คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 2
หลังจากที่ผมคุยกับพ่อแม่เรื่องที่จะเรียนต่อ แต่ขอย้ายสายที่เรียนแล้ว ตอนนั้นผมยังไม่รู้จะเรียนต่อสายไหนดี ในระหว่างที่กำลังตัดสินใจ ผมก็จะหาอะไรทำไปเรื่อยเปื่อย และตอนนั้นได้ดูหนังเรื่องหนึ่ง "โหมโรง" หนังชีวประวัติของหลวงประดิษฐ์ไพเราะ (ศร ศิลปบรรเลง) และผมรู้สึกประทับใจหนังเรื่องนี้มาก ทำให้ผมคิดถึงช่วงประถม ที่เคยอยู่ชมรมดนตรีไทย และมีความสุขมาก เป็นธรรมดาครับ ในขณะที่เรากำลังทุกข์ สิ่งที่ทำให้เรามีความสุข แม้เพียงนิดหน่อย ก็สามารถชักจูงเราได้เสมอ
ผมจึงตัดสินใจ(ง่ายๆ)เลยว่า จะเข้าเรียนต่อสายดนตรี!! ทั้งๆที่จริงๆแล้ว ผมแทบจะจำไม่ได้เลยด้วยซ้ำ ว่าเล่นยังไง เพราะตอนนั้น เล่นดนตรีครั้งล่าสุดคือตอนประถมประมาณ 5 ปีที่แล้ว ผมบอกพ่อแม่และเตรียมตัวไปสมัครสอบเข้า ที่สถาบันทางดนตรีแห่งหนึ่ง สถาบันนี้เป็นสถาบันที่ขึ้นตรงกับกระทรวงวัฒนธรรมเลยครับ ทำให้ผมคิดว่า ต้องมีแต่คนเก่งๆเข้ามาเรียนแน่ๆ ซึ่งก็จริงตามที่คิดครับ มีแต่คนเก่งๆและมีพรสวรรค์ทางดนตรีมาเรียนทั้งนั้น อีกทั้งส่วนใหญ่ จะเป็นคนที่คลุกคลีกับวงการดนตรีมาตั้งแต่เด็กครับ บางคนมีบ้านทำวงปี่พาทย์ บางคนทำลิเก บางคนรับบรรเลงดนตรีตามโรงแรมต่างๆ พอมองมาที่ตัวผม อดีตเด็กติดเกมที่เล่นเครื่องดนตรีอะไรแทบไม่เป็นเลย
ผมสมัครเรียนในเอกเครื่องสายจะเข้ ซึ่งเป็นเครื่องดนตรีที่ผมเล่นตอนประถม เป็นเอกที่มีความเป็นไปได้มากที่สุดที่จะเรียนแล้ว และผมก็โชคดีครับ ที่เจออาจารย์ดนตรีที่ให้โอกาส ตอนนั้นท่านบอกว่า อยากได้คนที่ไม่เป็นมาเลย เพราะจะสามารถฝึกได้ง่ายกว่า แม้จะเข้าเรียนในช่วง ม.4 ก็สามารถตาม "เด็กเก่า" ทัน ซึ่งปีที่ผมเข้ามาเรียนนั้นโชคดีที่ไม่มีเด็กเก่าเข้ามาเรียนในเอกนี้เลย ผมได้เรียนกับรุ่นน้องอีกคนที่เป็นเด็กใหม่เหมือนกัน เราเรียนผ่าน ม.ปลายกันมาได้ด้วยดี และในช่วง ม.6 นั้นผมก็มีโอกาสได้คบกับ "แฟน" คนปัจจุบันของผมด้วยเช่นกัน
ในสายดนตรีไทยนั้น จะแบ่งประเภทของเพลงเป็นหลายแบบ เช่น เพลงเถา เพลงตับ เพลง 3ชั้น 2ชั้น ชั้นเดียว เพลงหน้าพาทย์ ฯลฯ หนึ่งในนั้นจะมีเพลงประเภทหนึ่งเรียกว่า "เพลงเดี่ยว"
เพลงเดี่ยวนั้น การจะได้ต่อเพลงนั้นค่อนข้างยาก ซึ่งอาจารย์แต่ละท่านก็จะมีทางเดี่ยวของตัวเองที่สืบทอดมาจากครูดนตรีไทยสมัยก่อน การที่จะได้ต่อเดี่ยวนั้น จะต้องให้อาจารย์พิจาราณาว่าศิษย์คนนั้นๆ เหมาะ/มือถึง พอที่จะต่อเดี่ยวต่างได้หรือยัง ซึ่งตอนนั้น ผมขยันซ้อมเพลง ขยันเรียนมาก(อวยตัวเองอีกแล้ว) ทำให้อาจารย์ท่านเรียกไปต่อเพลงเดี่ยวเพลงแรกของชีวิต และผมฝึกซ้อมและทำได้ดี จนได้ขึ้นบรรเลงถวายมือในงานไหว้ครูดนตรี และได้ต่อเพลงเดี่ยวมาเรื่อยๆจนเหลือเพียง "เดี่ยวกราวใน" เพลงเดี่ยวชั้นสูงที่ถือเป็นจุดสูงสุดในเพลงเดี่ยวของเอกเครื่องสายแล้วครับ
และในระหว่างที่กำลังเริ่มต่อไปได้ช่วงหนึ่งก็เกิดเหตุการณ์หนึ่งขึ้น โดยปกติแล้ว การเรียนดนตรีไทยนั้น จะได้ "ออกงาน" กันเป็นปกติอยู่แล้วตามแต่อาจารย์ท่านจะจัดตำแหน่ง และแล้ว การต้องเลือกที่ 3 ของชีวิตผมก็มาอีกครั้ง มันเป็นตอนที่อาจารย์เรียกไปคุยและขอให้ไปช่วยงานที่ต่างจังหวัด ท่านบอกว่าว่างมั้ยล่ะ ซึ่งตอนนั้น ผมดันเลือกตอบไปว่า ผมมีนัดกับทางบ้านครับ ทำให้เกิดจุดเปลี่ยนทางสายดนตรีของผมเลย
ผมจึงตัดสินใจ(ง่ายๆ)เลยว่า จะเข้าเรียนต่อสายดนตรี!! ทั้งๆที่จริงๆแล้ว ผมแทบจะจำไม่ได้เลยด้วยซ้ำ ว่าเล่นยังไง เพราะตอนนั้น เล่นดนตรีครั้งล่าสุดคือตอนประถมประมาณ 5 ปีที่แล้ว ผมบอกพ่อแม่และเตรียมตัวไปสมัครสอบเข้า ที่สถาบันทางดนตรีแห่งหนึ่ง สถาบันนี้เป็นสถาบันที่ขึ้นตรงกับกระทรวงวัฒนธรรมเลยครับ ทำให้ผมคิดว่า ต้องมีแต่คนเก่งๆเข้ามาเรียนแน่ๆ ซึ่งก็จริงตามที่คิดครับ มีแต่คนเก่งๆและมีพรสวรรค์ทางดนตรีมาเรียนทั้งนั้น อีกทั้งส่วนใหญ่ จะเป็นคนที่คลุกคลีกับวงการดนตรีมาตั้งแต่เด็กครับ บางคนมีบ้านทำวงปี่พาทย์ บางคนทำลิเก บางคนรับบรรเลงดนตรีตามโรงแรมต่างๆ พอมองมาที่ตัวผม อดีตเด็กติดเกมที่เล่นเครื่องดนตรีอะไรแทบไม่เป็นเลย
ผมสมัครเรียนในเอกเครื่องสายจะเข้ ซึ่งเป็นเครื่องดนตรีที่ผมเล่นตอนประถม เป็นเอกที่มีความเป็นไปได้มากที่สุดที่จะเรียนแล้ว และผมก็โชคดีครับ ที่เจออาจารย์ดนตรีที่ให้โอกาส ตอนนั้นท่านบอกว่า อยากได้คนที่ไม่เป็นมาเลย เพราะจะสามารถฝึกได้ง่ายกว่า แม้จะเข้าเรียนในช่วง ม.4 ก็สามารถตาม "เด็กเก่า" ทัน ซึ่งปีที่ผมเข้ามาเรียนนั้นโชคดีที่ไม่มีเด็กเก่าเข้ามาเรียนในเอกนี้เลย ผมได้เรียนกับรุ่นน้องอีกคนที่เป็นเด็กใหม่เหมือนกัน เราเรียนผ่าน ม.ปลายกันมาได้ด้วยดี และในช่วง ม.6 นั้นผมก็มีโอกาสได้คบกับ "แฟน" คนปัจจุบันของผมด้วยเช่นกัน
ในสายดนตรีไทยนั้น จะแบ่งประเภทของเพลงเป็นหลายแบบ เช่น เพลงเถา เพลงตับ เพลง 3ชั้น 2ชั้น ชั้นเดียว เพลงหน้าพาทย์ ฯลฯ หนึ่งในนั้นจะมีเพลงประเภทหนึ่งเรียกว่า "เพลงเดี่ยว"
เพลงเดี่ยวนั้น การจะได้ต่อเพลงนั้นค่อนข้างยาก ซึ่งอาจารย์แต่ละท่านก็จะมีทางเดี่ยวของตัวเองที่สืบทอดมาจากครูดนตรีไทยสมัยก่อน การที่จะได้ต่อเดี่ยวนั้น จะต้องให้อาจารย์พิจาราณาว่าศิษย์คนนั้นๆ เหมาะ/มือถึง พอที่จะต่อเดี่ยวต่างได้หรือยัง ซึ่งตอนนั้น ผมขยันซ้อมเพลง ขยันเรียนมาก(อวยตัวเองอีกแล้ว) ทำให้อาจารย์ท่านเรียกไปต่อเพลงเดี่ยวเพลงแรกของชีวิต และผมฝึกซ้อมและทำได้ดี จนได้ขึ้นบรรเลงถวายมือในงานไหว้ครูดนตรี และได้ต่อเพลงเดี่ยวมาเรื่อยๆจนเหลือเพียง "เดี่ยวกราวใน" เพลงเดี่ยวชั้นสูงที่ถือเป็นจุดสูงสุดในเพลงเดี่ยวของเอกเครื่องสายแล้วครับ
และในระหว่างที่กำลังเริ่มต่อไปได้ช่วงหนึ่งก็เกิดเหตุการณ์หนึ่งขึ้น โดยปกติแล้ว การเรียนดนตรีไทยนั้น จะได้ "ออกงาน" กันเป็นปกติอยู่แล้วตามแต่อาจารย์ท่านจะจัดตำแหน่ง และแล้ว การต้องเลือกที่ 3 ของชีวิตผมก็มาอีกครั้ง มันเป็นตอนที่อาจารย์เรียกไปคุยและขอให้ไปช่วยงานที่ต่างจังหวัด ท่านบอกว่าว่างมั้ยล่ะ ซึ่งตอนนั้น ผมดันเลือกตอบไปว่า ผมมีนัดกับทางบ้านครับ ทำให้เกิดจุดเปลี่ยนทางสายดนตรีของผมเลย
แสดงความคิดเห็น
" เมื่อความรักมาถึงทางตัน เมื่อความฝันมาถึงจุดจบ และที่ๆเรายืนอยู่ใกล้พังทลาย "
ไม่มากก็น้อย ขอบคุณครับ
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ผมเชื่อว่าทุกคนย่อมต้องเคย "ผ่าน" การเลือกอะไรบางอย่างมาแล้ว ไม่มากก็น้อย จะเลือกถูกหรือเลือกผิดนั้น บอกตรงๆว่าเป็นสิ่งที่ไม่อาจจะรู้ได้เลยในช่วงชีวิตที่ผ่านมาของผม เท่าที่จำได้ ผมได้มีโอกาสเลือก "เส้นทางชีวิต" หลายครั้งหลายครา บอกได้เลยว่าส่วนใหญ่ที่ผมเลือกไปนั้น มักจะเป็นทางที่ผิดเสมอๆ ไม่รู้ตัวเองเหมือนกันว่า ตอนนั้นกำลังคิดอะไรอยู่ เรื่องบางเรื่อง หากเรายืนมองกลับไป ณ เวลานั้น ตัวเราในตอนนี้กลับสามารถมองเห็นเส้นทางที่ชัดเจนได้อย่างง่ายดาย ฝากถึงน้องๆบางคน ที่กำลังที่จะเลือก "เส้นทาง" ขอให้ใจเย็นๆ ค่อยๆคิด มีสติ ลองเอาตัวเราออกจากตรงนั้นและมองดูว่าทางไหนคือทางที่เราควรเลือกเดินจริงๆ
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
เรื่องราวที่ผมจะเล่าต่อจากนี้ มันเริ่มต้นมาจาก "ช่วงวัยรุ่น" ที่หลายคนคงรู้ว่าเป็น "ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ" ผมเรียนอยู่ประมาณ ม.3 กำลังจะขึ้นม.4 นั่นคือครั้งแรกที่ผมได้ "เลือก" เส้นทางแรกที่เปลี่ยนชีวิตผมไปตลอดกาล
ก่อนอื่นผมขอบอกก่อนว่า ผมกับแม่นั้นอยู่กันเพียงลำพัง พ่อของผมนั้นทำงานขับรถโดยสาร กลับบ้านเดือนละครั้ง ระหว่างนั้นผมอยู่กับแม่และพี่สาวซึ่งพี่สาวผมเรียนจบและไปทำงานที่ กทม. แล้ว จึงเหลือแม่กับผมเพียงสองคน
ช่วงที่เรียน ม.3 ช่วงสุดท้ายนั้น มีการแนะแนวจากทางโรงเรียนและสถาบันต่างๆ ซึ่งผมนั้น มีความฝันว่า อยากเป็นโปรแกรมเมอร์ เพราะผมเป็นเด็กที่ชอบเล่นเกมคนนึง อยากทำเกมออกมาเพื่อให้คนอื่นได้เล่นและสนุกไปกับมัน เมื่อก่อนยังแยกไม่ออกครับ ว่าอยากเล่น กับอยากทำ แตกต่างอย่างไร ช่วงนั้นจะเรียกได้ว่าเป็นช่วงเริ่มต้นของ "เด็กติดเกม" อย่างผมเลยก็ว่าได้ (แต่ก็ไม่ถึงกับติดจนเสียการเรียน เกรดเฉลี่ย 3 ช่วงชั้นก็อยู่ระดับ 3.6+)
ผมได้รับการแนะแนวจากสถาบันสายอาชีพที่หนึ่ง และผมก็ได้คิดที่เข้าเรียนที่นั่น เพราะตอนนั้นคิดว่าสายที่ผมเรียน จะได้อยู่กับคอมพิวเตอร์ จะได้อยู่กับเกม ผมจึงขอโควต้า และเข้าเรียนที่นั่นได้อย่างสบายๆ (เรียนอิเล็คทรอนิค เพราะคิดว่าจะได้อยู่กับคอม เขียนโปรแกรม คุมหุ่นยนต์)
ช่วงแรกๆ เป็นอะไรที่หอมหวานมากครับ ได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ได้เจอเพื่อนใหม่ๆ สังคมใหม่ๆ สนุกมากกับการเรียน จนถึงช่วงหนึ่ง ในระหว่างนั้น ช่วงเวลาพักของสถาบันนั้น(เป็นสถาบันเปิด เข้าออกได้ตลอด)เราสามารถเข้าออกสถาบันได้ตลอดเวลา นั่นจึงเป็นจุดเริ่มต้น ของจุดเปลี่ยนในชีวิตผม
อย่างที่บอกครับ ผมนั้นเป็น "เด็กติดเกม" เข้าขั้นแล้ว ณ ตอนนี้ ช่วงเวลาที่ผมเผลอเรอ หลงไหลไปกับเกมนั้น จากการที่เล่นในช่วงคาบว่างกับเพื่อนๆกลายเป็นการเล่นอย่างเอาเป็นเอาตาย เล่นทั้งวันทั้งคืน จนไม่ได้ไปเรียน แถมยังโกหกพ่อแม่อีกด้วย ว่าจะนอนค้างบ้านเพื่อน แต่กลับไปนอนที่ร้านเกม ผมติดเกมหนักมาก ถึงขั้นที่ว่า "ไม่อยากเรียนแล้ว" ทำงานอยู่ร้านเกมก็ได้ ขอแค่ได้อยู่กับมันก็พอใจแล้ว ถึงขนาดที่ว่า ผมทะเลาะกับแม่บ่อยมาก แทบจะทุกวันเพื่อที่จะออกไปเล่นเกม (ในตอนนั้นคิดแค่ว่า อยากจะเอาชนะแม่) และท้ายที่สุด จากการที่ขาดเรียนบ่อย จึงติด ม.ส. ติด ร. หลายตัวมาก กว่าจะคิดได้นั้น ตัวผมในตอนนั้นก็หมดแรงแล้ว
ทั้งๆที่ช่วง ปวช.1 ผมตั้งใจเรียนมาก เกรดเฉลี่ยที่ 3.96 แต่หลังจากที่ผมเห็นผลการเรียนของช่วง ปวช.2 แล้ว ผมกลับคิดว่าพอแล้ว ไม่อยากเรียนต่อแล้ว อยากออกแล้ว ผมจึง หยุด ไปเรียนเลย ผมแต่งตัวออกจากบ้านด้วยชุดสถาบัน และไปอยู่ตามร้านเกม ร้านหนังสือการ์ตูน ทุกวัน โดยที่ไม่ได้เข้าเรียนเลย แถมยังไม่บอกทางบ้าน พ่อแม่ก็คิดว่าผมออกไปเรียนทุกวันโดยปกติ มีบางวันพ่อขับรถไปส่ง ผมก็อ้างว่าลงตรงนี้แหละ(ร้านหนังสือการ์ตูน) เดี๋ยวเพื่อนมารับ เก็บเรื่องนี้เป็นความลับกับคนในครอบครัว ซึ่งแน่นอน "ความลับไม่มีในโลก"
และแล้ว ครอบครัวผมก็ได้รู้เรื่องที่ผมไม่ไปเรียน เมื่อครูฝ่ายปกครอง ได้โทรไปบอกกับแม่ผมว่า ผมนั้นขาดเรียนบ่อยมาก อยากให้คุณแม่เข้ามาคุยด้วย ตอนนั้น ผมกลัวไปหมด ไม่รู้จะคุยยังไงดี ไม่รู้จะพูดอย่างไร ได้แต่มองหน้าแม่ที่น้ำตาไหลออกมา พร้อมกับถามผมด้วยน้ำตาว่า "ทำไมถึงไม่ไปเรียน"
ผมได้แต่อ้ำอึ้ง นิ่งเงียบไม่ยอมตอบ แม่ก็บอกมาว่า กลับไปเรียนเถอะนะ เท่านั้นแหละ ผมน้ำตาแตก ขอโทษแม่อยู่แบบนั้นเกือบครึ่งชั่วโมงและช่วงนั้นปัญหาแทบทุกอย่างมันก็เหมือนถาโถมเข้ามา เมื่อแม่ผมจับได้ว่าพ่อผมนอกใจ ไปมีเมียน้อย วันนั้นในตอนเย็น แม่ผมเดินผ่านหน้าผม ขึ้นไปบนบ้าน ผมคิดว่าคงไปไหว้พระตามปกติเพื่อสงบใจ ผมเลยออกไปคุยกับพ่อที่อยู่หน้าบ้าน ไม่กล้าเข้าบ้าน ให้พ่อไปคุยกับแม่ให้ดีๆ พ่อจึงเดินเข้าบ้านไป
แล้วสักพัก ผมก็ได้ยินเสียงตะโกนจากพ่อให้มาช่วย ผมเริ่มใจไม่ดี วิ่งสุดฝีเท้าขึ้นไป เห็นพ่อกำลังอุ้มตัวแม่ที่มีเชือกผูกอยู่ที่คอ!! แม่ทำท่าเหมือนกำลังทรมาน หายใจไม่ออก ผมรีบเอาเชือกออกและพ่อก็เอาแม่ลงมาได้ทัน ก่อนที่แม่จะเป็นอะไร เราสามคนยืนกอดร้องไห้กันอยู่แบบนั้นผมและพ่อ พาแม่ไปนอน แต่แม่บอกว่าหายใจไม่ออก จึงพาแม่ไปโรงพยาบาล แอ็ดมิทอยู่ 4-5 วัน กว่าจะผ่านช่วงนั้นมาได้ ผมระแวงมาก ทุกครั้งที่แม่ขึ้นไปไหว้พระที่ชั้นบน ผมจะตามขั้นไปด้วยเสมอ
ผมได้ตัดสินใจกลับไปเรียนอีกครั้ง แต่หลังจากที่แทบไม่ได้เรียนมาเลยในช่วงเทอม 1 จึงทำให้ผมตามเพื่อนไม่ทัน ไม่เข้าใจบทเรียน และสุดท้ายผมจึงคุยกับพ่อแม่ตรงๆว่า ขอลาออกได้ไหม แล้วจะหาที่เรียนใหม่เอา นี่คือการตัดสินใจครั้งที่ 2 ที่จะเปลี่ยนชีวิตผมไปอีกครั้งหนึ่ง
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
**จะมาเล่าต่อช่วงค่ำๆนะครับ พอดีมีงานด่วน**
***เริ่มเข้าใจอารมณ์ของ จขกท. บางคนที่หายไปในขณะที่ยังเล่าไม่จบแล้ว***
**** เหตุการณ์ทั้งหมดที่เล่า คือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง กับตัวผมจริงๆ ไม่ใช่ตัวแสดงแทน โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน****