เราทำธุรกิจส่วนตัวอย่างนึงที่ทำให้ต้องพบปะกับเด็กและผู้ปกครองเป็นประจำคือเปิดร้านเครื่องเขียน ตั้งแต่มาทำได้ปีกว่าเกือบ 2 ปี คือตกใจมากมีผู้ปกครองเกือบ 70% ที่ทำให้เราเป็นห่วงเด็ก ที่มีผู้ปกครองแบบนี้ โตขึ้นเขาจะเป็นยังไง เหตุผลที่เรามองว่าเค้าไม่ใส่ใจลูกนั้นเพราะ
ครอบครัวที่ 1 แม่ให้เด็ก (เด็กวัย6-12) เดินดูของคนเดียวโดยไม่มีการแนะนำของให้ลูก หรือช่วยหาเดินมานั่งเก้าอี้หน้าเคาน์เตอร์เล่นโทรศัพท์ ซึ่งอันนี้เราพยายามทำความเข้าใจว่าอาจะต้องการให้เด็กหาของเองรึป่าว เราพยายามถามว่า หาอะไรอยู่รึป่าวคะ? แม่หันมายิ้มแล้วหันไปเล่นต่อ เด็กเดินหาของต่อ ทำหน้า งง ทำหน้าเซ็งๆ พอเลือกนานนิดนึงแม่ก็ ตะคอกเสียงนิดๆ “อ้าวเสร็จรึยัง จะเอาอะไรก็รีบๆ” แล้วก้มลงเล่น ซึ่งเหตุการ์ณนี้เจอบ่อยและหลายครอบครัว ทำให้เราต้องเดินไปช่วยน้องหาของ
ครอบครัวที่ 2 นี้คือบทสทนาของแม่ลูกคู่นึงในร้าน
ลูก : แม่อยากได้
แม่ : ที่บ้านมีแล้ว
ลูก : ไม่เห็นมีเลย พังหมดแล้ว จะเอาเข้าใจปะเนี่ย
แม่ : ไม่มีตัง เอาไปเก็บ
ลูก : จะอะไรนักหนาจะเอา (พร้อมต่อยที่ไหล่ไปหลายที)
จะให้ปะ จะเอาวุ้ววว
แม่ : แม่เจ็บ เอาไปเก็บเร็วๆ
ลูก : ไม่ ! (แล้วเดินมาจ่ายตัง)
คือบทสนทนาของเด็กคือตะคอก หัวเสีย พูดย้ำๆ ทุบตีแม่
สิ่งที่แม่ทำ พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ที่บ้านมีแล้ว เอาไปเก็บเถอะ ไม่มีตังและแม่เจ็บ
คือเราลุ้นมากๆ ว่าให้คนเป็นแม่คงทำอะไรก็ได้ให้เด็กเปลี่ยนใจ แต่สุดท้ายเดินมาจ่ายตัง
ครอบครัวที่ 3 ไม่เคยเห็นหน้าคนเป็นลูกอยู่1ครั้ง แม่เป็นคนมาซื้อของเองตลอด และทุกครั้งที่มาจะบ่นว่า ทำไมไม่มาเลือกเองจะเลือกถูกมั้ยเนี่ย และเลือกของไปทุกอย่างที่มีเพราะกลัวว่าจะซื้อให้ลูกผิด มีวันนึงมาเปลี่ยนของประมาณ 5 ครั้ง ย้ำว่า 5ครั้ง โดยคนเป็นลูกไม่มา อันนี้คงรักลูกมากและกลัวลูกเหนื่อย
ครอบครัวที่ 4 ขับรถซิ่งมา วันรุ่นพอสมควร เดินเข้ามาและเหมือนเดิมเล่นโทรศัพท์ ลูกเดินเลือกของเองและสิ่งที่ได้ยินคือ
ลูก : แม่หนูอยากได้สี ไหนบอกจะซื้อให้มันหมดนานแล้ว
แม่ : ไม่ต้องอะอย่าเยอะ (เล่นต่อ)
ลูก : แม่ซื้อดินสออันนี้นะ (เป็นแพ็ค 4 แท่ง 20 บาท )
แม่ : เอาอันเดียวก็พอปะ ซื้อทำ

อะไรเยอะแยะ
ลูก : แค่นี้แหละพอแล้ว
ได้ ดินสอ1แท่ง ยางลบ1ก้อน และของแต่งบอร์ด 1 อย่าง รวม 25 บาท
แม่ : ทีหลังกูจะไม่พาไปไหนด้วยแล้ว
ซึ่งทั้ง4ครอบครัวที่กล่าวมาเป็นแค่ส่วนนึงเท่านั้น ยังมีหลายสถานการ์ณที่ยังไม่ได้เล่า และเราไม่ได้มีเจตนาที่จะประจานเพราะเราไม่ได้ระบุตัวตนของใครทั้งนั้น ที่เราออกมาพูดเพราะอยากให้ผู้ปกครองมองการดูแลลูกเป็นเรื่องที่สำคัญ เพราะเราทำให้เค้าเกิดมาแล้วควรใส่ใจให้มากในทุกๆเรื่อง จริงอยู่เราเห็นแค่นี้ไปตัดสินเค้าได้อย่างไร คือเราดูจาก 30 % ของผู้ครองที่เหลือว่าเขาทำอย่างไรเมื่อมาซื้อของกับลูก คือเอาใจใส่ของทุกอย่างที่ลูกใช้ ถามไถ่ลูกและเด็กๆก็น่ารัก พูดจาเพราะ แม้แต่รับตังทอน ยังยกมือไหว้ และพูดขอบคุณค่ะ เรามองว่าเรื่องเล็กๆน้อยๆเช่น การซื้ออุปกรณ์การเรียนให้ลูกเป็นสิ่งที่สำคัญในระดับนึงเลยนะ เด็กมีเวลาได้อยู่กับพ่อแม่จริงๆ ช่วยกันเลือกของ ถึงจะเป็นเวลาสั้นๆก็ตาม ส่วนตัวมีครอบครัวที่อบอุ่นใส่ใจเกือบทุกเรื่อง และไม่เคยรู้สึกอึดอัดเลย พอมาเจอแบบนี้เลยทำให้ตกใจ และเป็นกันเยอะ เลยอยากเตือนพ่อแม่สมัยใหม่ให้ใส่ใจลูกคุณให้มากๆ วางมือถือลงแล้วหันมาสนใจลูก สอนให้เขาเป็นคนดีเถอะ คำหยาบมันไม่ควรใช้กับเด็กหรอก จริงอยู่โตมามันก็พูด แต่มันจะดีกว่ามั้ยถ้าไม่รีบยัดเยียดคำพูดนี้ลงในความคิดเขา อย่าคิดว่าโตมาจะดีเอง หรือกูก็เลี้ยงของกูอย่างนี้มาตั้งนานแล้ว คือภูมิใจแล้วหรอคิดมาแล้วใช่มั้ย ว่าทำแบบนี้ เลี้ยงแบบนี้จะเป็นผลดีกับตัวเด็ก คิดให้เยอะเพื่อลูกคุณ
คนเป็นพ่อเป็นแม่ ! ควรใส่ใจลูกมากกว่านี้!!
ครอบครัวที่ 1 แม่ให้เด็ก (เด็กวัย6-12) เดินดูของคนเดียวโดยไม่มีการแนะนำของให้ลูก หรือช่วยหาเดินมานั่งเก้าอี้หน้าเคาน์เตอร์เล่นโทรศัพท์ ซึ่งอันนี้เราพยายามทำความเข้าใจว่าอาจะต้องการให้เด็กหาของเองรึป่าว เราพยายามถามว่า หาอะไรอยู่รึป่าวคะ? แม่หันมายิ้มแล้วหันไปเล่นต่อ เด็กเดินหาของต่อ ทำหน้า งง ทำหน้าเซ็งๆ พอเลือกนานนิดนึงแม่ก็ ตะคอกเสียงนิดๆ “อ้าวเสร็จรึยัง จะเอาอะไรก็รีบๆ” แล้วก้มลงเล่น ซึ่งเหตุการ์ณนี้เจอบ่อยและหลายครอบครัว ทำให้เราต้องเดินไปช่วยน้องหาของ
ครอบครัวที่ 2 นี้คือบทสทนาของแม่ลูกคู่นึงในร้าน
ลูก : แม่อยากได้
แม่ : ที่บ้านมีแล้ว
ลูก : ไม่เห็นมีเลย พังหมดแล้ว จะเอาเข้าใจปะเนี่ย
แม่ : ไม่มีตัง เอาไปเก็บ
ลูก : จะอะไรนักหนาจะเอา (พร้อมต่อยที่ไหล่ไปหลายที)
จะให้ปะ จะเอาวุ้ววว
แม่ : แม่เจ็บ เอาไปเก็บเร็วๆ
ลูก : ไม่ ! (แล้วเดินมาจ่ายตัง)
คือบทสนทนาของเด็กคือตะคอก หัวเสีย พูดย้ำๆ ทุบตีแม่
สิ่งที่แม่ทำ พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ที่บ้านมีแล้ว เอาไปเก็บเถอะ ไม่มีตังและแม่เจ็บ
คือเราลุ้นมากๆ ว่าให้คนเป็นแม่คงทำอะไรก็ได้ให้เด็กเปลี่ยนใจ แต่สุดท้ายเดินมาจ่ายตัง
ครอบครัวที่ 3 ไม่เคยเห็นหน้าคนเป็นลูกอยู่1ครั้ง แม่เป็นคนมาซื้อของเองตลอด และทุกครั้งที่มาจะบ่นว่า ทำไมไม่มาเลือกเองจะเลือกถูกมั้ยเนี่ย และเลือกของไปทุกอย่างที่มีเพราะกลัวว่าจะซื้อให้ลูกผิด มีวันนึงมาเปลี่ยนของประมาณ 5 ครั้ง ย้ำว่า 5ครั้ง โดยคนเป็นลูกไม่มา อันนี้คงรักลูกมากและกลัวลูกเหนื่อย
ครอบครัวที่ 4 ขับรถซิ่งมา วันรุ่นพอสมควร เดินเข้ามาและเหมือนเดิมเล่นโทรศัพท์ ลูกเดินเลือกของเองและสิ่งที่ได้ยินคือ
ลูก : แม่หนูอยากได้สี ไหนบอกจะซื้อให้มันหมดนานแล้ว
แม่ : ไม่ต้องอะอย่าเยอะ (เล่นต่อ)
ลูก : แม่ซื้อดินสออันนี้นะ (เป็นแพ็ค 4 แท่ง 20 บาท )
แม่ : เอาอันเดียวก็พอปะ ซื้อทำ
ลูก : แค่นี้แหละพอแล้ว
ได้ ดินสอ1แท่ง ยางลบ1ก้อน และของแต่งบอร์ด 1 อย่าง รวม 25 บาท
แม่ : ทีหลังกูจะไม่พาไปไหนด้วยแล้ว
ซึ่งทั้ง4ครอบครัวที่กล่าวมาเป็นแค่ส่วนนึงเท่านั้น ยังมีหลายสถานการ์ณที่ยังไม่ได้เล่า และเราไม่ได้มีเจตนาที่จะประจานเพราะเราไม่ได้ระบุตัวตนของใครทั้งนั้น ที่เราออกมาพูดเพราะอยากให้ผู้ปกครองมองการดูแลลูกเป็นเรื่องที่สำคัญ เพราะเราทำให้เค้าเกิดมาแล้วควรใส่ใจให้มากในทุกๆเรื่อง จริงอยู่เราเห็นแค่นี้ไปตัดสินเค้าได้อย่างไร คือเราดูจาก 30 % ของผู้ครองที่เหลือว่าเขาทำอย่างไรเมื่อมาซื้อของกับลูก คือเอาใจใส่ของทุกอย่างที่ลูกใช้ ถามไถ่ลูกและเด็กๆก็น่ารัก พูดจาเพราะ แม้แต่รับตังทอน ยังยกมือไหว้ และพูดขอบคุณค่ะ เรามองว่าเรื่องเล็กๆน้อยๆเช่น การซื้ออุปกรณ์การเรียนให้ลูกเป็นสิ่งที่สำคัญในระดับนึงเลยนะ เด็กมีเวลาได้อยู่กับพ่อแม่จริงๆ ช่วยกันเลือกของ ถึงจะเป็นเวลาสั้นๆก็ตาม ส่วนตัวมีครอบครัวที่อบอุ่นใส่ใจเกือบทุกเรื่อง และไม่เคยรู้สึกอึดอัดเลย พอมาเจอแบบนี้เลยทำให้ตกใจ และเป็นกันเยอะ เลยอยากเตือนพ่อแม่สมัยใหม่ให้ใส่ใจลูกคุณให้มากๆ วางมือถือลงแล้วหันมาสนใจลูก สอนให้เขาเป็นคนดีเถอะ คำหยาบมันไม่ควรใช้กับเด็กหรอก จริงอยู่โตมามันก็พูด แต่มันจะดีกว่ามั้ยถ้าไม่รีบยัดเยียดคำพูดนี้ลงในความคิดเขา อย่าคิดว่าโตมาจะดีเอง หรือกูก็เลี้ยงของกูอย่างนี้มาตั้งนานแล้ว คือภูมิใจแล้วหรอคิดมาแล้วใช่มั้ย ว่าทำแบบนี้ เลี้ยงแบบนี้จะเป็นผลดีกับตัวเด็ก คิดให้เยอะเพื่อลูกคุณ