ปุ๊บปั๊บทัวร์...มาโผล่ "ปัว" แบบงงๆ [ฉบับเช่ารถขับเอง]


เพี้ยนออกทริป ใกล้จะสิ้นปีแบบนี้ เชื่อว่า...ทุกคนย่อมอยากไปหาบรรยากาศเย็นนิดๆ ที่ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่เกาหลีหน่อยๆ ทริปปิดท้ายปีนี้...เราจึงเลือก "จ.น่าน" เมืองที่ขึ้นชื่อเรื่องวิถี Slow Life เดี๋ยวเราก็จะได้รู้กันว่าสโลว์สมคำล่ำลือมั๊ยน้ออออ

เพี้ยนลุย การเดินทางครั้งนี้...เริ่มต้นด้วยการนั่งรถไฟปรับอากาศชั้น 2 เราจองผ่านเว็บไซต์ของการรถไฟมาเลยค่ะ จ่ายผ่านบัตรเดบิตแล้วปริ้นตั๋วเดินทางมาขึ้นรถไฟได้เลย โดยเส้นทางที่เรานั่งคือ กรุงเทพ-เชียงใหม่ แต่เราจะลงกันที่สถานีเด่นชัย จ.แพร่ นะคะ ซึ่งมีค่าตั๋วเพียง 567 บาท เท่านั้น และใช้เวลาเดินทางประมาณ 7 ชม. ((ของเราถึงเร็วกว่ากำหนดการในตั๋วนิดหน่อย))

                การเดินทางรถไฟในสมัยนี้...ไม่ต่างอะไรกับการนั่งรถทัวร์หรือเครื่องบิน มีพี่เจ้าหน้าที่คอยให้บริการ ((เหมือนพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินน่ะ)) มีการเสิร์ฟอาการ ขนมปัง ชา กา แฟ น้ำอัดลม ตลอดการเดินทาง แอร์ก็เย็นดี...หลับได้สบายเลย คนตัวสูงก็นั่งได้สบายๆค่ะ ไม่น่าอึดอัดเท่าไร ((พี่ฝาหรั่งตัวสูงก็นั่งไขว่ห้างได้สบายๆเลยนะเออ))

                แปปๆ...ก็ถึงสถานีเด่นชัย จ.แพร่ พอลงรถไฟปุ๊บ...รู้สึกเคว้งคว้างปั๊บ เพราะไม่รู้เหมือนกันว่าต้องไปต่อรถตู้ที่ใหน มองหาคิวรถตู้ก้ไม่มี แต่โชคยังดี มีน้องที่เป็นคนจังหวัดแพร่ที่ช่วยแนะนำการเดินทางไป จ.น่านให้ และพี่มอไซค์รับจ้างแถวนั้นช่วยโทรเรียกรถสองแถวสีแดงให้พาเราไปส่งที่ขนส่งแพร่ เพื่อขึ้นรถตู้ไป จ.น่าน ((ต้องขอขอบคุณทั้งสองคนมากๆ ^^)) เมื่อมาถึงขนส่งแพร่ มีน้องๆนักเรียนรอรถตู้เต็มเลย เราสองคนก็ได้โอกาสซื้อของกิน+แวะเข้าห้องน้ำด้วย

                หลังจากนั้น...เราสองคนก็ขึ้นรถตู้อีกประมาณ 2 ชั่วโมงก็ถึง อ.เมือง จ.น่าน ตลอดระยะเส้นทางบอกได้คำเดียว...ถ้าคนไม่ชินทางมีอ้วกแน่ๆ เราก็เกือบๆ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเส้นทางหรือคนขับเหมือนกัน แต่ทรมานมากกกก พอได้ลงที่ บขส.น่าน รู้สึกหายใจโล่งขึ้นเยอะ
                เมื่อลงที่ บขส.น่านแล้ว เราสองคนต้องต่อรถสองแถว ((อีกรอบ)) เพื่อไปลงที่โรงแรมที่จองไว้ ยังดีที่ไม่ไกลมาก เพราะสภาพสองคนนี่คือแย่มากแล้ว บวกกับถือกระเป๋ามาหลายใบแถมหนักอีก พอถึงโรงแรมได้แต่มองหน้ากันแล้วบอกว่า....วันหลังเรานั่งจากกรุงเทพมาลงน่านกันเลยดีกว่าเนอะ ((เข็ดกับการต่อรถหลายต่อไปอีกนานจ้าา))

                                                 -------------------------------------------------------------------------------------
เพี้ยนอรุณสวัสดิ์ เรานัดรับรถเช่ามาส่งที่โรงแรมตอน 8 โมง รถที่เราเช่าเป็น Honda City ค่าเช่าอยู่ที่ 1000 บาท/วัน + ค่ามัดจำ 2000 บาท ตรวจรถกรอกเอกสารเรียบร้อย ได้เวลาเดินทางไปเยี่ยมรุ่นพี่ อ.ปัว ถ้าขับเรื่อยๆจากน่านไปปัวจะใช้เวลาประมาณขั่วโมงนิดๆ เส้นทางก็ไม่ได้หวาดเสียวอะไรมาก
                 หลังจากเยี่ยมรุ่นพี่เสร็จ ก็ได้เวลาแวะเยี่ยมแลนมาร์กต่างๆของปัวบ้าง และที่แรกจะเป็นที่ใหนไม่ได้ ...."กาแฟบ้านไทลื้อ"

                 อย่างที่ทุกคนรู้ๆกัน...ที่นี่จะตกแต่งให้ดูบ้านๆ ดูได้สัมผัสกับธรรมชาติ มีเพิงให้นั่งจิบกาแฟรับลมเย็นๆ แต่ตอนที่เรามากันเป็นช่วงวันหยุดยาว มันเลยกลายเป็นว่าเหมือนเราอยู่กรุงเทพ...แต่มีแบ็คกราวน์เป็นปัว คือคนเยอะมากกก เลยนั่งจิบกาแฟชิวๆอยู่ในเพิง รอคนซาๆหน่อยแล้วค่อยย้ายก้นออกไปถ่ายรูปกะเพื่อนๆ

                  ต้องยอมรับจริงๆว่า...กาแฟที่จ.น่านนี่เข้มจริงๆ คือทุกร้านจะชงออกเข้มๆเหมือนกันหมด ถ้าใครมาถึงน่าน..แต่ไม่ได้จิบกาแฟนี่ถือว่ามาไม่ถึงนะจ๊ะ เพราะเป็นจังหวัดที่มีร้านกาแฟถี่พอๆกับเซเว่นที่กรุงเทพอ่ะ

                  เมื่อมาที่กาแฟบ้านไทลื้อ อย่าลืม...แวะช้อปปิ้งที่ "ลำดวนผ้าทอ" ชุดทางเหนือทั้งผู้หญิง-ผู้ชาย มีขายหมดล่ะจ่ะ มาซื้อถึงถิ่น...ราคาก็ไม่แพง มีให้เลือกหลายแบบอีกด้วยนะ ซื้อเสร็จเปลี่ยนใส่ในร้านได้เล้ยยยยย

เพี้ยนกิน  หลังจากช้อปปิ้ง พยาธิก็ได้เวลาก่อสงครามประท้วง เราเลยขับย้อนมาอีกนิด ที่ร้าน "ร่มไม้ by ยกครก" ร้านนี้มีทั้งโซนแอร์และโซนรับลมด้านนอก เรานั่งในโซนแอร์ เราได้สั่ง ลาบเมือง ส้มตำใส่น้ำปู ส้มตำปูปลาร้า ไส้ทอดกระเทียม ต้มแซ่บกระดูกหมู ปลากระพงทอดน้ำปลา

                  เอาจริงๆ...คนเหนือไม่ใช่คนกินจืดนะ ดูจากกับข้าวที่กินมาแล้วเนี่ย รสชาติจัดจ้านใช้ได้เลย แต่เผ็ดคนละแนวกับทางใต้นะ ทางเหนือจะเป็นแบบเผ็ดร้อนเครื่องสมุนไพรซะมากกว่า  

เพี้ยนไฟลุก เมื่ออิ่มแล้ว เราต้องไปต่อค่ะ สถานที่ก็ไม่ได้ไกลจากร้านอาหารมาก เราไปกันที่ "วัดภูเก็ต" ตอนไปก็ไม่ได้หาข้อมูลว่าวัดนี้มีอะไร ตั้งใจไปไหว้พระเฉยๆ พระพุทธรูปก็จะเป็นแนวล้านนา สวยงามจริงๆค่ะ

                  พอเดินออกมาจากพระอุโบสถเท่านั้นแหละ ก็รู้สาเหตุที่วัดนี้คนไปเยอะละ คือวิวดีมากกกกก มีลมโกรกหน่อยๆ มองลงไปคือเป็นทุ่งนากับภูเขา ให้ภาพอธิบายเอาดีกว่าเนอะ ^^

                  เห็นท่อพีวีซีสีฟ้านั่นมั๊ย? นั่งคือท่อสำหรับใส่อาหารปลา เราสามารถให้อาหารปลาจากวัดภูเก็ตได้เลย และข้างล่างเป็นร้านกาแฟอีกละจ้าาา  แนวเดียวกับไทลื้อแหละ ((บอกแล้วจังหวัดนี้...ร้านกาแฟเค้าเยอะจริงๆ)) เมื่อออกจากวัดภูเก็ต เราก็ขับรถกันมาเรื่อยๆ ตอนแรกตั้งใจจะแวะฟาร์มเห็ด แต่ว่าคนเยอะจนไม่มีที่จอดรถ เลยได้แต่ขับผ่านออกมา และเลือกที่ๆจะไปแอดเวนเจอร์กว่าคือ "น้ำตกตาดหลวง"
เพี้ยนแว๊น ขับมาตามทางเรื่อยๆ ก็ยังเป็นทางลาดยางดีๆ แต่พอถึงเส้นทางเข้าไปที่น้ำตกเท่านั้นล่ะ ..... ถนนลูกรังจ่ะ.....เราค่อยๆขับมาด้วยเกียร์ต่ำ ดีที่ว่าน้ำตกอยู่ไม่ไกล น้ำตกตาดหลวงอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติดอยภูคา คนเข้ามาไม่เยอะเท่าไร ก่อนจะเดินไปน้ำตก เราและผู้ร่วมทริป จัดการซื้อไก่ย่าง ส้มตำปูปลาร้า ขนมจีน น้ำอัดลม และขนขนมต่างๆ เพื่อไปทำการปิกนิกที่น้ำตก ซึ่งมีการทำทางเดินไว้อย่างดีเลยค่ะ


                  ในชีวิตคนเรา..จะมีซักกี่ครั้งที่ได้กินข้าวบนหินแถมอยู่ใกล้น้ำตกขนาดนี้ ความโชคดีของพวกเราคือแดดก็ไม่ดี อากาศกำลังสบายๆ เราเลยนั่งจกส้มตำกันอย่างสบายใจ 55+ เมื่อมากินแล้ว ได้บรรยากาศดีๆแล้ว เราก็ต้องช่วยกันรักษาความสะอาดเก็บขยะไปทิ้งด้วยนะคะ ^^

                  คำที่ว่า "น้ำใสไหลเย็นเห็นตัวปลา" คงใช้ได้กับที่นี่จริงๆ เพราะที่นี่เป็นที่อนุรักษ์ "ปลาพลวง" ด้วย มีอาหารปลาจำหน่ายหน้าทางเข้าเพื่อเอามาเลี้ยงปลาด้วยนะ ปลาพลวงที่นี่ให้ความรู้สึกเหมือนเราเล่นกับหมาพุดเดิ้ลมากกก ดูนางชินกับคน แค่เราเดินไปเฉียดๆ นางก้เตรียมกระดิกหางเข้ามากันละ มีความเชื่องโดยเฉพาะกับคนที่มีอาหารในมือนะ 55+
                  พอเราเห็นปลาเยอะๆ....ทุกคนจะเกิดความคิดคล้ายๆกันว่า...ถ้าทำสปาเท้าให้ปลาตอดจะเป็นยังไงนะ? แนะนำว่า...อย่าลองดีกว่า! ปลาพลวงที่นี่ไม่ใช่ขนาดเล็กๆน่ารักกรุบกริบนะจ๊ะ ตัวเท่า"แขน"เกือบทุกตัว ลองเอาลงไปก็ไม่รู้ว่าพี่แกจะแค่ตอดรึเปล่านะ

                  เมื่อออกจากน้ำตกตาดหลวง ก็ได้เวลาอำลา อ.ปัว อย่างเป็นทางการ โดยเราขับรถเช่ากลับไปที่ อ.เมือง เนื่องจากนัดคืนรถเช่าที่ บขส.น่านแล้วจะนั่งรถทัวร์กลับกรุงเทพคืนนั้นเลย  
                                                     -------------------------------------------------------------------------------------
เพี้ยนยิ้ม  เอาจริงๆ ทริปนี้คือทริปที่ได้ไปแบบงงๆ เพราะตอนแรกแพลนวางไว้จะไปเที่ยวที่ตัวเมือง แต่ด้วยข้อจำกัดหลายๆอย่าง เลยตกกระไดพลอยโจนมาวนๆอยู่ในอ.ปัว ซึ่งก็ถือว่าไม่ผิดหวัง ถ้าเป็นไปได้....แนะนำว่าให้ไปช่วงที่ไม่ใช่เทศกาล น่าจะทำให้ได้มีเวลาเดินชิวกินลมมากกว่านี้ ตอนที่เราไปอากาศไม่ถึงกับเย็นเท่าไร ก็มีแค่ตอนเช้าที่จะหนาวนิดๆ เสื้อกันหนาวที่เอามาเลยไม่ค่อยได้ใส่นอกจากใช้หนุนหัวนอนเวลาอยู่ในรถ 55+


ขอบคุณทุกท่านที่กรุณาอ่านจนจบ ทริปต่อไปจะได้ไปแอดเวนเจอร์ที่ใหนอีกก็ยังไม่รู้ ไว้จะมาเล่าให้ฟังอีก อมยิ้ม01

"...ไว้เจอกันใหม่ทริปหน้าในปี 2019 นะ..."

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่