่ยวข้อง และในส่วนของแต่ละธนาคารเอง ก็ต้องมีการประชุมผู้ถือหุ้น เพื่อขอมติที่ประชุมว่าจะดำเนินการอย่างไร และยังไม่สรุป เพราะเรื่องละเอียดอ่อนเช่นนี้ เป็นเรื่องที่ต้อง "ชัดเจน" มีการแถลงเป็นทางการ จึงจะเป็นข่าวจริง
เหมือนที่"อภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์" รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ต้องเอ่ยปากกับผู้สื่อข่าวว่า นี่เป็นเพียงขั้นตอนของการ"จีบ"กันระหว่างคนสองคน จึงเลยขั้นตอนที่จะรีบสรุปว่ามีการพิมพ์การ์ดแต่งงาน และใครเป็นผู้นำ ใครเป็นผู้ตามของครอบครัว
ที่สำคัญก็คือ การควบรวมที่อาจจะเกิดขึ้น ในวันข่าวหน้า อาจจะไม่ใช่แค่ 2 ธนาคาร เพราะในระบบธนาคารพาณิชย์ที่กระทรวงการคลังถือหุ้น อาจจะมีการหารือเพื่อการควบรวมมากกว่า 2 ธนาคารที่กล่าวถึง เพราะยังมี "ธนาคารกรุงไทย" อีกธนาคารที่อาจจะเป็นสถาบันการเงินหลักในการดำเนินการรวมธนาคารของกระทรวงการคลัง
การ"ควบรวม"ธนาคารที่เป็นนโยบายกระทรวงการคลัง จึงอาจจะไม่ใช่แค่ 2 ธนาคาร เพราะการมุ่งขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศโดยธนาคารพาณิชย์ของรัฐ กระทรวงการคลังอาจจะต้องการธนาคารที่"ใหญ่" แต่ไม่"อุ้ยอ้าย" และมีความแข็งแกร่งมากพอที่จะเป็นองคาพยพสำคัญในระบบการเงินของประเทศ
ทีเอ็มบีกับธนาชาต จึงอาจจะเป็นเพียงข่าวที่ยังไม่สมควรพูดถึง เพราะยังไม่มีการหารือในที่ประชุมผู้ถือหุ้น ยังไม่มีการขยับตัวของคณะกรรมการ และยังไม่มีการแถลงของผู้ถือหุ้นใหญ่ คือกระทรวงการคลัง
แนวนโยบายการควบรวมธนาคารของกระทรวงการคลัง จึงเป็นเรื่องที่ควรจะเป็นการประกาศอย่างเป็นทางการ เพราะจะกระทบกับภาคที่เกี่ยวข้องของธนาคารที่เป็นตัวละครนี้มากมาย ตั้งแต่ผู้ถือหุ้น พนักงาน และส่วนสำคัญที่สุดของระบบธนาคารพาณิชย์ นั่นคือประชาชนที่เป็น"ลูกค้า" ทั้งในฐานะ"เจ้าหนี้" และในสถานะ"ลูกหนี้" ที่จะได้รับผลกระทบหลังการควบรวมหากเกิดขึ้นจริง
นี่จึงเป็นเรื่องที่ต้องชัดเจนยิ่งกว่าแค่ข่าวที่เกิดขึ้นแบบไม่มีที่มา-ไม่มีที่ไป เพราะการควบรวมธนาคารรัฐ จะต้องเป็นนโยบายของรัฐ และน่าเสียดาย ที่ข่าวที่เกิดขึ้นโดยยังไม่มีความชัดเจนนี้ คนที่ตกเป็น "เหยื่อ" ก็คือ"นักลงทุน" ที่หลงเชื่อข่าวที่ออกมา จนมีผลต่อราคาหุ้นของทั้ง 2 ธนาคาร
เรื่องราวที่เกิดขึ้นนี้ จึงเป็นเรื่องที่"แมงเม่า" ควรจะตระหนักว่าข่าวไหนจริง ข่าวไหนเท็จ ควรตรวจสอบข้อมูลให้รอบด้านเสียก่อน และเตือนตัวเองว่า อย่ารีบบินเข้ากองไฟ