สวัสดีครับ พวกเรา Captain Quint's Family นะครับ ด้วยความที่พวกเราไม่ได้ออกไปเที่ยวต่างจังหวัดมานานแล้ว ป๊ะป๋าก็เอาแต่ทำงาน ไม่มีเวลาให้พวกเราเลย วันนี้ก็ถึงวันที่ป๊าต้องทำตามสัญญา พาพวกเราไปเที่ยวน่าน ผม Captain Quint ขอเล่าเรื่องคร่าวๆแล้วกันนะครับ ส่วนเรื่องเต็มๆ เพื่อนๆสามารถดูได้จาก Video ที่ป๊าทำไว้ด้านล่างนี้ได้เลยครับ
ก่อนเริ่มทริปขอเล่านิดนึงว่าทริปนี้ ป๊าแพลนจะพาพวกเราไปแค่บางตัว มอลลี่ กับโรมี่ไม่ได้ไป เพราะทั้ง 2 ตัวเมารถ ส่วนอันย่าอดจ้ะ เพราะนางเป็นแมว เริ่มจากการหาโรงแรมก่อนเลย ยากมากกกกก ป๊าเริ่มหาจากอินเทอร์เน็ตว่ามีโรงแรมหรือรีสอร์ทไหนที่ให้น้องหมาเข้าพักได้บ้าง โดยเฉพาะที่ที่รับหมาใหญ่ได้ พอได้ลิสต์มา ก็โทรไล่ตาม ส่วนใหญ่เลิกรับหมาไปแล้ว เนื่องจากเจอเจ้าของหลายคน ไม่ปฏิบัติตามกฎ ทำข้าวของเสียหาย โรงแรมก็เลยตัดปัญหาไม่รับดีกว่า สุดท้ายมาได้ที่ Nan de Panna ดูรูปต่างๆก็โอเค ติดต่อจองไปเรียบร้อย 3 คืนที่นี่ เพราะป๊าก็ขี้เกียจย้ายหลายที่

วันเริ่มเดินทาง เราชิวๆออกจากบ้านกัน 8 โมงเช้า ขับกันไปเรื่อยๆ ทริปนี้เราต้องแวะส่งอาบูที่สุโขทัยก่อน เพราะอาบูจะแวะไปหาอาอี๊ เลยได้โอกาสแวะกินก๋วยเตี๋ยวสุโขทัยกัน จากกรุงเทพฯเราใช้เวลาขับรถประมาณ 4 ชั่วโมงกว่าๆจนถึงสวรรคโลก ดูจากเวลาตอนนั้น ก็บ่าย 3 กว่าแล้ว เราคงไม่มีเวลาเที่ยวที่อื่นในสวรรคโลก ไม่งั้นจะถึงน่านดึกเกินไป
ออกจากสวรรคโลก เราก็รีบตรงดิ่งไปน่านเลย แทบจะไม่แวะที่ไหนเลยนอกจากห้องน้ำ จนถึงที่พัก Nan de Panna ก็ราวๆ 2 ทุ่มเห็นจะได้ มีเจ้าหน้าที่รอเปิดห้องให้เราอยู่ ดึกขนาดนี้คงไม่ได้ไปไหนแล้ว ก็เก็บๆของ ทานข้าว แล้วก็เข้านอน
ตื่นมาอีกวัน เราไม่ได้เป็นพวกตื่นแต่เช้า เพื่อดูพระอาทิตย์ขึ้นซะด้วย เลยตื่น 8 โมงค่อยๆละเมียดๆกินข้าวเช้า ปล่อยน้องหมาวิ่งเล่น ใช้ชีวิตแบบ slow life ไป จนกระทั่ง 10 โมงกว่าถึงได้ฤกษ์ออกจากโรงแรม
วันนี้เราตั้งใจจะไปแถบ อ.ปัวกัน แต่ก็ไม่ได้กำหนดที่ซักเท่าไหร่ แค่แพลนๆไว้คร่าวๆ ถึงปัวก็เป็นเวลาอาหารเที่ยงแล้ว เราก็เลยตัดสินใจหยุดแวะกันที่ฟาร์มเห็ดบ้านหัวน้ำกันก่อน ที่นี่เป็นร้านอาหารที่มีเห็ดเป็นพระเอก อนุญาตให้พาน้องหมาเข้ามาได้ แต่เป็นโซน Outdoor เมนูที่เราสั่งๆไปอร่อยหลายเมนูเลยทีเดียว ทานข้าวเสร็จ ก็มีที่ให้ถ่ายรูปสวยๆด้วย
เสร็จจากทานข้าว เราก็ไปหากาแฟทานกันต่อที่ กาแฟบ้านไทลื้อ ที่เลือกที่นี่เพราะได้ยินมาว่ามีวิวถ่ายรูปได้สวยเลย แล้วก็ไม่ผิดหวังจริงๆ สถานที่สวยงาม แต่แนะนำให้มาช่วงใกล้เย็นๆก่อนพระอาทิตย์ตกนิดหน่อย ถ้ามาเที่ยงๆจะค่อนข้างร้อนมาก งานนี้ Captain Quint อดได้รูปสวยๆเหมือนน้องๆ เพราะทางเดินไปจุดต่างๆจะเป็นทางแคบที่ทำจากขอนไม้ ด้านล่างจะเป็นน้ำๆ ซึ่งพี่ควิ้นท์คงเดินตกทางแน่ๆ จบจากที่นี่เราก็เดินช้อปปิ้งกันนิดหน่อยก็กลับที่พักกัน
หลังจากกลับที่พักวันนี้ ไม่ได้มีกิจกรรมอะไรมากมายให้เด็กๆ ป๊าเอาเด็กๆไว้ที่ห้องแล้วแอบออกไปกินข้าวในเมืองกันแป๊บนึง กลับมาถึงเจ้าของที่พักชื่อคุณ Greg ก็ชวนนั่งกินไวน์ คุยกันสนุกสนานไป แล้วเราก็แพลนกันว่าวันรุ่งขึ้นเราจะพาหมาเราไปเล่นน้ำกันที่ลำธารหลังรีสอร์ทกับหมาพี่เค้า โอเค ดีล!!!
วันรุ่งขึ้นเราออกกันแต่เช้าหน่อย เพราะเราต้องรีบกลับมาที่รีสอร์ทก่อนบ่าย 3 เพื่อเอาเด็กๆเล่นน้ำ วันนี้ตั้งใจจะไปบ่อเกลือกัน ทริปวันนี้เรานัดเพื่อนอีกบ้านที่เลี้ยงน้องไซ 2 ตัวไปด้วยกัน เค้าบอกให้แวะบ่อเกลือโบราณถ่ายรูปก่อน พอไปถึง เราเดินๆดูรอบๆ เก็บรูปสถานที่นิดหน่อย แต่เห็นว่าไม่น่าเหมาะกับน้องหมาเท่าไหร่ เราเลยไม่ได้เอาน้องหมาลง เปลี่ยนจุดมุ่งหมายขับรถต่อไปดอยภูคา เราจอดแวะถ่ายรูปตามจุดชมวิวตลอดทาง ได้รูปค่อนข้างสวยหลายที่เลยทีเดียว
เราใช้เวลาไปกับการถ่ายรูปค่อนข้างนานพอสมควร เห็นเวลาก็คงได้เวลาขับกลับรีสอร์ทแล้วล่ะ เพราะใกล้เวลานัดเล่นน้ำของเด็กๆแล้ว
ถึงรีสอร์ท เราก็เจอพี่พราวกับน้องหมารออยู่แล้ว เตรียมพร้อมเล่นน้ำกัน เราลังเลๆว่าเราจะปล่อยสายจูงพี่ควิ้นท์ดีมั๊ย คนที่เลี้ยงไซบี้จะรู้ดีว่าพันธุ์นี้ส่วนใหญ่ปล่อยสายจูงแล้วจะวิ่งเตลิด แต่เอาน่า มาต่างจังหวัดทั้งที ให้เค้าอยู่แต่สายจูงแล้วจะพาเค้ามาทำไม พอปลดสายจูงปีบ เท่านั้นแหละ วิ่งลงไปตรงลำธาร กระโดดลงน้ำทันที
วันนี้เราก็หมดไปกับการปล่อยเด็กๆเล่นน้ำ แต่มันมีความสุขนะ กับการได้เห็นรอยยิ้มเค้าเวลาเค้ามีความสุขกับการวิ่งบนสนามหญ้า ได้ว่ายน้ำ การเลี้ยงหมามันก็จะมีความสุขตรงการที่เห็นหมาเรามีความสุขนี่แหละ หลังจากพาขึ้นจากน้ำ งานยากของพวกเราก็มาถึง ลืมเอาไดร์เป่าขนตัวใหญ่มา เลยก็ต้องอาศัยไดร์ตัวเล็กของพี่พราวใช้ ใช้เวลาเป่าเกือบ 3 ชั่วโมงได้ จากนั้นก็เอาเด็กๆเก็บเข้าห้อง แล้วไปนั่งกินข้าวเย็นกับพี่พราว และ Greg เจ้าของรีสอร์ท
เราได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันเกี่ยวกับการที่พี่พราวอยากโปรโมทรีสอร์ทว่าเป้นที่พักที่ให้น้องหมาเข้าพักได้ เราก็แนะนำไปว่าดีนะครับ แต่พี่ควรจะตั้งกฎระเบียบการเข้าพักให้ชัดเจนไปเลย เช่น ห้ามเอาน้องหมาขึ้นเตียง ห้ามฉี่ใส่พรม ทำของเสียหายต้องชดใช้เป็นต้น พี่พราวก็บอกว่าไม่น่าเป็นอะไรมั้ง เพราะคนรักหมาเหมือนกัน น่าจะดูแลห้องเราได้ ซึ่งเราก็บอกว่ามันคงไม่ทุกคนนะครับ การสนทนาเรื่องนี้ก็จบๆไปเปลี่ยนเรื่องคุย
วันรุ่งขึ้นก็ไม่มีอะไรแล้ว ถ่ายรูปกับพี่ๆที่รีสอร์ทกับแล้วออกเดินทาง ขากลับก็แวะรับอาบูที่สวรรคโลก แล้วก็ตรงกลับบ้านเลย จบทริปแห่งความสุข ที่เราไม่ได้มีความสุขกับทริปไหนแบบนี้มานานแล้ว
ปล. ณ วันที่เราลงโพสต์นี้ ทาง Nan de Panna ได้ปิดรับน้องหมาไปเรียบร้อยแล้วนะครับ เพราะเพิ่งเจอลูกค้าที่ปล่อยน้องหมาไปฉี่บนเตียงแล้วไม่รับผิดชอบ ก็เลยตัดปัญหาเลิกรับน้องหมาไป พวกเราเลยอยากจะขอเพื่อนๆที่เลี้ยงน้องหมาทุกคนนะครับ ถ้าอยากให้พวกเรามีสถานที่พาน้องหมาเที่ยวดีๆแบบนี้ไปนานๆ ไปไหนก็ช่วยกันรักษาข้าวของเค้า ดูแลสถานที่ เคารพกฎระเบียบเค้าด้วยนะครับ ไม่งั้นอีกหน่อย เราคงไม่มีที่ให้หมาเราไปเที่ยวไหนแล้วล่ะครับ
ปล 2 ใครยังไม่ได้ดูวิดีโอที่พวกเราตั้งใจทำ อย่าลืมกดดูวิดีโอด้านบนสุดเลยนะคร้าบบ
พาน้องหมาเที่ยวน่าน Nan de Panna ฟาร์มเห็ดบ้านหัวน้ำ ร้านกาแฟบ้านไทลื้อ บ่อเกลือ ดอยภูคา
ก่อนเริ่มทริปขอเล่านิดนึงว่าทริปนี้ ป๊าแพลนจะพาพวกเราไปแค่บางตัว มอลลี่ กับโรมี่ไม่ได้ไป เพราะทั้ง 2 ตัวเมารถ ส่วนอันย่าอดจ้ะ เพราะนางเป็นแมว เริ่มจากการหาโรงแรมก่อนเลย ยากมากกกกก ป๊าเริ่มหาจากอินเทอร์เน็ตว่ามีโรงแรมหรือรีสอร์ทไหนที่ให้น้องหมาเข้าพักได้บ้าง โดยเฉพาะที่ที่รับหมาใหญ่ได้ พอได้ลิสต์มา ก็โทรไล่ตาม ส่วนใหญ่เลิกรับหมาไปแล้ว เนื่องจากเจอเจ้าของหลายคน ไม่ปฏิบัติตามกฎ ทำข้าวของเสียหาย โรงแรมก็เลยตัดปัญหาไม่รับดีกว่า สุดท้ายมาได้ที่ Nan de Panna ดูรูปต่างๆก็โอเค ติดต่อจองไปเรียบร้อย 3 คืนที่นี่ เพราะป๊าก็ขี้เกียจย้ายหลายที่
วันเริ่มเดินทาง เราชิวๆออกจากบ้านกัน 8 โมงเช้า ขับกันไปเรื่อยๆ ทริปนี้เราต้องแวะส่งอาบูที่สุโขทัยก่อน เพราะอาบูจะแวะไปหาอาอี๊ เลยได้โอกาสแวะกินก๋วยเตี๋ยวสุโขทัยกัน จากกรุงเทพฯเราใช้เวลาขับรถประมาณ 4 ชั่วโมงกว่าๆจนถึงสวรรคโลก ดูจากเวลาตอนนั้น ก็บ่าย 3 กว่าแล้ว เราคงไม่มีเวลาเที่ยวที่อื่นในสวรรคโลก ไม่งั้นจะถึงน่านดึกเกินไป
ออกจากสวรรคโลก เราก็รีบตรงดิ่งไปน่านเลย แทบจะไม่แวะที่ไหนเลยนอกจากห้องน้ำ จนถึงที่พัก Nan de Panna ก็ราวๆ 2 ทุ่มเห็นจะได้ มีเจ้าหน้าที่รอเปิดห้องให้เราอยู่ ดึกขนาดนี้คงไม่ได้ไปไหนแล้ว ก็เก็บๆของ ทานข้าว แล้วก็เข้านอน
ตื่นมาอีกวัน เราไม่ได้เป็นพวกตื่นแต่เช้า เพื่อดูพระอาทิตย์ขึ้นซะด้วย เลยตื่น 8 โมงค่อยๆละเมียดๆกินข้าวเช้า ปล่อยน้องหมาวิ่งเล่น ใช้ชีวิตแบบ slow life ไป จนกระทั่ง 10 โมงกว่าถึงได้ฤกษ์ออกจากโรงแรม
วันนี้เราตั้งใจจะไปแถบ อ.ปัวกัน แต่ก็ไม่ได้กำหนดที่ซักเท่าไหร่ แค่แพลนๆไว้คร่าวๆ ถึงปัวก็เป็นเวลาอาหารเที่ยงแล้ว เราก็เลยตัดสินใจหยุดแวะกันที่ฟาร์มเห็ดบ้านหัวน้ำกันก่อน ที่นี่เป็นร้านอาหารที่มีเห็ดเป็นพระเอก อนุญาตให้พาน้องหมาเข้ามาได้ แต่เป็นโซน Outdoor เมนูที่เราสั่งๆไปอร่อยหลายเมนูเลยทีเดียว ทานข้าวเสร็จ ก็มีที่ให้ถ่ายรูปสวยๆด้วย
เสร็จจากทานข้าว เราก็ไปหากาแฟทานกันต่อที่ กาแฟบ้านไทลื้อ ที่เลือกที่นี่เพราะได้ยินมาว่ามีวิวถ่ายรูปได้สวยเลย แล้วก็ไม่ผิดหวังจริงๆ สถานที่สวยงาม แต่แนะนำให้มาช่วงใกล้เย็นๆก่อนพระอาทิตย์ตกนิดหน่อย ถ้ามาเที่ยงๆจะค่อนข้างร้อนมาก งานนี้ Captain Quint อดได้รูปสวยๆเหมือนน้องๆ เพราะทางเดินไปจุดต่างๆจะเป็นทางแคบที่ทำจากขอนไม้ ด้านล่างจะเป็นน้ำๆ ซึ่งพี่ควิ้นท์คงเดินตกทางแน่ๆ จบจากที่นี่เราก็เดินช้อปปิ้งกันนิดหน่อยก็กลับที่พักกัน
หลังจากกลับที่พักวันนี้ ไม่ได้มีกิจกรรมอะไรมากมายให้เด็กๆ ป๊าเอาเด็กๆไว้ที่ห้องแล้วแอบออกไปกินข้าวในเมืองกันแป๊บนึง กลับมาถึงเจ้าของที่พักชื่อคุณ Greg ก็ชวนนั่งกินไวน์ คุยกันสนุกสนานไป แล้วเราก็แพลนกันว่าวันรุ่งขึ้นเราจะพาหมาเราไปเล่นน้ำกันที่ลำธารหลังรีสอร์ทกับหมาพี่เค้า โอเค ดีล!!!
วันรุ่งขึ้นเราออกกันแต่เช้าหน่อย เพราะเราต้องรีบกลับมาที่รีสอร์ทก่อนบ่าย 3 เพื่อเอาเด็กๆเล่นน้ำ วันนี้ตั้งใจจะไปบ่อเกลือกัน ทริปวันนี้เรานัดเพื่อนอีกบ้านที่เลี้ยงน้องไซ 2 ตัวไปด้วยกัน เค้าบอกให้แวะบ่อเกลือโบราณถ่ายรูปก่อน พอไปถึง เราเดินๆดูรอบๆ เก็บรูปสถานที่นิดหน่อย แต่เห็นว่าไม่น่าเหมาะกับน้องหมาเท่าไหร่ เราเลยไม่ได้เอาน้องหมาลง เปลี่ยนจุดมุ่งหมายขับรถต่อไปดอยภูคา เราจอดแวะถ่ายรูปตามจุดชมวิวตลอดทาง ได้รูปค่อนข้างสวยหลายที่เลยทีเดียว
เราใช้เวลาไปกับการถ่ายรูปค่อนข้างนานพอสมควร เห็นเวลาก็คงได้เวลาขับกลับรีสอร์ทแล้วล่ะ เพราะใกล้เวลานัดเล่นน้ำของเด็กๆแล้ว
ถึงรีสอร์ท เราก็เจอพี่พราวกับน้องหมารออยู่แล้ว เตรียมพร้อมเล่นน้ำกัน เราลังเลๆว่าเราจะปล่อยสายจูงพี่ควิ้นท์ดีมั๊ย คนที่เลี้ยงไซบี้จะรู้ดีว่าพันธุ์นี้ส่วนใหญ่ปล่อยสายจูงแล้วจะวิ่งเตลิด แต่เอาน่า มาต่างจังหวัดทั้งที ให้เค้าอยู่แต่สายจูงแล้วจะพาเค้ามาทำไม พอปลดสายจูงปีบ เท่านั้นแหละ วิ่งลงไปตรงลำธาร กระโดดลงน้ำทันที
วันนี้เราก็หมดไปกับการปล่อยเด็กๆเล่นน้ำ แต่มันมีความสุขนะ กับการได้เห็นรอยยิ้มเค้าเวลาเค้ามีความสุขกับการวิ่งบนสนามหญ้า ได้ว่ายน้ำ การเลี้ยงหมามันก็จะมีความสุขตรงการที่เห็นหมาเรามีความสุขนี่แหละ หลังจากพาขึ้นจากน้ำ งานยากของพวกเราก็มาถึง ลืมเอาไดร์เป่าขนตัวใหญ่มา เลยก็ต้องอาศัยไดร์ตัวเล็กของพี่พราวใช้ ใช้เวลาเป่าเกือบ 3 ชั่วโมงได้ จากนั้นก็เอาเด็กๆเก็บเข้าห้อง แล้วไปนั่งกินข้าวเย็นกับพี่พราว และ Greg เจ้าของรีสอร์ท
เราได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันเกี่ยวกับการที่พี่พราวอยากโปรโมทรีสอร์ทว่าเป้นที่พักที่ให้น้องหมาเข้าพักได้ เราก็แนะนำไปว่าดีนะครับ แต่พี่ควรจะตั้งกฎระเบียบการเข้าพักให้ชัดเจนไปเลย เช่น ห้ามเอาน้องหมาขึ้นเตียง ห้ามฉี่ใส่พรม ทำของเสียหายต้องชดใช้เป็นต้น พี่พราวก็บอกว่าไม่น่าเป็นอะไรมั้ง เพราะคนรักหมาเหมือนกัน น่าจะดูแลห้องเราได้ ซึ่งเราก็บอกว่ามันคงไม่ทุกคนนะครับ การสนทนาเรื่องนี้ก็จบๆไปเปลี่ยนเรื่องคุย
วันรุ่งขึ้นก็ไม่มีอะไรแล้ว ถ่ายรูปกับพี่ๆที่รีสอร์ทกับแล้วออกเดินทาง ขากลับก็แวะรับอาบูที่สวรรคโลก แล้วก็ตรงกลับบ้านเลย จบทริปแห่งความสุข ที่เราไม่ได้มีความสุขกับทริปไหนแบบนี้มานานแล้ว
ปล. ณ วันที่เราลงโพสต์นี้ ทาง Nan de Panna ได้ปิดรับน้องหมาไปเรียบร้อยแล้วนะครับ เพราะเพิ่งเจอลูกค้าที่ปล่อยน้องหมาไปฉี่บนเตียงแล้วไม่รับผิดชอบ ก็เลยตัดปัญหาเลิกรับน้องหมาไป พวกเราเลยอยากจะขอเพื่อนๆที่เลี้ยงน้องหมาทุกคนนะครับ ถ้าอยากให้พวกเรามีสถานที่พาน้องหมาเที่ยวดีๆแบบนี้ไปนานๆ ไปไหนก็ช่วยกันรักษาข้าวของเค้า ดูแลสถานที่ เคารพกฎระเบียบเค้าด้วยนะครับ ไม่งั้นอีกหน่อย เราคงไม่มีที่ให้หมาเราไปเที่ยวไหนแล้วล่ะครับ
ปล 2 ใครยังไม่ได้ดูวิดีโอที่พวกเราตั้งใจทำ อย่าลืมกดดูวิดีโอด้านบนสุดเลยนะคร้าบบ