สวัสดีค่ะกระทู้นี้เราจะมาเล่าความประทับใจ
กับการที่ได้ไปสัมผัสการท่องเที่ยววิถีชุมชน
บ้านห้วยหญ้าเครือ อำเภอน้ำหนาว จังหวัดเพชรบูรณ์
ถ้าพูดถึงน้ำหนาว จังหวัดเพชรบูรณ์กันแล้ว
สำหรับบางคนอาจจะไม่ค่อยคุ้นหูสักเท่าไหร่
เพราะแต่ละคนพอได้ยินชื่อน้ำหนาว
ก็ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “น้ำหนาวคือที่ไหนไม่รู้จัก ”
บางคนที่รู้จักน้ำหนาวก็รู้แต่เพียงแต่อุทยานแห่งชาติน้ำหนาว
จะมีสักกี่คนที่ได้เดินทางมายังหมู่บ้านเล็กๆในตัวอำเภอน้ำหนาวกันบ้าง
เราก็จะพาทุกคนไปรู้จักกับหมู่บ้านห้วยหญ้าเครือ อำเภอน้ำหนาว จังหวัดเพชรบูรณ์กันค่ะ

การเดินทางเราเลือกเดินทางด้วยรถประจำทาง
โดยเรานั่งรถจากหมอชิตมาลงที่ห้วยสนามทราย
แล้วติดต่อทางผู้ใหญ่บ้านให้จัดหารถมารับเข้าหมู่บ้าน
รายละเอียดการเดินทาง และข้อมูลการติดต่อเราจะทิ้งไว้ท้ายสุดนะคะ
จุดแรกที่แวะระหว่างทางไปบ้านห้วยหญ้าเครือ
คือจุดชมวิวพระอาทิตย์ตก แต่เราไปถึงนั่นตอนเที่ยงกว่าๆ
ก็เลยมองไปแล้วจินตนาการเอาเองว่าถ้าพระอาทิตย์ตกจะสวยงามขนาดไหน

พอมาถึงบ้านห้วยหญ้าเครือ ก็เกือบบ่ายท้องก็ร้องจ๊อกๆ
เป็นสัญญาณว่าควรหาพลังงานมาเติม
ทางผู้ใหญ่ก็พาแวะร้านอาหารตามสั่ง
อาหารที่เลือกสั่งในมือนี้คือข้าวผัดพริกแกง ปลาหมึก/เนื้อ+ไข่ดาว
ถึงจะเป็นอาหารตามสั่งธรรมดาๆแต่รสชาติไม่ธรรมดา
สนนราคาจาจานล่ะ 45 บาท...

ในที่สุดเราก็มาถึงหมู่บ้านห้วยหญ้าเครือ
เราไปติดต่อกับทางผู้ใหญ่ก่อน เพื่อให้ทางผู้ใหญ่จัดหาที่พัก
และอำนวยความสะดวกให้ โดยคืนแรกเราตกลงกับทางผู้ใหญ่
ว่าจะขอกางเต็นท์บนภูฮี โดยทางผู้ใหญ่บ้าน และชาวบ้านห้วยหญ้าเครือ
ต่างก็อำนวยความสะดวกในการจัดหาที่กางเต็นท์
ดูแลความปลอดภัย และเรื่องอาหารการกินให้กับเราในคืนนี้
โดยภูฮีถือเป็นจุดชมสามภูซึ่งสามภูที่ว่า มีภูกระดึง ภูกระดึง ภูผาจิต
ซึ่งถ้าเรามองจากภูฮีก็จะเห็นสามภูนี้อยู่
เรียกว่าถูกความเขียวขจีของภูเขาโอบล้อม
พร้อมบรรยากาศอันหนาวเย็น แค่ได้มาสัมผัสก็รู้สึกว่าฟิน
จนอยากเก็บอากาศที่นี้กลับกรุงเทพไปด้วยเลยค่ะ

เราเดินเล่นบนภูฮี เก็บภาพไปสักพัก ก็ได้เวลาพระอาทิตย์จะลับขอบฟ้า
เราเลยไม่รอช้าคว้ากล้องที่คล้องคอขึ้นมารัวชัตเตอร์
เก็บความงามของแสงพระอาทิตย์ยามจะลับขอบฟ้า

แสงพระอาทิตย์จะยามลับขอบฟ้า แสงทองอร่ามทั่วทั้งท้องฟ้า

เมื่อถึงเวลาพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าก็ได้เวลาเย็น
ท้องก็ร้องจ๊อกๆเป็นสัญญาณให้รู้ว่า
ได้เวลาของอาหารเย็นเพื่อมาทดแทนพลังงานที่เสียไป
ทางผู้ใหญ่บ้านเลยเสนอให้เราไปทานอาหารเย็นที่บ้านผู้ใหญ่
แล้วจะพามาส่งที่ภูฮีใหม่อีกครั้งเพื่อพักผ่อน
ส่วนอาหารที่กินมื้อนี้ เป็นอาหารพื้นบ้านวัตถุดิบหาได้ในท้องถิ่น
แต่รสชาตินี้ต้องยกนิ้วให้ อาจจะเป็นเพราะที่วัตถุดิบของที่นี้สดกว่า
ปลูกท่ามกลางอากาศเย็น ไร้สารพิษเคมีใดๆ
อีกทั้งผ่านฝีมือการปรุงของแม่อ้าย ภรรยาผู้ใหญ่บ้านด้วยแล้ว
จึงทำให้ได้รสชาติอาหารกลมกล่อมกลิ่นหอมเย้ายวนชวนรับประทาน
ไม่อยาพูดเยอะเจ็บคอ ให้ภาพบรรยายค่ะ...

เมื่ออิ่มกายสบายท้องก็ได้เวลาขึ้นภูฮีกางเต็นท์นอนดูดาวกันแล้ว
ซึ่งชาวบ้านที่นี้ก็บอกว่าภูฮียามค่ำคืนนั่นเห็นดาวเป็นล้านดวง
ซึ่งเราได้ยินก็คิดในใจว่า โม้ไปแล้วภูก็ไม่ได้อยู่สูงมาก
จะไปเห็นดาวอะไรมากมายขนาดนั่น นั่นคือสิ่งที่เราคิดค่ะ
แต่ภาพความจริงคือ...

ที่เห็นเป็นดาวที่อยู่บนท้องฟ้าของภูฮีจริงๆน่ะคะ
ไร้การตัดต่อเสริมแต่งด้วยโฟโต้ชอป
มีการปรับแสงของภาพด้วยโปรแกรมเพียงเล็กน้อย
แต่ในภาพที่เห็นดาวชัดเจนเป็นเพราะเราถ่ายด้วยกล้อง DSLR
และขาตั้งกล้อง ประกอบด้วยคืนที่ถ่ายเป็นคืนเดือนมืด
เลยทำให้ได้ภาพแสงดาวระยิบระยับเต็มท้องฟ้าแบบนี้
แต่ถ้าเพื่อนคนไหนมาในคืนพระจันทร์เต็มดวง ก็ไม่ต้องเสียใจค่ะ
อาจจะเห็นได้พระจันทร์ดวงโตๆ ส่องแสงสว่างทั่วทั้งท้องฟ้า
สวยงามไปอีกแบบ...

ระหว่างที่เรากำลังเพลิดเพลินไปกับดวงดาวเต็มท้องฟ้า
ทางผู้ใหญ่บ้านและชาวบ้านห้วยน้ำเครือ
ก็รู้ว่าเราหิวเลยจัดแจงมื้อเสริมพิเศษมาให้เป็นข้าวหลาม และข้าวโพดปิ้ง
ที่เก็บมาสดๆจากไร่ และปิ้งย่างกันสดใหม่ตรงนี้เลยค่าาา
บอกได้คำเดียวว่ากลิ่นหอมชวนรับประทาน
หากเขียนบรรยายให้เพื่อนๆได้กลิ่นคงจะดีนะค่ะ อิอิ...

เมื่อกินอิ่มก็พูดคุยกันนิดหน่อยตามประสา จากนั่นก็แยกย้ายกันเข้านอนคะ
สำหรับเพื่อนสาวๆคนไหนเป็นสาวขาลุยชอบเที่ยวคนเดียว
เราก็บอกได้เลยน่ะคะว่าไม่ต้องกลัวอันตราย
เพราะทางผู้ใหญ่ก็ได้จัดทีมรักษาความปลอดภัย
และอำนวยความสะดวกมาให้ เรียกได้ว่าอุ่นใจหายห่วงแน่นอนค่ะ

เมื่อนอนเต็มอิ่มก็ได้เวลาตื่น เพื่อรับแสงแรกในยามเช้า
นอนที่นี้สบายมาก แต่จะมีปัญหานิดหน่อย
เพราะลมค่อนข้างแรงนิดนึงอาจจะได้ยินเสียงลมกระทบเต็นท์
แต่ก็ไม่ใช่ปัญหาค่ะด้วยอากาศที่เย็นสบาย ทำให้เรานอนหลับสนิทตลอดคืน
แต่ถ้าที่นี้เข้าฤดูหนาวเต็มตัว เราอยากแนะนำให้เพื่อนๆหาเครื่องนุ่งห่ม
ที่สามารถป้องกันอากาศหนาว เพราะว่าที่น้ำหนาว
จะมีอากาศหนาวเย็นเกือบตลอดทั้งปี
เราเลยไม่แปลกใจว่าทำไมที่นี้ถึงถูกเรียกว่าน้ำหนาว
เพราะอากาศหนาวสมชื่อจริงๆ...

จากนั่นเราก็เดินไปเก็บภาพนาข้าว ที่ชาวบ้านเก็บเกี่ยวเสร็จแล้ว
เลยทำให้ได้เห็นทุ่งนาหลังการเก็บเกี่ยว
สีเหลืองทองอร่ามงามตาปะทะกับแสงยามเช้า
ยิ่งทำให้ทุ่งนาสีเหลืองทองแห่งนี้สวยงาม
ไม่แพ้ทุ่งนาข้าวเขียวขจีกันเลยทีเดียว...

ขอถ่ายใกล้ๆ เพื่อให้เห็นเม็ดข้าวเรียงตัวสวย รับแสงแดดในยามเช้า

หลังจากเดินเก็บภาพชมความงามของแสงแรกกันแล้ว
สิ่งที่ทำต่อไปคือการรับประทานอาหารเช้าสิคะ
จะให้มีแรงก็ต้องเติมพลังงานกันหน่อย
สำหรับอาหารเช้าที่ทางผู้ใหญ่เตรียมให้มื้อนี้เป็นข้าวต้มหมู
ที่หน้าตาดูน่ารับประทาน แถมรสชาติไม่ธรรมดา
ข้าวนุ่มละมุนลิ้นมากกกกกกกกกก(ก.ล้านตัว)
อร่อยสุดๆไปเลยคะ...

เมื่อท้องอิ่ม ก็ต้องไปต่อ...
วันนี้เรามีโปรแกรมไปเที่ยวที่น้ำตกถ้ำค้างคาว
และชมลานหินโคกลาด ส่วนการเดินทางไปเที่ยว
แต่ละจุดนั่นทางผู้ใหญ่บ้าน และชาวบ้านก็มีพาหนะนำเที่ยว
ที่เข้ากับการท่องเที่ยววิถีชาวบ้าน นั่นก็คือรถอีแต๊กนั่นเอง
ซึ่งหากจะหาลองนั่งที่กรุงเทพคงไม่มี
หากใครอยากจะมาลองนั่งรถอีแต๊ก และท่องเที่ยววิถีชุมชน
ชมธรรมชาติ ก็อยากให้ลองมาที่หมู่บ้านห้วยหญ้าเครือแห่งนี้ดูค่ะ
รับรองได้ประสบการณ์แปลกใหม่และความประทับใจกลับไปแน่นอน...

สำหรับที่แรกที่เราแวะกันนั่นก็คือลานหินโคกลาด
ที่รวมเอาหมู่ไม้ดอกไม้ป่าเข้าไว้ด้วยกัน
ในตอนฤดูฝนที่นี้จะเป็นสีเขียวของมอสและสีแดงของดอกไม้
พอมองรวมกันจะดูชุ่มชื่นสวยงาม แต่ตอนนี้ไม่ใช่ฤดูฝนมอสเลยแห้ง
กลายเป็นสีน้ำตาลให้บรรยากาศอีกแบบ
ขณะที่เที่ยวชมหมู่ไม้พี่โชเฟอร์ และทางผู้ช่วยผู้ใหญ่
ก็ใจดีอธิบายว่าต้นไม้แต่ล่ะต้นนั่นชื่ออะไร มีประโยชน์อย่างไร
แต่เราจำไม่ได้ว่าต้นอะไรเป็นต้นอะไรบ้างเพราะเยอะจริงๆ
ถ้าใครที่ต้องการมาชม มาเรียนรู้ ชาวบ้านที่นี้ยินดี
ให้ความรู้เรื่องไม้พันธุ์ประจำท่องถิ่นกันอย่างแน่นอนค่ะ

จุดต่อไปที่เราจะไป อีกทั้งแวะรับประทานอาหารกลางวันกันนั่น
จุดนี้คือน้ำตกถ้ำค้างคาวค่ะ เรียกว่ากินข้าวไปนั่งดูน้ำตกไป
ฟินขนาดไหน ให้ภาพบรรยายความสวยงามของน้ำตกไปค่ะ

อีกมุมนึงของน้ำตก

ต่อไปก็เป็นชุดอาหารเที่ยงที่ทางชาวบ้านและผู้ใหญ่จัดเตรียมมาไว้ให้เรา
เป็นอาหารพื้นบ้าน ที่เห็นแกงในกระบอกไม้ไผ่มั้ยคะ
เขาต้มกันในกระบอกไม้ไผ่จริงๆน่ะคะ ชาวบ้านที่นี้เรียกว่า ”อ๊อกหลาม”
แล้วเห็นไข่เจียวที่ดูธรรมดาๆนั่นมั้ยคะ ขอบอกเลยว่ารสชาติไม่ธรรมดาจริงๆ
อยากให้ทุกคนลองมาสัมผัสด้วยตัวเองว่าอาหารที่นี้อร่อยขนาดไหน
แค่พูดถึงก็แล้วน้ำลายสอแล้วค่ะ

ขยี้ความน่าทานเข้าไปอีก...

ต่อไปก็ได้เวลากลับมาพักผ่อน
คืนนี้เรานอนที่บ้านนับดาว เป็นโฮมสเตย์บ้านผู้ใหญ่
ซึ่งที่นี้ก็เป็นบ้านผู้ใหญ่จริงๆ แต่แบ่งพื้นที่ให้เป็นโฮมสเตย์
บรรยากาศของที่นี้ก็จะอบอุ่นน่ารัก เป็นกันเอง ตามวิถีบ้านต่างจังหวัด
เปิดหน้าต่างมาเจอไอลมเย็นๆ และวิวภูเขา
เหมาะแก่การหลีกหนีความวุ่นวายในเมือง มาพักใจ พักกาย
เติมอากาศบริสุทธิ์เข้าปอดกันบ้าง...


ก่อนจะปิดท้ายเราขอแทรกและบรรยายถึงข้าวเหนียวพันธุ์พิเศษ
ที่มีที่นี้ที่เดียว ซึ่งเราได้ลองรับประทานแล้ว
เป็นข้าวเหนียวที่หอมนุ่ม รสชาติอร่อยมาก
นั่นคือข้าวพระยาลืมแกง ที่อร่อยกินแต่ข้าวจนลืมแกงกันเลยทีเดียว
หากใครแวะไปที่น้ำหนาวแล้วไม่ได้มาลิ้มลองข้าวพระยาลืมแกง
ถือว่ามาไม่ถึงกันเลยทีเดียว หากใครติดใจแล้วอยากซื้อกลับบ้านหรือไปฝากเพื่อน
แต่ลองสอบถามชาวบ้านกันดูน่ะคะ เราไม่ได้ค่าโปรโมทแต่อย่างใด
เพียงแต่เห็นว่าเป็นของดีแล้วต้องบอกต่อ
อีกทั้งยังหนึ่งสินค้าจากทางชาวบ้านห้วยหญ้าเครือค่ะ


สุดท้ายนี้ขอปิดท้ายทริปด้วยการแวะร้านกาแฟ วิวหลักล้าน
ชื่อร้าน Coffee View เมนูที่สั่งก็เป็นชาเขียวมัจฉะนม
ที่นุ่มหอมหวานรสชาติกลมกล่อมกำลังดี กาแฟและชาที่นี้ราคาประมาณ 40-60 บาท
แต่เมื่อแลกกับวิวระดับห้าดาว ถือว่าคุ้มค่ามากเลยค่ะ

หากใครสนใจจะเดินทางมาที่หมู่บ้านห้วยหญ้าเครือ อำเภอน้ำหนาวแห่งนี้
เราแนะนำให้ลองติดต่อสอบถามกับทางผู้ใหญ่บ้าน
เพื่อความสะดวกในการเดินทาง และข้อมูลที่ไม่ผิดผลาด
หากกระทู้นี้บกพร้องหรือผิดผลาดแต่ประการใด ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ
ข้อมูลการติดต่อ
เบอร์ผู้ใหญ่บ้าน 0988044868
เบอร์ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน(พี่อู๊ด) 0636633696
การเดินทางด้วยรถโดยสารประจำทางจากกรุงเทพฯ มาที่หมู้บานห้วยหญ้าเครือ
ให้ขึ้นรถโดยสารที่หมอชิต 2 ขึ้นรถทัวร์เส้นทาง กรุงเทพฯ-ชุมแพ
แล้วมาลงที่แยกห้วยสนามทราย(หากลงไม่ถูกให้บอกคนขับ หรือกระเป๋ารถ)
จากนั่นจะต่อรถสองแถวชุมแพหรือ จะต่อโดยสารให้ต่อรถข่อนแก่น-เชียงราย
มาลงที่บ้านผู้ใหญ่บ้าน หากใครจะนั่งรถสองแถวมาแนะนำให้มาถึงก่อนเที่ยง
เพราะหลังเที่ยงจะไม่มีรสองแถวเข้าหมู่บ้านแล้ว หรือทางที่สะดวกขึ้นมาหน่อย
ให้ติดต่อกับทางผู้ใหญ่บ้านเพื่อขอให้ทางผู้ใหญ่จัดหารถนำรถมารับ
[SR] นอนดูดาว สัมผัสไอหนาว กินข้าวพญาลืมแกง ยลแสงพระอาทิตย์ตก ณ น้ำหนาว เพชรบูรณ์ (ปีใหม่ไปไหนดี?)
กับการที่ได้ไปสัมผัสการท่องเที่ยววิถีชุมชน
บ้านห้วยหญ้าเครือ อำเภอน้ำหนาว จังหวัดเพชรบูรณ์
ถ้าพูดถึงน้ำหนาว จังหวัดเพชรบูรณ์กันแล้ว
สำหรับบางคนอาจจะไม่ค่อยคุ้นหูสักเท่าไหร่
เพราะแต่ละคนพอได้ยินชื่อน้ำหนาว
ก็ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “น้ำหนาวคือที่ไหนไม่รู้จัก ”
บางคนที่รู้จักน้ำหนาวก็รู้แต่เพียงแต่อุทยานแห่งชาติน้ำหนาว
จะมีสักกี่คนที่ได้เดินทางมายังหมู่บ้านเล็กๆในตัวอำเภอน้ำหนาวกันบ้าง
เราก็จะพาทุกคนไปรู้จักกับหมู่บ้านห้วยหญ้าเครือ อำเภอน้ำหนาว จังหวัดเพชรบูรณ์กันค่ะ
โดยเรานั่งรถจากหมอชิตมาลงที่ห้วยสนามทราย
แล้วติดต่อทางผู้ใหญ่บ้านให้จัดหารถมารับเข้าหมู่บ้าน
รายละเอียดการเดินทาง และข้อมูลการติดต่อเราจะทิ้งไว้ท้ายสุดนะคะ
จุดแรกที่แวะระหว่างทางไปบ้านห้วยหญ้าเครือ
คือจุดชมวิวพระอาทิตย์ตก แต่เราไปถึงนั่นตอนเที่ยงกว่าๆ
ก็เลยมองไปแล้วจินตนาการเอาเองว่าถ้าพระอาทิตย์ตกจะสวยงามขนาดไหน
เป็นสัญญาณว่าควรหาพลังงานมาเติม
ทางผู้ใหญ่ก็พาแวะร้านอาหารตามสั่ง
อาหารที่เลือกสั่งในมือนี้คือข้าวผัดพริกแกง ปลาหมึก/เนื้อ+ไข่ดาว
ถึงจะเป็นอาหารตามสั่งธรรมดาๆแต่รสชาติไม่ธรรมดา
สนนราคาจาจานล่ะ 45 บาท...
เราไปติดต่อกับทางผู้ใหญ่ก่อน เพื่อให้ทางผู้ใหญ่จัดหาที่พัก
และอำนวยความสะดวกให้ โดยคืนแรกเราตกลงกับทางผู้ใหญ่
ว่าจะขอกางเต็นท์บนภูฮี โดยทางผู้ใหญ่บ้าน และชาวบ้านห้วยหญ้าเครือ
ต่างก็อำนวยความสะดวกในการจัดหาที่กางเต็นท์
ดูแลความปลอดภัย และเรื่องอาหารการกินให้กับเราในคืนนี้
โดยภูฮีถือเป็นจุดชมสามภูซึ่งสามภูที่ว่า มีภูกระดึง ภูกระดึง ภูผาจิต
ซึ่งถ้าเรามองจากภูฮีก็จะเห็นสามภูนี้อยู่
เรียกว่าถูกความเขียวขจีของภูเขาโอบล้อม
พร้อมบรรยากาศอันหนาวเย็น แค่ได้มาสัมผัสก็รู้สึกว่าฟิน
จนอยากเก็บอากาศที่นี้กลับกรุงเทพไปด้วยเลยค่ะ
เราเลยไม่รอช้าคว้ากล้องที่คล้องคอขึ้นมารัวชัตเตอร์
เก็บความงามของแสงพระอาทิตย์ยามจะลับขอบฟ้า
ท้องก็ร้องจ๊อกๆเป็นสัญญาณให้รู้ว่า
ได้เวลาของอาหารเย็นเพื่อมาทดแทนพลังงานที่เสียไป
ทางผู้ใหญ่บ้านเลยเสนอให้เราไปทานอาหารเย็นที่บ้านผู้ใหญ่
แล้วจะพามาส่งที่ภูฮีใหม่อีกครั้งเพื่อพักผ่อน
ส่วนอาหารที่กินมื้อนี้ เป็นอาหารพื้นบ้านวัตถุดิบหาได้ในท้องถิ่น
แต่รสชาตินี้ต้องยกนิ้วให้ อาจจะเป็นเพราะที่วัตถุดิบของที่นี้สดกว่า
ปลูกท่ามกลางอากาศเย็น ไร้สารพิษเคมีใดๆ
อีกทั้งผ่านฝีมือการปรุงของแม่อ้าย ภรรยาผู้ใหญ่บ้านด้วยแล้ว
จึงทำให้ได้รสชาติอาหารกลมกล่อมกลิ่นหอมเย้ายวนชวนรับประทาน
ไม่อยาพูดเยอะเจ็บคอ ให้ภาพบรรยายค่ะ...
ซึ่งชาวบ้านที่นี้ก็บอกว่าภูฮียามค่ำคืนนั่นเห็นดาวเป็นล้านดวง
ซึ่งเราได้ยินก็คิดในใจว่า โม้ไปแล้วภูก็ไม่ได้อยู่สูงมาก
จะไปเห็นดาวอะไรมากมายขนาดนั่น นั่นคือสิ่งที่เราคิดค่ะ
แต่ภาพความจริงคือ...
ไร้การตัดต่อเสริมแต่งด้วยโฟโต้ชอป
มีการปรับแสงของภาพด้วยโปรแกรมเพียงเล็กน้อย
แต่ในภาพที่เห็นดาวชัดเจนเป็นเพราะเราถ่ายด้วยกล้อง DSLR
และขาตั้งกล้อง ประกอบด้วยคืนที่ถ่ายเป็นคืนเดือนมืด
เลยทำให้ได้ภาพแสงดาวระยิบระยับเต็มท้องฟ้าแบบนี้
แต่ถ้าเพื่อนคนไหนมาในคืนพระจันทร์เต็มดวง ก็ไม่ต้องเสียใจค่ะ
อาจจะเห็นได้พระจันทร์ดวงโตๆ ส่องแสงสว่างทั่วทั้งท้องฟ้า
สวยงามไปอีกแบบ...
ทางผู้ใหญ่บ้านและชาวบ้านห้วยน้ำเครือ
ก็รู้ว่าเราหิวเลยจัดแจงมื้อเสริมพิเศษมาให้เป็นข้าวหลาม และข้าวโพดปิ้ง
ที่เก็บมาสดๆจากไร่ และปิ้งย่างกันสดใหม่ตรงนี้เลยค่าาา
บอกได้คำเดียวว่ากลิ่นหอมชวนรับประทาน
หากเขียนบรรยายให้เพื่อนๆได้กลิ่นคงจะดีนะค่ะ อิอิ...
สำหรับเพื่อนสาวๆคนไหนเป็นสาวขาลุยชอบเที่ยวคนเดียว
เราก็บอกได้เลยน่ะคะว่าไม่ต้องกลัวอันตราย
เพราะทางผู้ใหญ่ก็ได้จัดทีมรักษาความปลอดภัย
และอำนวยความสะดวกมาให้ เรียกได้ว่าอุ่นใจหายห่วงแน่นอนค่ะ
นอนที่นี้สบายมาก แต่จะมีปัญหานิดหน่อย
เพราะลมค่อนข้างแรงนิดนึงอาจจะได้ยินเสียงลมกระทบเต็นท์
แต่ก็ไม่ใช่ปัญหาค่ะด้วยอากาศที่เย็นสบาย ทำให้เรานอนหลับสนิทตลอดคืน
แต่ถ้าที่นี้เข้าฤดูหนาวเต็มตัว เราอยากแนะนำให้เพื่อนๆหาเครื่องนุ่งห่ม
ที่สามารถป้องกันอากาศหนาว เพราะว่าที่น้ำหนาว
จะมีอากาศหนาวเย็นเกือบตลอดทั้งปี
เราเลยไม่แปลกใจว่าทำไมที่นี้ถึงถูกเรียกว่าน้ำหนาว
เพราะอากาศหนาวสมชื่อจริงๆ...
เลยทำให้ได้เห็นทุ่งนาหลังการเก็บเกี่ยว
สีเหลืองทองอร่ามงามตาปะทะกับแสงยามเช้า
ยิ่งทำให้ทุ่งนาสีเหลืองทองแห่งนี้สวยงาม
ไม่แพ้ทุ่งนาข้าวเขียวขจีกันเลยทีเดียว...
สิ่งที่ทำต่อไปคือการรับประทานอาหารเช้าสิคะ
จะให้มีแรงก็ต้องเติมพลังงานกันหน่อย
สำหรับอาหารเช้าที่ทางผู้ใหญ่เตรียมให้มื้อนี้เป็นข้าวต้มหมู
ที่หน้าตาดูน่ารับประทาน แถมรสชาติไม่ธรรมดา
ข้าวนุ่มละมุนลิ้นมากกกกกกกกกก(ก.ล้านตัว)
อร่อยสุดๆไปเลยคะ...
วันนี้เรามีโปรแกรมไปเที่ยวที่น้ำตกถ้ำค้างคาว
และชมลานหินโคกลาด ส่วนการเดินทางไปเที่ยว
แต่ละจุดนั่นทางผู้ใหญ่บ้าน และชาวบ้านก็มีพาหนะนำเที่ยว
ที่เข้ากับการท่องเที่ยววิถีชาวบ้าน นั่นก็คือรถอีแต๊กนั่นเอง
ซึ่งหากจะหาลองนั่งที่กรุงเทพคงไม่มี
หากใครอยากจะมาลองนั่งรถอีแต๊ก และท่องเที่ยววิถีชุมชน
ชมธรรมชาติ ก็อยากให้ลองมาที่หมู่บ้านห้วยหญ้าเครือแห่งนี้ดูค่ะ
รับรองได้ประสบการณ์แปลกใหม่และความประทับใจกลับไปแน่นอน...
ที่รวมเอาหมู่ไม้ดอกไม้ป่าเข้าไว้ด้วยกัน
ในตอนฤดูฝนที่นี้จะเป็นสีเขียวของมอสและสีแดงของดอกไม้
พอมองรวมกันจะดูชุ่มชื่นสวยงาม แต่ตอนนี้ไม่ใช่ฤดูฝนมอสเลยแห้ง
กลายเป็นสีน้ำตาลให้บรรยากาศอีกแบบ
ขณะที่เที่ยวชมหมู่ไม้พี่โชเฟอร์ และทางผู้ช่วยผู้ใหญ่
ก็ใจดีอธิบายว่าต้นไม้แต่ล่ะต้นนั่นชื่ออะไร มีประโยชน์อย่างไร
แต่เราจำไม่ได้ว่าต้นอะไรเป็นต้นอะไรบ้างเพราะเยอะจริงๆ
ถ้าใครที่ต้องการมาชม มาเรียนรู้ ชาวบ้านที่นี้ยินดี
ให้ความรู้เรื่องไม้พันธุ์ประจำท่องถิ่นกันอย่างแน่นอนค่ะ
จุดนี้คือน้ำตกถ้ำค้างคาวค่ะ เรียกว่ากินข้าวไปนั่งดูน้ำตกไป
ฟินขนาดไหน ให้ภาพบรรยายความสวยงามของน้ำตกไปค่ะ
เป็นอาหารพื้นบ้าน ที่เห็นแกงในกระบอกไม้ไผ่มั้ยคะ
เขาต้มกันในกระบอกไม้ไผ่จริงๆน่ะคะ ชาวบ้านที่นี้เรียกว่า ”อ๊อกหลาม”
แล้วเห็นไข่เจียวที่ดูธรรมดาๆนั่นมั้ยคะ ขอบอกเลยว่ารสชาติไม่ธรรมดาจริงๆ
อยากให้ทุกคนลองมาสัมผัสด้วยตัวเองว่าอาหารที่นี้อร่อยขนาดไหน
แค่พูดถึงก็แล้วน้ำลายสอแล้วค่ะ
คืนนี้เรานอนที่บ้านนับดาว เป็นโฮมสเตย์บ้านผู้ใหญ่
ซึ่งที่นี้ก็เป็นบ้านผู้ใหญ่จริงๆ แต่แบ่งพื้นที่ให้เป็นโฮมสเตย์
บรรยากาศของที่นี้ก็จะอบอุ่นน่ารัก เป็นกันเอง ตามวิถีบ้านต่างจังหวัด
เปิดหน้าต่างมาเจอไอลมเย็นๆ และวิวภูเขา
เหมาะแก่การหลีกหนีความวุ่นวายในเมือง มาพักใจ พักกาย
เติมอากาศบริสุทธิ์เข้าปอดกันบ้าง...
ที่มีที่นี้ที่เดียว ซึ่งเราได้ลองรับประทานแล้ว
เป็นข้าวเหนียวที่หอมนุ่ม รสชาติอร่อยมาก
นั่นคือข้าวพระยาลืมแกง ที่อร่อยกินแต่ข้าวจนลืมแกงกันเลยทีเดียว
หากใครแวะไปที่น้ำหนาวแล้วไม่ได้มาลิ้มลองข้าวพระยาลืมแกง
ถือว่ามาไม่ถึงกันเลยทีเดียว หากใครติดใจแล้วอยากซื้อกลับบ้านหรือไปฝากเพื่อน
แต่ลองสอบถามชาวบ้านกันดูน่ะคะ เราไม่ได้ค่าโปรโมทแต่อย่างใด
เพียงแต่เห็นว่าเป็นของดีแล้วต้องบอกต่อ
อีกทั้งยังหนึ่งสินค้าจากทางชาวบ้านห้วยหญ้าเครือค่ะ
ชื่อร้าน Coffee View เมนูที่สั่งก็เป็นชาเขียวมัจฉะนม
ที่นุ่มหอมหวานรสชาติกลมกล่อมกำลังดี กาแฟและชาที่นี้ราคาประมาณ 40-60 บาท
แต่เมื่อแลกกับวิวระดับห้าดาว ถือว่าคุ้มค่ามากเลยค่ะ
เราแนะนำให้ลองติดต่อสอบถามกับทางผู้ใหญ่บ้าน
เพื่อความสะดวกในการเดินทาง และข้อมูลที่ไม่ผิดผลาด
หากกระทู้นี้บกพร้องหรือผิดผลาดแต่ประการใด ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ
ข้อมูลการติดต่อ
เบอร์ผู้ใหญ่บ้าน 0988044868
เบอร์ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน(พี่อู๊ด) 0636633696
การเดินทางด้วยรถโดยสารประจำทางจากกรุงเทพฯ มาที่หมู้บานห้วยหญ้าเครือ
ให้ขึ้นรถโดยสารที่หมอชิต 2 ขึ้นรถทัวร์เส้นทาง กรุงเทพฯ-ชุมแพ
แล้วมาลงที่แยกห้วยสนามทราย(หากลงไม่ถูกให้บอกคนขับ หรือกระเป๋ารถ)
จากนั่นจะต่อรถสองแถวชุมแพหรือ จะต่อโดยสารให้ต่อรถข่อนแก่น-เชียงราย
มาลงที่บ้านผู้ใหญ่บ้าน หากใครจะนั่งรถสองแถวมาแนะนำให้มาถึงก่อนเที่ยง
เพราะหลังเที่ยงจะไม่มีรสองแถวเข้าหมู่บ้านแล้ว หรือทางที่สะดวกขึ้นมาหน่อย
ให้ติดต่อกับทางผู้ใหญ่บ้านเพื่อขอให้ทางผู้ใหญ่จัดหารถนำรถมารับ
SR - Sponsored Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ SR โดยที่เจ้าของกระทู้
ข้อมูลเพิ่มเติม