How to : เที่ยวญี่ปุ่นยังไง...ของพวกเอ็งฟระ!
สำหรับแผนเที่ยวญี่ปุ่นยังไงให้ Chill Cool Safe น่าจะมีคนเขียนเอาไว้แล้วมากมาย เราเลยมีวิธีเที่ยวญี่ปุ่นแบบหัวหมุน โกลาหล วุ่นวาย งงงัน มานำเสนอบ้าง
โดยเรามีกรณีศึกษาจากทริปออกนอกประเทศครั้งแรกของไอ้เหน่อคนหนึ่งจากจังหวัดหนึ่งในภาคตะวันตก กับไข่นุ้ยเพื่อนของมันจากภาคใต้ ที่เกิดขึ้นเมื่อ 4 ปีที่แล้ว
ทริปดีๆ ก็เหมือนไวน์ ต้องบ่มให้ได้ที่ค่อยรีวิว...
ขั้นตอนที่ 1 วางแผน
ทริปนี้ใช้เวลาเตรีมการ 1 ปี เริ่มวางแผนกันจากเดินทางยังไง และได้บทสรุปว่าเราจะนั่งต่อเครื่องจากไทยไปจีนและจากจีนไปโอซาก้า (ทำแบบเดียวกันตอนขากลับคือโอซาก้า-ปักกิ่ง-ไทย
4 ปีที่แล้วนี่คือวิธีที่ทั้งสองคนคิดแล้วว่าประหยัดที่สุด กับค่าตั๋วโดยสารที่ 18,000 (อ่านไม่ผิดหรอกหมื่นแปดพันบาทถ้วน เรทเดียวกับที่ปัจจุบันบินตรงไปกลับได้สองเที่ยวหรือนั่ง full service สายการบินแห่งชาติได้นั่นแหละ)
ทั้งสองคนคิดว่าชาตินี้คงไม่ได้ออกนอกประเทศไปไหนอีกแล้วจึงตกลงกันว่า 10 วันไปเลยแบบชาตินี้ไม่ต้องเจอกันอีก แล้ว 10 วันจะเที่ยวไหนบ้าง เดินทางในญี่ปุ่นยังไง อยู่ยังไง ทุกอย่างต้องรัดกุมเพื่อป้องกันการผิดพลาด เราจะเที่ยวกันแบบชิลราชาทั้ง 10 วันให้โลกต้องจดจำ
เริ่มจากจองตั๋วชินคันเซ็นไว้เลยสำหรับเที่ยวต่อโอซาก้า โตเกียว เป็นตั๋วแบบไม่จำกัดเที่ยวใน 4 วัน จองที่พักไว้พร้อมเรียบร้อยหมด เที่ยวที่ไหนบ้างก็มีการหาข้อมูลไว้อย่างพร้อมสรรพ ทุกอย่างพร้อม เรียบร้อย ลงตัว ไม่มีการเช่า pocket wifi เพราะแคปแผนที่ทุกแห่งไว้ในมือถือหมดแล้ว ประหยัดเงินไปได้อีก หลักแหลมอะไรเบอร์นั้น
แต่ทั้งสองหน่อไม่รู้เลยว่าสุดท้ายแล้วสิ่งที่เป็นไปตามแผน....มีแค่ตั๋วเครื่องบิน! (ที่หลังสิบวันผ่านไปจะแข่งกันบินตรงถูกแค่ครึ่งราคาของที่พวกเขาต่อเครื่องไป)
ขั้นที่ 2 เดินทาง
เปลี่ยนเครื่องที่ปักกิ่งเวลาเกือบตีสอง สนามบินเหมือนสนามบินร้าง สองหน่อเดินขึ้นบันไดเลื่อนที่ไม่เลื่อนแถมมีไม้อัดกั้นทางไว้เหมือนกำลังบูรณะอะไรสักอย่างอยู่ ไม่มีแม้แต่ผู้โดยสารให้เห็นในระหว่างทางไปเกทเปลี่ยนเครื่อง แม้แต่ไฟในสนามบินก็มืดสลัวจนอาจใช้เป็นฉากในหนังผีได้โดยไม่ต้องเซ็ตไฟและสถานที่เพิ่ม ถ้ามีซอมบี้หรือผีโผล่มา หรือแค่เสียงคนครางก็อาจขวัญกระเจิงได้
เครื่องลำที่สองพามาจนถึงน่านฟ้าแดนปลาดิบ เสียงกัปตันประกาศจะลงจอด เครื่องเริ่มบินวนและต่ำลง ตอนนั้นแหละที่ไอ้บ้านนอกที่ไม่เคยออกนอกประเทศดิ้นพล่าน จนไข่นุ้ยแดนใต้ที่นั่งข้างๆ ต้องตกใจ หรือเพื่อนจะติดเชื้อซอมบี้มาจากสนามบินจีน!
“กู๊ป๋วดหู๋” ไอ้เหน่อบิดหูตัวบิดงอ
“เมินปวดข่ะหนาดนั้นเลยเหลอ” ไข่นุ้ยถาม
เป็นอาการที่น่าจะเกิดจากความดันในหูแต่จนปัจจุบันไอ้เหน่อก็ยังไม่รู้คำตอบแน่ชัดอยู่ดีว่าทำไมตัวเองถึงปวดมากกว่าคนอื่นที่อาจแค่หูอื้อหรือปวดเล็กน้อย แต่ไอ้หมอนี่กลับปวดจนราวกับหูจะระเบิด ภาพในความคิดของไอ้เหน่อในขณะนั้นเหมือนในหนังที่สัญญาณฉุกเฉินบนเครื่องดังรัวๆ กัปตันประกาศลงจอดฉุกเฉินในสถานการณ์เร่งด่วน ผู้โดยสารนั่งอกสั่นขวัญแขวนในเครื่องที่กำลังสั่นคลอน เขาภาวนาให้เครื่องโหม่งโลกไปจะได้จบๆ
แต่ในความจริงคือเครื่องลงอย่างปลอดภัย แต่ไอ้เหน่อที่ปวดหูจนอ้วกลามไกลไปจนปวดหัวและกลายเป็นภาระของไข่นุ้ยไปเรียบร้อย...
ขั้นที่ 3 เที่ยว
เครื่องลงที่โอซาก้า เวลาสี่โมงเย็น ไข่นุ้ยและเหน่อเพิ่งสำเหนียกว่าที่พักคืนแรกเป็นโฮสเทลในโตเกียว อ่านไม่ผิดอีกนั่นแหละ เพราะจนทุกวันนี้ทั้งไข่นุ้ยและเหน่อก็ยังไม่เข้าใจตัวเองว่าถ้าเริ่มเที่ยวจากโตเกียวจะไปลงที่โอซาก้าทำซากอะไร! ความ

เริ่มต้นตั้งแต่ยังไม่เริ่มเมื่อวันนั้นดันเป็นวันสำคัญอะไรสักอย่างทำให้คนญี่ปุ่นใช้ชินคันเซ็นกันเยอะมาก นายสถานีบอกว่าถ้าเป็นขบวนที่พวกเอ็งจองมามันไม่ทันแล้วแหละ อ้าว!!
แต่ยังมีความหวังรำไรเมื่อนายสถานีบอกว่าเอางี้งั้นเอ็งสองคนไปขึ้นขบวน Nozomi แทนซะน่าจะยังทัน แต่น่าจะต้องยืนยาวยันโตเกียวนะ อ้อ พวกเอ็งมีเวลาสิบนาทีถ้าไม่อยากค้างที่นี่ก็ต้องเกียร์หมาแล้วนะ ไปขึ้นขบวนเข้าเมือง แล้วมองหาชาญชาลาที่โนโซมิจะเข้าแล้วขึ้นให้ทัน เท่านั้นแหละอาการเมาเครื่อง ความคลื่นใส้ทั้งหมดทั้งมวลของไอ้เหน่อต้องพับเก็บไว้ในลำไส้เล็กก่อนแล้วปลุกวิญญาณอูเซ็น โบลต์ลงประทัปร่าง วิ่งสับขาลอยเข้าไปในสถานี สองตาก็มองหาว่าชาญชาลาไหนวะที่รถไฟขบวนนี้จอดอยู่
และนับว่ายังมีโชคอยู่บ้างที่ไข่นุ้ยและเหน่อวิ่งเข้าไปแทรกตัวยืนบนรถไฟได้ทันเวลาพอดี รถแล่นออกจากชานชาลา แล่นข้ามทะเลเข้าสู่ตัวเมือง
3 ชั่วโมงถัดจากนั้นฟ้ามืดสนิทแล้วสองหน่อก็ได้เหยียบเมืองกรุงของแดนปลาดิบด้วยสองเท้าเป็นครั้งแรก มองหน้ากันแล้วก็ได้แต่สงสัยว่า “นี่วันแรกหมดแล้วเหรอ”
จับรถไฟเขียวสายวนเมือง Yamanote loop line ไปย่านที่จองโฮสเทลไว้คืออาซากุสะ จับแผนที่ที่เซฟเป็นรูปไว้ในมือถือเดินผ่านย่านตลาดและวัดอาซากุสะ แล้วก็ถึงโฮสเทลคืนละ 900 บาทไทยนามว่าซากุระโฮสเทล พร้อมกับแบตมือถือที่หมดลงพอดี
โชคดีจริงๆ ที่ถึงที่พักก่อนแล้วถึงหมด เดี๋ยวเอาของเก็บ ชาร์จแบตไว้เลยแล้วกัน...แบตชาร์จไม่เข้า! ยังไงก็ไม่ยอมเข้า ทั้งเปลี่ยนหัว เปลี่ยนสาย ใส่อแดปเตอร์ เหมือนมันแค่อยากลาโลกนี้ไปเฉยๆ
เฮ้ย...ไม่ได้โว้ย เอ็งจะมาทิ้งกันแบบนี้ไม่ได้ อีก 9 วันที่เหลือของพวกข้าถูกเซฟไว้กับเอ็งทั้งหมด แผนทั้งหมดจะพังตั้งแต่ไม่เริ่มไม่ได้โว้ยยยย
และนั่นคือจุดเริ่มต้นของ 9 วันผิดแผนแสนอลหม่านของไอ้เหน่อแดนตะวันตกและไข่นุ้ยแห่งแดนใต้...
[CR] รีวิวเที่ยวญี่ปุ่น
สำหรับแผนเที่ยวญี่ปุ่นยังไงให้ Chill Cool Safe น่าจะมีคนเขียนเอาไว้แล้วมากมาย เราเลยมีวิธีเที่ยวญี่ปุ่นแบบหัวหมุน โกลาหล วุ่นวาย งงงัน มานำเสนอบ้าง
โดยเรามีกรณีศึกษาจากทริปออกนอกประเทศครั้งแรกของไอ้เหน่อคนหนึ่งจากจังหวัดหนึ่งในภาคตะวันตก กับไข่นุ้ยเพื่อนของมันจากภาคใต้ ที่เกิดขึ้นเมื่อ 4 ปีที่แล้ว
ทริปดีๆ ก็เหมือนไวน์ ต้องบ่มให้ได้ที่ค่อยรีวิว...
ขั้นตอนที่ 1 วางแผน
ทริปนี้ใช้เวลาเตรีมการ 1 ปี เริ่มวางแผนกันจากเดินทางยังไง และได้บทสรุปว่าเราจะนั่งต่อเครื่องจากไทยไปจีนและจากจีนไปโอซาก้า (ทำแบบเดียวกันตอนขากลับคือโอซาก้า-ปักกิ่ง-ไทย
4 ปีที่แล้วนี่คือวิธีที่ทั้งสองคนคิดแล้วว่าประหยัดที่สุด กับค่าตั๋วโดยสารที่ 18,000 (อ่านไม่ผิดหรอกหมื่นแปดพันบาทถ้วน เรทเดียวกับที่ปัจจุบันบินตรงไปกลับได้สองเที่ยวหรือนั่ง full service สายการบินแห่งชาติได้นั่นแหละ)
ทั้งสองคนคิดว่าชาตินี้คงไม่ได้ออกนอกประเทศไปไหนอีกแล้วจึงตกลงกันว่า 10 วันไปเลยแบบชาตินี้ไม่ต้องเจอกันอีก แล้ว 10 วันจะเที่ยวไหนบ้าง เดินทางในญี่ปุ่นยังไง อยู่ยังไง ทุกอย่างต้องรัดกุมเพื่อป้องกันการผิดพลาด เราจะเที่ยวกันแบบชิลราชาทั้ง 10 วันให้โลกต้องจดจำ
เริ่มจากจองตั๋วชินคันเซ็นไว้เลยสำหรับเที่ยวต่อโอซาก้า โตเกียว เป็นตั๋วแบบไม่จำกัดเที่ยวใน 4 วัน จองที่พักไว้พร้อมเรียบร้อยหมด เที่ยวที่ไหนบ้างก็มีการหาข้อมูลไว้อย่างพร้อมสรรพ ทุกอย่างพร้อม เรียบร้อย ลงตัว ไม่มีการเช่า pocket wifi เพราะแคปแผนที่ทุกแห่งไว้ในมือถือหมดแล้ว ประหยัดเงินไปได้อีก หลักแหลมอะไรเบอร์นั้น
แต่ทั้งสองหน่อไม่รู้เลยว่าสุดท้ายแล้วสิ่งที่เป็นไปตามแผน....มีแค่ตั๋วเครื่องบิน! (ที่หลังสิบวันผ่านไปจะแข่งกันบินตรงถูกแค่ครึ่งราคาของที่พวกเขาต่อเครื่องไป)
ขั้นที่ 2 เดินทาง
เปลี่ยนเครื่องที่ปักกิ่งเวลาเกือบตีสอง สนามบินเหมือนสนามบินร้าง สองหน่อเดินขึ้นบันไดเลื่อนที่ไม่เลื่อนแถมมีไม้อัดกั้นทางไว้เหมือนกำลังบูรณะอะไรสักอย่างอยู่ ไม่มีแม้แต่ผู้โดยสารให้เห็นในระหว่างทางไปเกทเปลี่ยนเครื่อง แม้แต่ไฟในสนามบินก็มืดสลัวจนอาจใช้เป็นฉากในหนังผีได้โดยไม่ต้องเซ็ตไฟและสถานที่เพิ่ม ถ้ามีซอมบี้หรือผีโผล่มา หรือแค่เสียงคนครางก็อาจขวัญกระเจิงได้
เครื่องลำที่สองพามาจนถึงน่านฟ้าแดนปลาดิบ เสียงกัปตันประกาศจะลงจอด เครื่องเริ่มบินวนและต่ำลง ตอนนั้นแหละที่ไอ้บ้านนอกที่ไม่เคยออกนอกประเทศดิ้นพล่าน จนไข่นุ้ยแดนใต้ที่นั่งข้างๆ ต้องตกใจ หรือเพื่อนจะติดเชื้อซอมบี้มาจากสนามบินจีน!
“กู๊ป๋วดหู๋” ไอ้เหน่อบิดหูตัวบิดงอ
“เมินปวดข่ะหนาดนั้นเลยเหลอ” ไข่นุ้ยถาม
เป็นอาการที่น่าจะเกิดจากความดันในหูแต่จนปัจจุบันไอ้เหน่อก็ยังไม่รู้คำตอบแน่ชัดอยู่ดีว่าทำไมตัวเองถึงปวดมากกว่าคนอื่นที่อาจแค่หูอื้อหรือปวดเล็กน้อย แต่ไอ้หมอนี่กลับปวดจนราวกับหูจะระเบิด ภาพในความคิดของไอ้เหน่อในขณะนั้นเหมือนในหนังที่สัญญาณฉุกเฉินบนเครื่องดังรัวๆ กัปตันประกาศลงจอดฉุกเฉินในสถานการณ์เร่งด่วน ผู้โดยสารนั่งอกสั่นขวัญแขวนในเครื่องที่กำลังสั่นคลอน เขาภาวนาให้เครื่องโหม่งโลกไปจะได้จบๆ
แต่ในความจริงคือเครื่องลงอย่างปลอดภัย แต่ไอ้เหน่อที่ปวดหูจนอ้วกลามไกลไปจนปวดหัวและกลายเป็นภาระของไข่นุ้ยไปเรียบร้อย...
ขั้นที่ 3 เที่ยว
เครื่องลงที่โอซาก้า เวลาสี่โมงเย็น ไข่นุ้ยและเหน่อเพิ่งสำเหนียกว่าที่พักคืนแรกเป็นโฮสเทลในโตเกียว อ่านไม่ผิดอีกนั่นแหละ เพราะจนทุกวันนี้ทั้งไข่นุ้ยและเหน่อก็ยังไม่เข้าใจตัวเองว่าถ้าเริ่มเที่ยวจากโตเกียวจะไปลงที่โอซาก้าทำซากอะไร! ความ
แต่ยังมีความหวังรำไรเมื่อนายสถานีบอกว่าเอางี้งั้นเอ็งสองคนไปขึ้นขบวน Nozomi แทนซะน่าจะยังทัน แต่น่าจะต้องยืนยาวยันโตเกียวนะ อ้อ พวกเอ็งมีเวลาสิบนาทีถ้าไม่อยากค้างที่นี่ก็ต้องเกียร์หมาแล้วนะ ไปขึ้นขบวนเข้าเมือง แล้วมองหาชาญชาลาที่โนโซมิจะเข้าแล้วขึ้นให้ทัน เท่านั้นแหละอาการเมาเครื่อง ความคลื่นใส้ทั้งหมดทั้งมวลของไอ้เหน่อต้องพับเก็บไว้ในลำไส้เล็กก่อนแล้วปลุกวิญญาณอูเซ็น โบลต์ลงประทัปร่าง วิ่งสับขาลอยเข้าไปในสถานี สองตาก็มองหาว่าชาญชาลาไหนวะที่รถไฟขบวนนี้จอดอยู่
และนับว่ายังมีโชคอยู่บ้างที่ไข่นุ้ยและเหน่อวิ่งเข้าไปแทรกตัวยืนบนรถไฟได้ทันเวลาพอดี รถแล่นออกจากชานชาลา แล่นข้ามทะเลเข้าสู่ตัวเมือง
3 ชั่วโมงถัดจากนั้นฟ้ามืดสนิทแล้วสองหน่อก็ได้เหยียบเมืองกรุงของแดนปลาดิบด้วยสองเท้าเป็นครั้งแรก มองหน้ากันแล้วก็ได้แต่สงสัยว่า “นี่วันแรกหมดแล้วเหรอ”
จับรถไฟเขียวสายวนเมือง Yamanote loop line ไปย่านที่จองโฮสเทลไว้คืออาซากุสะ จับแผนที่ที่เซฟเป็นรูปไว้ในมือถือเดินผ่านย่านตลาดและวัดอาซากุสะ แล้วก็ถึงโฮสเทลคืนละ 900 บาทไทยนามว่าซากุระโฮสเทล พร้อมกับแบตมือถือที่หมดลงพอดี
โชคดีจริงๆ ที่ถึงที่พักก่อนแล้วถึงหมด เดี๋ยวเอาของเก็บ ชาร์จแบตไว้เลยแล้วกัน...แบตชาร์จไม่เข้า! ยังไงก็ไม่ยอมเข้า ทั้งเปลี่ยนหัว เปลี่ยนสาย ใส่อแดปเตอร์ เหมือนมันแค่อยากลาโลกนี้ไปเฉยๆ
เฮ้ย...ไม่ได้โว้ย เอ็งจะมาทิ้งกันแบบนี้ไม่ได้ อีก 9 วันที่เหลือของพวกข้าถูกเซฟไว้กับเอ็งทั้งหมด แผนทั้งหมดจะพังตั้งแต่ไม่เริ่มไม่ได้โว้ยยยย
และนั่นคือจุดเริ่มต้นของ 9 วันผิดแผนแสนอลหม่านของไอ้เหน่อแดนตะวันตกและไข่นุ้ยแห่งแดนใต้...
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้