นายวรวุฒิ มาลา รองผู้ว่าการกลุ่มธุรกิจการบริหารทรัพย์สิน รักษาการในตำแหน่งผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทยหรือรฟท. เปิดเผยว่า ข้อมูลที่ปรากฏไม่เป็นความจริง รัฐบาลจะไปการันตีกำไรให้ใครได้ ถ้ารัฐบาลการันตีรายได้ได้ ทำไมต้องให้เอกชนมาดำเนินการ ความเสี่ยงของโครงการนี้ต้องรับร่วมกันทั้งภาครัฐและเอกชน หากเอกชนเห็นว่าเสี่ยงมากก็จะไม่เข้าร่วมประมูลนั่นเอง
ท่านยังระบุอีกด้วยว่า ข่าวที่ออกมา
ไม่ทราบว่ามาจากที่ใด ซึ่งตามมารยาทของการประมูลร่วมระหว่างรัฐและเอกชนแล้ว ก็ไม่ควรเปิดเผยข้อมูลออกมาแบบนี้ เนื่องจากว่ากระบวนการประมูลยังไม่สิ้นสุด ถ้าหากมีเอกชนรายใดออกมาให้ข้อมูลถือว่าผิดมารยาท เพราะว่าเรื่องนี้เป็นข้อห้าม แล้วก็เตือนทุกครั้งมาตั้งแต่การยื่นซองจนถึงเปิดซองแล้ว
ส่วนความคืบหน้าในการประมูลรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน (ดอนเมือง - สุวรรณภูมิ - อู่ตะเภา) ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการพิจารณาความถูกต้องของตัวเลขราคาที่เอกชนเสนอเข้ามา
ซึ่งผลการพิจารณาซองที่ 3 ด้านข้อเสนอราคานั้น ทางกลุ่มกิจการร่วมค้าบริษัทเจริญโภคภัณฑ์ โฮลดิ้ง และพันธมิตร ที่มี CP เป็นแกนนำ เป็นผู้เสนอราคาต่ำสุด โดยต่ำกว่าเกณฑ์ข้อกำหนด TOR ในส่วนของการขอรับการสนับสนุนเงินอุดหนุนจากภาครัฐวงเงิน 119,000 ล้านบาท
คาดว่าหากก่อสร้างได้ตามกำหนดจะสามารถเปิดให้บริการได้ภายในปี 2567
อย่างไรก็ตาม การประมูลรถไฟความเร็วสูงครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย มีเรื่องสำคัญอีกมากที่จะต้องผ่านเกณฑ์ของการรถไฟแห่งประเทศไทยและสถานะทางเศรษฐกิจ เริ่มจาก
•
จำนวนผู้โดยสาร กว่ารถไฟความเร็วสูงจะใช้งานได้ ใช้เวลาอย่างน้อยอีก 5 ปี ถึงเวลานั้นอาจจะเสี่ยงกับการขาดทุน เนื่องจากจำนวนผู้ใช้บริการไม่เป็นไปตามเป้า
•
ต้นทุนค่าใช้จ่าย ดอกเบี้ยที่จะต้องจ่ายตั้งแต่วันแรกที่เริ่มโครงการตลอดระยะเวลา 5 ปีในการก่อสร้าง ซึ่งน่าจะเป็นหลักหมื่นล้าน ต้องถือเป็นส่วนหนึ่งของเงินลงทุนจนกว่าจะสร้างเสร็จและรถไฟสามารถวิ่งรับผู้โดยสารได้ จึงจะมีรายได้เข้ามา
•
ความเสี่ยงจากเทคโนโลยี ที่จะต้องคิดเป็นค่าใช้จ่ายตลอดระยะเวลา 50 ปี แน่นอนว่าเทคโนโลยีจะต้องมีการพัฒนาอยู่ตลอดเวลา แค่ค่าซ่อมค่าบำรุงอย่างเดียวก็หืดขึ้นคอแล้ว
•
ความเสี่ยงทางการเมือง ในช่วงใกล้เลือกตั้งอาจจะมีผลกระทบกับโครงการทั้งก่อนและหลังจากการเลือกตั้ง ความไม่แน่นอนด้านนโยบายของรัฐบาลในอนาคต และในความเป็นจริง เอกชนต้องจ่ายค่าเช่าบริเวณสถานีมักกะสันเป็นเวลา 50 ปี ซึ่งก็มีความเสี่ยงในเรื่องของการใช้พื้นที่และกรรมสิทธิ์ในพื้นที่
ทั้งนี้ ราคาค่าเช่าที่ดินบริเวณสถานีมักกะสัน จากราคาประเมินโดยที่ปรึกษาของรฟท. ยึดราคาที่ดินแปลงใหญ่รอบพื้นที่มักกะสัน ทำให้ราคาประเมินอยู่ที่ 6 แสนบาทต่อตารางวา ในระยะเวลา 50 ปี ผู้เช่าจะต้องจ่ายให้รฟท. ถึง 5 หมื่นกว่าล้านบาท ซึ่งเป็นราคาที่สูงและเป็นภาระของผู้ประกอบการในระยะยาว
•
ความเสี่ยงจากโครงการแอร์พอร์ตลิงก์ ที่มีการเข้าใจว่าโครงการดังกล่าวมีมูลค่า 4 หมื่นล้าน แต่เอกชนจ่ายเงินให้เพียง 1.3 หมื่นล้าน ทั้งๆที่แอร์พอร์ตลิงก์ในปัจจุบันมีหนี้สินอยู่ถึง 33,229 ล้านบาท เฉลี่ยขาดทุนปีละประมาณ 300 ล้านบาท เท่ากับว่ามูลค่าของแอร์พอร์ตลิงก์จริงๆ เหลือเพียง 6 พันกว่าล้านบาทเท่านั้น ภาระการปรับปรุงแอร์พอร์ตลิงก์ไปตกอยู่กับเอกชน
แต่เมื่อตั้งใจที่จะให้โครงการนี้เป็นอภิมหาโปรเจกต์ของประเทศไทยก็ต้องเดินหน้าให้ถึงที่สุด.
ที่มา :
อภิมหาโปรเจกต์เพื่อชาติ
EEC - ไฮสปีดเทรนเชื่อม 3 สนามบินข้อมูลการประมูลหลุด
ท่านยังระบุอีกด้วยว่า ข่าวที่ออกมา ไม่ทราบว่ามาจากที่ใด ซึ่งตามมารยาทของการประมูลร่วมระหว่างรัฐและเอกชนแล้ว ก็ไม่ควรเปิดเผยข้อมูลออกมาแบบนี้ เนื่องจากว่ากระบวนการประมูลยังไม่สิ้นสุด ถ้าหากมีเอกชนรายใดออกมาให้ข้อมูลถือว่าผิดมารยาท เพราะว่าเรื่องนี้เป็นข้อห้าม แล้วก็เตือนทุกครั้งมาตั้งแต่การยื่นซองจนถึงเปิดซองแล้ว
ส่วนความคืบหน้าในการประมูลรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน (ดอนเมือง - สุวรรณภูมิ - อู่ตะเภา) ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการพิจารณาความถูกต้องของตัวเลขราคาที่เอกชนเสนอเข้ามา
ซึ่งผลการพิจารณาซองที่ 3 ด้านข้อเสนอราคานั้น ทางกลุ่มกิจการร่วมค้าบริษัทเจริญโภคภัณฑ์ โฮลดิ้ง และพันธมิตร ที่มี CP เป็นแกนนำ เป็นผู้เสนอราคาต่ำสุด โดยต่ำกว่าเกณฑ์ข้อกำหนด TOR ในส่วนของการขอรับการสนับสนุนเงินอุดหนุนจากภาครัฐวงเงิน 119,000 ล้านบาท
คาดว่าหากก่อสร้างได้ตามกำหนดจะสามารถเปิดให้บริการได้ภายในปี 2567
อย่างไรก็ตาม การประมูลรถไฟความเร็วสูงครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย มีเรื่องสำคัญอีกมากที่จะต้องผ่านเกณฑ์ของการรถไฟแห่งประเทศไทยและสถานะทางเศรษฐกิจ เริ่มจาก
• จำนวนผู้โดยสาร กว่ารถไฟความเร็วสูงจะใช้งานได้ ใช้เวลาอย่างน้อยอีก 5 ปี ถึงเวลานั้นอาจจะเสี่ยงกับการขาดทุน เนื่องจากจำนวนผู้ใช้บริการไม่เป็นไปตามเป้า
• ต้นทุนค่าใช้จ่าย ดอกเบี้ยที่จะต้องจ่ายตั้งแต่วันแรกที่เริ่มโครงการตลอดระยะเวลา 5 ปีในการก่อสร้าง ซึ่งน่าจะเป็นหลักหมื่นล้าน ต้องถือเป็นส่วนหนึ่งของเงินลงทุนจนกว่าจะสร้างเสร็จและรถไฟสามารถวิ่งรับผู้โดยสารได้ จึงจะมีรายได้เข้ามา
• ความเสี่ยงจากเทคโนโลยี ที่จะต้องคิดเป็นค่าใช้จ่ายตลอดระยะเวลา 50 ปี แน่นอนว่าเทคโนโลยีจะต้องมีการพัฒนาอยู่ตลอดเวลา แค่ค่าซ่อมค่าบำรุงอย่างเดียวก็หืดขึ้นคอแล้ว
• ความเสี่ยงทางการเมือง ในช่วงใกล้เลือกตั้งอาจจะมีผลกระทบกับโครงการทั้งก่อนและหลังจากการเลือกตั้ง ความไม่แน่นอนด้านนโยบายของรัฐบาลในอนาคต และในความเป็นจริง เอกชนต้องจ่ายค่าเช่าบริเวณสถานีมักกะสันเป็นเวลา 50 ปี ซึ่งก็มีความเสี่ยงในเรื่องของการใช้พื้นที่และกรรมสิทธิ์ในพื้นที่
ทั้งนี้ ราคาค่าเช่าที่ดินบริเวณสถานีมักกะสัน จากราคาประเมินโดยที่ปรึกษาของรฟท. ยึดราคาที่ดินแปลงใหญ่รอบพื้นที่มักกะสัน ทำให้ราคาประเมินอยู่ที่ 6 แสนบาทต่อตารางวา ในระยะเวลา 50 ปี ผู้เช่าจะต้องจ่ายให้รฟท. ถึง 5 หมื่นกว่าล้านบาท ซึ่งเป็นราคาที่สูงและเป็นภาระของผู้ประกอบการในระยะยาว
• ความเสี่ยงจากโครงการแอร์พอร์ตลิงก์ ที่มีการเข้าใจว่าโครงการดังกล่าวมีมูลค่า 4 หมื่นล้าน แต่เอกชนจ่ายเงินให้เพียง 1.3 หมื่นล้าน ทั้งๆที่แอร์พอร์ตลิงก์ในปัจจุบันมีหนี้สินอยู่ถึง 33,229 ล้านบาท เฉลี่ยขาดทุนปีละประมาณ 300 ล้านบาท เท่ากับว่ามูลค่าของแอร์พอร์ตลิงก์จริงๆ เหลือเพียง 6 พันกว่าล้านบาทเท่านั้น ภาระการปรับปรุงแอร์พอร์ตลิงก์ไปตกอยู่กับเอกชน
แต่เมื่อตั้งใจที่จะให้โครงการนี้เป็นอภิมหาโปรเจกต์ของประเทศไทยก็ต้องเดินหน้าให้ถึงที่สุด.
ที่มา : อภิมหาโปรเจกต์เพื่อชาติ