ธรรมจักร กงล้อแห่งพุทธธรรม
ธรรมจักร (Dharmachakra; Wheel of Dhamma) คือ ธรรม แปลว่า ความจริงแท้ ธรรมเป็นขบวนการก่อเกิดของทุกสรรพสิ่ง จักร คือ "ล้อ
ธรรมจักร แปลว่า กงล้อแห่งพุทธธรรม ความเจริงแท้ ในการขับเคลื่อนชีวิตไปข้างหน้า นำชีวิตไปสู่สันติสุข มีสัมมาปัญญา รู้แจ้งเห็นจริงในธรรม มีสัมมาวิริยะ หมั่นพากเพียรอดทน มีสัมมาตบะ ต่อเนื่อง สม่ำเสมออย่างยิ่งยวด เป็นสรณะมหาพลังของชีวิต ธรรมจักรขับเคลื่อนนำชีวิตของตัวเรา หน้าที่ การงาน ธุรกิจ อุปสรรคทั้งหลาย เคราะห์ภัยทั้งปวง ลุล่วงผ่านพ้น สำเร็จทุกประการ
ความหมายกงล้อซี่ธรรมจักร
ซี่กงล้อธรรมจักรทั้งหมด ๘ ซี่นั้นมีความหมายดังนี้
กงล้อซี่ที่ ๑ อุเบกขา (equanimity; neutrality; poise) ไม่ยึดมั่นถือมั่นในความเห็นทิฏฐิของตนและในการปล่อยวางสิ่งต่างๆ ย่อมให้เห็นเป็นไปตามวิถีแห่งธรรม ไม่มีอคติ มีความยุติธรรม และปัญญาที่รู้เข้าใจธรรมชาติ ยอมรับความเป็นจริงเป็นไปตามวิถีแห่งธรรมนั้นๆ ไม่ยึดมั่นถือมั่นตามธรรมที่เราต้องการให้เป็นอยู่หรือเป็นไป
เราทำดีแล้วมีคนชมเราดีอย่างนั้นอย่างนี้ แล้วเราหลงใหลกับคำชื่นชมเหล่านั้นไม่ชื่อว่าอุเบกขา
เข้าใจธรรม ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปตามธรรม ธรรมชาติของธรรมเป็นเช่นนี้ เป็นเรื่องปกติธรรมดา ฉะนั้นเราจึงต้องไปทำกิจของตนโดยธรรม กำหนดจิตของเราให้เป็นไปตามวิถีแห่งธรรม โดยธรรม
อุเบกขาเป็นภาวะธรรมหนึ่งๆ ที่จะต้องเป็นไปตามเหตุและผลของภาวะธรรมนั้นๆ ฉะนั้น เราจะยึดมั่นถือมั่นให้เป็นไปตามใจเราอย่างนี้อย่างนั้นไม่ได้ สุดแต่ภาวะเหตุของธรรมนั้นเป็นเช่นใดก็เป็นเช่นนั้น เราต้องยอมรับความจริงแห่งภาวะธรรมนั้นๆ
อุเบกขาเป็นภาวะธรรม ไม่ใช่ภาวะบุคคล มีเหตุมีผลของภาวะธรรมนั้นๆ ภาวะธรรมจะเกิดก็ต้องเกิด เราต้องยอมรับความจริง เราจะไปปฏิเสธภาวะธรรมไม่ได้ เช่น วันนี้ฝนตก พอถึงเวลาที่จะตก มีเหตุที่ทำให้ฝนตก ฝนก็จะตก เราจะไปบังคับไม่ให้ฝนตกไม่ได้ ถ้าเราจะไปบังคับ นี่แหละเราไม่ยอมให้มีอุเบกขา
เช่น ฝนตก จะไม่ให้ฝนตกเป็นไปไม่ได้ แต่เราสามารถบริหารตัวเราเองจะอยู่กับภาวะธรรมนั้นๆ คือ ฝนตกได้ เช่น อยู่ในร่ม กางร่ม ถ้าฝนตกหนักหนาว เราก็ห่มเสื้อกันหนาวได้ เป็นต้น
เราต้องรู้ภาวะธรรม เราถึงจะรู้ภาวะบุคคล
เราบอกว่าจะไม่ยึดมั่นถือมั่น แต่เราไม่รู้จักภาวะธรรม จะทำยังไงก็อุเบกขาไม่ได้
เราต้องยอมรับภาวะธรรมเป็นเช่นนี้ ถ้าเรายอมรับภาวะธรรมได้ อุเบกขาจะมีโดยอัตโนมัติเลย เราจะไม่ยึดมั่นถือมั่นโดยปริยาย
เราต้องรับความจริงก่อน ก่อนที่จะอุเบกขา
เหมือนกับเราออกกฎหมายอะไรมา แต่ถ้าไปขัดกับกฎรัฐธรรมนูญ กฎหมายนั้นฟาวล์ (foul) ทันที เพราะภาวะธรรมใหญ่กว่า พลังเหนือกว่า
กงล้อซี่ที่ ๒ อัตตา แปลว่า ตัวตน คือ สิ่งที่เป็นปัจจัยเหตุ ณ ภาวะธรรมนั้นขึ้นมา แล้วก็ไปตามกฎแห่งอนิจจัง แต่สลายไป แต่อัตตายังคงอยู่
หมายความว่า ตัวตน มีอยู่ของมัน ไม่มีอยู่คงที่ เป็นอนิจจัง เป็นไปตามปัจจัยเหตุ เคลื่อนที่ไปตามปัจจัยเหตุ มีอัตตา ไม่ใช่ตายตัว ไม่ใช่ว่าคนนี้มีอัตตาแล้วตายตัวแล้ว ไม่มีแล้ว ตายตัวเป็นตายตัวไม่ใช่
อัตตาจะมีการแปรเปลี่ยนไปเรื่อยๆ แปรรูป ทำไมถึงต้องแปรรูป เพราะว่าเป็นอนิจจัง เพราะว่าเปลี่ยนไปตามปัจจัยแห่งเหตุ ทำไมถึงต้องอนิจจัง เพราะว่าเหตุมันเปลี่ยนไปเรื่อยๆ อัตตาจะสลายไม่ได้ มีแต่แปรรูป
กงล้อซี่ที่ ๓ อนิจจัง แปลว่า แปรเปลี่ยน ทุกสิ่งทุกอย่างจะต้องมีการแปรเปลี่ยน เปลี่ยนแปลงไปตามเหตุปัจจัย
อนิจจัง ไม่ได้แปลว่า "สลาย" แต่แปลว่า "ทนอยู่สภาพเดิมไม่ได้" เมื่อเหตุเปลี่ยน ผลก็ต้องแปรเปลี่ยนตาม เหมือนกับน้ำแข็ง อากาศร้อน น้ำแข็งก็จะละลาย
กงล้อซี่ที่ ๔ ทุกขัง แปลว่า ไม่คงทน หมายถึง ทนอยู่สภาพเหตุนั้นไม่ได้ หรือไม่คงทนต่อภาวะนั้นๆ ตลอดกาล
กงล้อซี่ที่ ๕ อนัตตา แปลว่า ไม่สามารถควบคุมได้ เราจึงยึดมั่นถือมั่นไม่ได้ หมายถึง มีตัวตน แต่ยึดมั่นถือมั่นให้คงทนอย่างเดิมไม่ได้
หมายความว่า ความไม่มีตัวตน ทุกสิ่งจะต้องมีการเปลี่ยนแปลง เช่น จานอาหารที่อยู่ต่อหน้าเรา ล้วนแต่น่ากินอยู่ที่ในจาน แต่พอเราตักเข้าปาก ความอยู่เต็มจานของอาหารมันหายไป นี่แหละเปลี่ยนแปลงไป และสิ่งที่เราเคี้ยวอยู่เต็มปาก ก็ไม่ชื่อว่าเป็นกับข้าวที่เรากิน เช่น ข้าวผัด ผัดกระเพรา ฯลฯ เพราะว่าผสมปนเปกันอยู่ในปากหมด นี่แหละ ความอนัตตาอยู่กับเราทุกขณะปัจจุบันทุกลมหายใจ
กงล้อซี่ที่ ๖ ภาวะอนัตตา คือ เอา ๓ ตัวรวมกัน คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ก็จะเข้าสู่ภาวะอนัตตาจริงๆ
กงล้อซี่ที่ ๗ สุญญตา คือ ถ้าเข้าใจอนัตตา ทุกอย่างเราควบคุมไม่ได้
หมายความว่า สุญญตาเป็นความว่าง แต่ไม่ใช่ความว่างเปล่า แต่ว่างจากการยึดมั่นถือมั่น ทุกสิ่งเราไม่สามารถยึดมั่นถือมั่นได้
กงล้อซี่ที่ ๘ ตถตา คือ รวมกันทั้ง ๗ ข้อ เป็นเช่นนั้นเอง โดยธรรมชาติ คือเห็นทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นไปตามวิถีแห่งธรรม ทุกสิ่งเป็นไปตามวาระแห่งธรรม
๘ ซี่กงล้อธรรมในการขับเคลื่อนให้หลุดพ้น ต้องมี ๘ ข้อนี้ถึงจะหลุดพ้นได้ ทำไมถึงไม่ใช้หลักธรรมข้ออื่น เพราะว่าธรรมะข้ออื่นยังหมุนอยู่ในล้อ หลุดพ้นไม่ได้
ขอความเคารพ หากผู้รู้มีสิ่งชี้แนะ น้อมรับฟังเสมอ และขอความกรุณาแย้ง ชี้แจง ชี้แนะ แม้แต่ต้องการให้เพิ่มเติมสิ่งใด ก็ขอได้บอกมา
อ.พรหมสิทธิ์ ทิพย์ธาดาวงศ์
ธรรมจักร กงล้อแห่งพุทธธรรม
ธรรมจักร (Dharmachakra; Wheel of Dhamma) คือ ธรรม แปลว่า ความจริงแท้ ธรรมเป็นขบวนการก่อเกิดของทุกสรรพสิ่ง จักร คือ "ล้อ
ธรรมจักร แปลว่า กงล้อแห่งพุทธธรรม ความเจริงแท้ ในการขับเคลื่อนชีวิตไปข้างหน้า นำชีวิตไปสู่สันติสุข มีสัมมาปัญญา รู้แจ้งเห็นจริงในธรรม มีสัมมาวิริยะ หมั่นพากเพียรอดทน มีสัมมาตบะ ต่อเนื่อง สม่ำเสมออย่างยิ่งยวด เป็นสรณะมหาพลังของชีวิต ธรรมจักรขับเคลื่อนนำชีวิตของตัวเรา หน้าที่ การงาน ธุรกิจ อุปสรรคทั้งหลาย เคราะห์ภัยทั้งปวง ลุล่วงผ่านพ้น สำเร็จทุกประการ
ความหมายกงล้อซี่ธรรมจักร
ซี่กงล้อธรรมจักรทั้งหมด ๘ ซี่นั้นมีความหมายดังนี้
กงล้อซี่ที่ ๑ อุเบกขา (equanimity; neutrality; poise) ไม่ยึดมั่นถือมั่นในความเห็นทิฏฐิของตนและในการปล่อยวางสิ่งต่างๆ ย่อมให้เห็นเป็นไปตามวิถีแห่งธรรม ไม่มีอคติ มีความยุติธรรม และปัญญาที่รู้เข้าใจธรรมชาติ ยอมรับความเป็นจริงเป็นไปตามวิถีแห่งธรรมนั้นๆ ไม่ยึดมั่นถือมั่นตามธรรมที่เราต้องการให้เป็นอยู่หรือเป็นไป
เราทำดีแล้วมีคนชมเราดีอย่างนั้นอย่างนี้ แล้วเราหลงใหลกับคำชื่นชมเหล่านั้นไม่ชื่อว่าอุเบกขา
เข้าใจธรรม ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปตามธรรม ธรรมชาติของธรรมเป็นเช่นนี้ เป็นเรื่องปกติธรรมดา ฉะนั้นเราจึงต้องไปทำกิจของตนโดยธรรม กำหนดจิตของเราให้เป็นไปตามวิถีแห่งธรรม โดยธรรม
อุเบกขาเป็นภาวะธรรมหนึ่งๆ ที่จะต้องเป็นไปตามเหตุและผลของภาวะธรรมนั้นๆ ฉะนั้น เราจะยึดมั่นถือมั่นให้เป็นไปตามใจเราอย่างนี้อย่างนั้นไม่ได้ สุดแต่ภาวะเหตุของธรรมนั้นเป็นเช่นใดก็เป็นเช่นนั้น เราต้องยอมรับความจริงแห่งภาวะธรรมนั้นๆ
อุเบกขาเป็นภาวะธรรม ไม่ใช่ภาวะบุคคล มีเหตุมีผลของภาวะธรรมนั้นๆ ภาวะธรรมจะเกิดก็ต้องเกิด เราต้องยอมรับความจริง เราจะไปปฏิเสธภาวะธรรมไม่ได้ เช่น วันนี้ฝนตก พอถึงเวลาที่จะตก มีเหตุที่ทำให้ฝนตก ฝนก็จะตก เราจะไปบังคับไม่ให้ฝนตกไม่ได้ ถ้าเราจะไปบังคับ นี่แหละเราไม่ยอมให้มีอุเบกขา
เช่น ฝนตก จะไม่ให้ฝนตกเป็นไปไม่ได้ แต่เราสามารถบริหารตัวเราเองจะอยู่กับภาวะธรรมนั้นๆ คือ ฝนตกได้ เช่น อยู่ในร่ม กางร่ม ถ้าฝนตกหนักหนาว เราก็ห่มเสื้อกันหนาวได้ เป็นต้น
เราต้องรู้ภาวะธรรม เราถึงจะรู้ภาวะบุคคล
เราบอกว่าจะไม่ยึดมั่นถือมั่น แต่เราไม่รู้จักภาวะธรรม จะทำยังไงก็อุเบกขาไม่ได้
เราต้องยอมรับภาวะธรรมเป็นเช่นนี้ ถ้าเรายอมรับภาวะธรรมได้ อุเบกขาจะมีโดยอัตโนมัติเลย เราจะไม่ยึดมั่นถือมั่นโดยปริยาย
เราต้องรับความจริงก่อน ก่อนที่จะอุเบกขา
เหมือนกับเราออกกฎหมายอะไรมา แต่ถ้าไปขัดกับกฎรัฐธรรมนูญ กฎหมายนั้นฟาวล์ (foul) ทันที เพราะภาวะธรรมใหญ่กว่า พลังเหนือกว่า
กงล้อซี่ที่ ๒ อัตตา แปลว่า ตัวตน คือ สิ่งที่เป็นปัจจัยเหตุ ณ ภาวะธรรมนั้นขึ้นมา แล้วก็ไปตามกฎแห่งอนิจจัง แต่สลายไป แต่อัตตายังคงอยู่
หมายความว่า ตัวตน มีอยู่ของมัน ไม่มีอยู่คงที่ เป็นอนิจจัง เป็นไปตามปัจจัยเหตุ เคลื่อนที่ไปตามปัจจัยเหตุ มีอัตตา ไม่ใช่ตายตัว ไม่ใช่ว่าคนนี้มีอัตตาแล้วตายตัวแล้ว ไม่มีแล้ว ตายตัวเป็นตายตัวไม่ใช่
อัตตาจะมีการแปรเปลี่ยนไปเรื่อยๆ แปรรูป ทำไมถึงต้องแปรรูป เพราะว่าเป็นอนิจจัง เพราะว่าเปลี่ยนไปตามปัจจัยแห่งเหตุ ทำไมถึงต้องอนิจจัง เพราะว่าเหตุมันเปลี่ยนไปเรื่อยๆ อัตตาจะสลายไม่ได้ มีแต่แปรรูป
กงล้อซี่ที่ ๓ อนิจจัง แปลว่า แปรเปลี่ยน ทุกสิ่งทุกอย่างจะต้องมีการแปรเปลี่ยน เปลี่ยนแปลงไปตามเหตุปัจจัย
อนิจจัง ไม่ได้แปลว่า "สลาย" แต่แปลว่า "ทนอยู่สภาพเดิมไม่ได้" เมื่อเหตุเปลี่ยน ผลก็ต้องแปรเปลี่ยนตาม เหมือนกับน้ำแข็ง อากาศร้อน น้ำแข็งก็จะละลาย
กงล้อซี่ที่ ๔ ทุกขัง แปลว่า ไม่คงทน หมายถึง ทนอยู่สภาพเหตุนั้นไม่ได้ หรือไม่คงทนต่อภาวะนั้นๆ ตลอดกาล
กงล้อซี่ที่ ๕ อนัตตา แปลว่า ไม่สามารถควบคุมได้ เราจึงยึดมั่นถือมั่นไม่ได้ หมายถึง มีตัวตน แต่ยึดมั่นถือมั่นให้คงทนอย่างเดิมไม่ได้
หมายความว่า ความไม่มีตัวตน ทุกสิ่งจะต้องมีการเปลี่ยนแปลง เช่น จานอาหารที่อยู่ต่อหน้าเรา ล้วนแต่น่ากินอยู่ที่ในจาน แต่พอเราตักเข้าปาก ความอยู่เต็มจานของอาหารมันหายไป นี่แหละเปลี่ยนแปลงไป และสิ่งที่เราเคี้ยวอยู่เต็มปาก ก็ไม่ชื่อว่าเป็นกับข้าวที่เรากิน เช่น ข้าวผัด ผัดกระเพรา ฯลฯ เพราะว่าผสมปนเปกันอยู่ในปากหมด นี่แหละ ความอนัตตาอยู่กับเราทุกขณะปัจจุบันทุกลมหายใจ
กงล้อซี่ที่ ๖ ภาวะอนัตตา คือ เอา ๓ ตัวรวมกัน คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ก็จะเข้าสู่ภาวะอนัตตาจริงๆ
กงล้อซี่ที่ ๗ สุญญตา คือ ถ้าเข้าใจอนัตตา ทุกอย่างเราควบคุมไม่ได้
หมายความว่า สุญญตาเป็นความว่าง แต่ไม่ใช่ความว่างเปล่า แต่ว่างจากการยึดมั่นถือมั่น ทุกสิ่งเราไม่สามารถยึดมั่นถือมั่นได้
กงล้อซี่ที่ ๘ ตถตา คือ รวมกันทั้ง ๗ ข้อ เป็นเช่นนั้นเอง โดยธรรมชาติ คือเห็นทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นไปตามวิถีแห่งธรรม ทุกสิ่งเป็นไปตามวาระแห่งธรรม
๘ ซี่กงล้อธรรมในการขับเคลื่อนให้หลุดพ้น ต้องมี ๘ ข้อนี้ถึงจะหลุดพ้นได้ ทำไมถึงไม่ใช้หลักธรรมข้ออื่น เพราะว่าธรรมะข้ออื่นยังหมุนอยู่ในล้อ หลุดพ้นไม่ได้
ขอความเคารพ หากผู้รู้มีสิ่งชี้แนะ น้อมรับฟังเสมอ และขอความกรุณาแย้ง ชี้แจง ชี้แนะ แม้แต่ต้องการให้เพิ่มเติมสิ่งใด ก็ขอได้บอกมา
อ.พรหมสิทธิ์ ทิพย์ธาดาวงศ์