. มีอยู่ครั่งหนึ่งผมเดินอุ้มลูกวัยขวบเศษ ลูกชายก็เล่นตามประสาเด็กชี้มือชี้ไม้ไปนู่นมานี่ตามปกติ บังเอิญว่ามือของลูกชายยกขึ้นมาปัดโดนแว่นสายตาของผมตกลงพื้น และแว่นนั้นเป็นแว่นที่เพิ่งจะตัดเลนมาใหม่ ยังไม่มีรอยขีดข่วนใด ๆ ผมวางลูกลงกับพื้นและรีบหยิบแว่นขึ้นมาเพื่อตรวจดูความเสียหาย แม้นั่นจะไม่มีรอยขูดขีดใด ๆ แต่ผมก็รู้สึกโมโหมากจึงฟาดขาลูกชายไปหลายที จนกระทั่งแม่เด็กต้องมารีบอุ้มเด็กไป หลังจากที่ผมเริ่มหายโมโห ผมจึงเดินไปขออุ้มลูกชายที่กำลังร้องไห้ฟูมฟาย ลูกชายของผมรีบโผเข้ามาในอ้อมกอดของผมทันที
ยังมีอีกหลายครั้งที่เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เกิดขึ้นจากเด็กชายตัวเล็กทียังไม่รู้ประสีประสาอะไร ลูกชายคนเดิมวัยสองขวบแล้วไปหยิบหลอดยาสีฟันจากในลิ้นชักเก็บของมาบีบเล่น และแน่นอนว่าอารมณ์โมโหของผมก็พรุ่งปรี๊ดขึ้นมาอีก ก็ลงไม้ลงมือไปตามระเบียบ และสุดท้ายเมื่อหายโมโหผมก็อ้าแขนรอให้ลูกชายเข้ามาสวมกอด และเขาก็มาร้องให้ในอ้อมแขนผม และห่างกันไม่นานอีก เด็กไปเอาตลับไหมขัดฟันมาดึงไหมเล่น ผมก็ทำแบบเดิมโดยที่ไม่คิดอะไรอีก
ทั้งแฟนผมและแม่ของผมก็มักจะพูดว่าจะตีเด็กทำไม เด็กยังไม่รู้เรื่องอะไรเลย ผมได้ฟังดังนั้นก็ไม่ได้เถียงอะไร ได้แต่คิดในใจว่าให้ท้ายกันดีนักนะ ตอนแรกก็ยังมั่นใจว่าเราทำถูกต้อง ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร จนกระทั่งผมได้เริ่มอ่านบทความเกี่ยวกับเรื่องนี้ นักจิตวิทยาเด็กก็ให้ความเห็นไว้ว่า เด็กยังไม่รู้หรอกว่าอะไรคือผิด อะไรคือถูก ความถูกผิดก็เป็นมายาคติอย่างหนึ่งที่เราปรุงแต่งขึ้นมา มันเป็นจิตสำนึกร่วมกันของคนในสังคมที่ต้องค่อย ๆ เรียนรู้จนนำไปสู่การปฏิบัติ แล้วเด็กตัวเล็ก ๆ ที่ยังไม่ได้บ่มเพาะอะไรเลยจะไปสามารถตัดสินใจที่จะทำหรือไม่ทำอะไรได้อย่างไรกัน
ผมเริ่มคิดทบทวนย้อนหลังกลับไปว่า 'ลูกผมผิดอะไร' การลงโทษเด็กนั้นมันจะเป็นการป้องปรามเด็กไม่ให้ทำแบบนั้นซ้ำได้อย่างไร ในเมื่อเขาเองก็ยังไม่รู้ตัวว่าทำอะไรลงไป หลังจากคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้หลายครั้งแล้ว ผมก็ไม่เคยทำโทษลูกชายวัย 3 ขวบของผมอีกเลย ไม่แม้แต่จะดุด่าว่ากล่าวใด ๆ เพราะคิดว่าคงไม่มีประโยชน์แน่นอน นักจิตวิทยาเด็กแนะนำไว้ว่าให้ใช้การพูดคุยกันมากกว่า แม้เราคิดว่าเด็กอาจจะยังไม่รู้เรื่องก็ตาม
เหนือสิ่งอื่นใดก็ตามหลังจากที่ผมได้ศึกษาเกี่ยวกับจิตวิทยาเด็ก เรื่องความไว้เนื้อเชื่อใจเป็นสิ่งสำคัญมาก มันเป็นเหมือนกับความสัมพันธ์ระดับจิตใต้สำนึกที่มีได้ครั้งเดียว และถ้ามันถูกทำลายไปแล้วเราจะไม่สามารถนำมันกลับมาได้อีกต่อไป ที่ผมพูดแบบนี่เพราะผมมีประสบการณ์ตรงเกี่ยวกับเรื่องนี้ ผมต้องขออนุญาตเล่าย้อนไปในสมัยพ่อของผมเอง พ่อของผมนั้นความจริงแล้วท่านเป็นคนที่มีอิทธิพลต่อชีวิตผมมากที่สุด ได้รับการสนับสนุนหลายเรื่องจากท่าน เวลาผมมีปัญหาอะไรพ่อของผมก็จะรีบหาทางช่วยเหลือโดยทันที อะไรที่พ่อคิดว่าดีก็จะให้ผมทำ อะไรที่ดูท่าทางไปไม่รอดก็จะขัด
นั่นดูเหมือนจะไม่น่ามีปัญหาอะไรใช่ไหมครับ แต่ความจริงแล้วมันเป็นปัญหาที่ผมในวัยเด็กก็คิดไปเองว่ามันเป็นปัญหา ในหลาย ๆ เรื่องที่เป็นสิ่งไม่ถูกต้องหรือไม่ควร พ่อมักจะใช้วิธีการดุด่าว่ากล่าวอย่างรุนแรง จนบางทีนั่นเหมือนกับว่านี่คือการลงโทษหรืออย่างไร ตัวอย่างเช่นผมนอนดูทีวีโดยไม่เปิดไฟในห้อง เมื่อพ่อผมเห็นก็จะด่าชุดใหญ่และนานมากเหมือนว่าผมทำผิดอะไรร้ายแรง
หรืออย่างเรื่องการศึกษาเหมือนกัน ผมมีความใฝ่ฝันอยากเรียนมหาลัยในสายที่ตัวเองอยากเรียน แต่พ่อไม่อยากให้เรียนเพราะที่บ้านมีกิจการ อยากให้มาดูแลตรงนี้มากกว่า แต่ด้วยความที่ผมอยากเห็นโลกกว้าง อยากไปอยู่ในสายงาน ก็พยายามไปสอบเรียนได้และได้ทำงานในสายงานนั้น แม้ว่าสิ่งที่พ่อผมคิดไว้จะถูกทั้งหมด สุดท้ายผมก็ไม่ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน ต้องกลับมาดูแลที่บ้านอยู่ดี แต่ความรู้สึกของเราในวัยเด็กนั้นก็คืออยากไปทำตามฝัน อยากไปทำอะไรของตัวเอง และพ่อของผมก็ขัดมันไว้ด้วยเหตุผลของตัวท่านเองท่านเอง จนตอนนั้นผมต้องดิ้นรนออกมาให้ได้
หลังออกจากงานกลับมาอยู่บ้าน มีเพื่อนสมัยเรียนของผมมาชักชวนให้ทำแปลงผักลอยน้ำ โดยต้องลงทุนซื้อแผงเหล็กหลายพันบาท ผมก็คิดว่าน่าจะดีจึงไปบอกพ่อว่าจะทำ โดยผมแอบลงเลินไปจำนวนหนึ่งแล้วด้วย เมื่อพ่อได้ลองฟังขั้นตอนและแผนธุรกิจพ่อก็ไม่เห็นด้วยและจะไม่ให้ทำ มีการดุด่าว่ากล่าวต่าง ๆ นานา ลามไปถึงเพื่อนที่มาชวนลงทุนอย่างนู้นอย่างนี้จนผมรู้สึกโกรธแทนเพื่อนและไม่พอใจที่ความมั่นใจของผมถูกทำลายอีกครั้ง แม้ตอนหลังจากนั้นผมจะได้ค้นพบว่าสิ่งที่พ่อของผมพูดนั้นถูกหมดก็ตาม
โดยนิสัยของพ่อผมนั้นจะพูดตรง ๆ ใช่ก็คือใช่ ไม่ใช่ยังไงก็คือไม่ใช่และก็ไม่ได้แน่นอน หลาย ๆ ครั้งทำให้ผมคิดไปว่าตัวเองไม่มีสิทธิ์ได้คิดอะไรหากว่ายังมีพ่อเป็นพาร์ทเนอร์อยู่ และโดยจิตใต้สำนึกของผมเองในตอนนั้นก็พยายามผลักดันตัวเองให้ออกห่างจากตัวพ่อของผม แต่เรื่องนั้นไม่ใช่ประเด็นที่ผมจะพูดถึงหรอก แต่สิ่งที่ผมคิดทบทวนย้อนกลับไปนั้นคือเรื่องความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างผมกับลูกชายต่างหากล่ะ
ผมจำความรู้สึกของตัวเองได้เมื่อครั้งที่ลงมือตีลูกอย่างรุนแรง ลูกผมร้องไห้ฟูมฟายแม้จะมากมายเพียงใด แต่เมื่อผมหายโกรธและอ้าแขนรับให้ลูกชายเข้ามากอด เจ้าตัวน้อยโผเข้ามาซุกตัวในอ้อมแขนผมทันที ผมสะเทือนใจเป็นอย่างมากพลันคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าวันหนึ่งผมตีเขาอย่างรุนแรงอีกครั้งแล้วอ้าแขนรอให้ลูกเข้ามากอด แต่ว่าเขาไม่เข้ามากอดผมเหมือนเคย นั่นอาจจะเป็นความไว้เนื้อเชื่อใจที่มีต่อผมหมดลงไป หรือว่าเด็กเริ่มโตขึ้นจนมีจิตสำนึกเป็นของตัวเองแล้ว ผมกลัวเหลือเกินว่าเหตุการณ์นั้นจะเกิดขึ้นในวันใดวันหนึ่ง และนี่คือสาเหตุที่ผมเลิกทำโทษลูกทันที ไม่เคยตีลูกอีกเลยแม้เพียงสักครั้งเดียว ไม่แม้แต่จะดุด่าว่ากล่าวลูกชายในวัยแค่ 3 ขวบกว่า
----------------
ขอ tag หลายห้องหน่อยนะครับ เพราะมีเนื้อหาเกี่ยวข้องหลายห้อง
บันทึกพ่อลูกอ่อน ตอนทำโทษ
ยังมีอีกหลายครั้งที่เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เกิดขึ้นจากเด็กชายตัวเล็กทียังไม่รู้ประสีประสาอะไร ลูกชายคนเดิมวัยสองขวบแล้วไปหยิบหลอดยาสีฟันจากในลิ้นชักเก็บของมาบีบเล่น และแน่นอนว่าอารมณ์โมโหของผมก็พรุ่งปรี๊ดขึ้นมาอีก ก็ลงไม้ลงมือไปตามระเบียบ และสุดท้ายเมื่อหายโมโหผมก็อ้าแขนรอให้ลูกชายเข้ามาสวมกอด และเขาก็มาร้องให้ในอ้อมแขนผม และห่างกันไม่นานอีก เด็กไปเอาตลับไหมขัดฟันมาดึงไหมเล่น ผมก็ทำแบบเดิมโดยที่ไม่คิดอะไรอีก
ทั้งแฟนผมและแม่ของผมก็มักจะพูดว่าจะตีเด็กทำไม เด็กยังไม่รู้เรื่องอะไรเลย ผมได้ฟังดังนั้นก็ไม่ได้เถียงอะไร ได้แต่คิดในใจว่าให้ท้ายกันดีนักนะ ตอนแรกก็ยังมั่นใจว่าเราทำถูกต้อง ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร จนกระทั่งผมได้เริ่มอ่านบทความเกี่ยวกับเรื่องนี้ นักจิตวิทยาเด็กก็ให้ความเห็นไว้ว่า เด็กยังไม่รู้หรอกว่าอะไรคือผิด อะไรคือถูก ความถูกผิดก็เป็นมายาคติอย่างหนึ่งที่เราปรุงแต่งขึ้นมา มันเป็นจิตสำนึกร่วมกันของคนในสังคมที่ต้องค่อย ๆ เรียนรู้จนนำไปสู่การปฏิบัติ แล้วเด็กตัวเล็ก ๆ ที่ยังไม่ได้บ่มเพาะอะไรเลยจะไปสามารถตัดสินใจที่จะทำหรือไม่ทำอะไรได้อย่างไรกัน
ผมเริ่มคิดทบทวนย้อนหลังกลับไปว่า 'ลูกผมผิดอะไร' การลงโทษเด็กนั้นมันจะเป็นการป้องปรามเด็กไม่ให้ทำแบบนั้นซ้ำได้อย่างไร ในเมื่อเขาเองก็ยังไม่รู้ตัวว่าทำอะไรลงไป หลังจากคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้หลายครั้งแล้ว ผมก็ไม่เคยทำโทษลูกชายวัย 3 ขวบของผมอีกเลย ไม่แม้แต่จะดุด่าว่ากล่าวใด ๆ เพราะคิดว่าคงไม่มีประโยชน์แน่นอน นักจิตวิทยาเด็กแนะนำไว้ว่าให้ใช้การพูดคุยกันมากกว่า แม้เราคิดว่าเด็กอาจจะยังไม่รู้เรื่องก็ตาม
เหนือสิ่งอื่นใดก็ตามหลังจากที่ผมได้ศึกษาเกี่ยวกับจิตวิทยาเด็ก เรื่องความไว้เนื้อเชื่อใจเป็นสิ่งสำคัญมาก มันเป็นเหมือนกับความสัมพันธ์ระดับจิตใต้สำนึกที่มีได้ครั้งเดียว และถ้ามันถูกทำลายไปแล้วเราจะไม่สามารถนำมันกลับมาได้อีกต่อไป ที่ผมพูดแบบนี่เพราะผมมีประสบการณ์ตรงเกี่ยวกับเรื่องนี้ ผมต้องขออนุญาตเล่าย้อนไปในสมัยพ่อของผมเอง พ่อของผมนั้นความจริงแล้วท่านเป็นคนที่มีอิทธิพลต่อชีวิตผมมากที่สุด ได้รับการสนับสนุนหลายเรื่องจากท่าน เวลาผมมีปัญหาอะไรพ่อของผมก็จะรีบหาทางช่วยเหลือโดยทันที อะไรที่พ่อคิดว่าดีก็จะให้ผมทำ อะไรที่ดูท่าทางไปไม่รอดก็จะขัด
นั่นดูเหมือนจะไม่น่ามีปัญหาอะไรใช่ไหมครับ แต่ความจริงแล้วมันเป็นปัญหาที่ผมในวัยเด็กก็คิดไปเองว่ามันเป็นปัญหา ในหลาย ๆ เรื่องที่เป็นสิ่งไม่ถูกต้องหรือไม่ควร พ่อมักจะใช้วิธีการดุด่าว่ากล่าวอย่างรุนแรง จนบางทีนั่นเหมือนกับว่านี่คือการลงโทษหรืออย่างไร ตัวอย่างเช่นผมนอนดูทีวีโดยไม่เปิดไฟในห้อง เมื่อพ่อผมเห็นก็จะด่าชุดใหญ่และนานมากเหมือนว่าผมทำผิดอะไรร้ายแรง
หรืออย่างเรื่องการศึกษาเหมือนกัน ผมมีความใฝ่ฝันอยากเรียนมหาลัยในสายที่ตัวเองอยากเรียน แต่พ่อไม่อยากให้เรียนเพราะที่บ้านมีกิจการ อยากให้มาดูแลตรงนี้มากกว่า แต่ด้วยความที่ผมอยากเห็นโลกกว้าง อยากไปอยู่ในสายงาน ก็พยายามไปสอบเรียนได้และได้ทำงานในสายงานนั้น แม้ว่าสิ่งที่พ่อผมคิดไว้จะถูกทั้งหมด สุดท้ายผมก็ไม่ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน ต้องกลับมาดูแลที่บ้านอยู่ดี แต่ความรู้สึกของเราในวัยเด็กนั้นก็คืออยากไปทำตามฝัน อยากไปทำอะไรของตัวเอง และพ่อของผมก็ขัดมันไว้ด้วยเหตุผลของตัวท่านเองท่านเอง จนตอนนั้นผมต้องดิ้นรนออกมาให้ได้
หลังออกจากงานกลับมาอยู่บ้าน มีเพื่อนสมัยเรียนของผมมาชักชวนให้ทำแปลงผักลอยน้ำ โดยต้องลงทุนซื้อแผงเหล็กหลายพันบาท ผมก็คิดว่าน่าจะดีจึงไปบอกพ่อว่าจะทำ โดยผมแอบลงเลินไปจำนวนหนึ่งแล้วด้วย เมื่อพ่อได้ลองฟังขั้นตอนและแผนธุรกิจพ่อก็ไม่เห็นด้วยและจะไม่ให้ทำ มีการดุด่าว่ากล่าวต่าง ๆ นานา ลามไปถึงเพื่อนที่มาชวนลงทุนอย่างนู้นอย่างนี้จนผมรู้สึกโกรธแทนเพื่อนและไม่พอใจที่ความมั่นใจของผมถูกทำลายอีกครั้ง แม้ตอนหลังจากนั้นผมจะได้ค้นพบว่าสิ่งที่พ่อของผมพูดนั้นถูกหมดก็ตาม
โดยนิสัยของพ่อผมนั้นจะพูดตรง ๆ ใช่ก็คือใช่ ไม่ใช่ยังไงก็คือไม่ใช่และก็ไม่ได้แน่นอน หลาย ๆ ครั้งทำให้ผมคิดไปว่าตัวเองไม่มีสิทธิ์ได้คิดอะไรหากว่ายังมีพ่อเป็นพาร์ทเนอร์อยู่ และโดยจิตใต้สำนึกของผมเองในตอนนั้นก็พยายามผลักดันตัวเองให้ออกห่างจากตัวพ่อของผม แต่เรื่องนั้นไม่ใช่ประเด็นที่ผมจะพูดถึงหรอก แต่สิ่งที่ผมคิดทบทวนย้อนกลับไปนั้นคือเรื่องความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างผมกับลูกชายต่างหากล่ะ
ผมจำความรู้สึกของตัวเองได้เมื่อครั้งที่ลงมือตีลูกอย่างรุนแรง ลูกผมร้องไห้ฟูมฟายแม้จะมากมายเพียงใด แต่เมื่อผมหายโกรธและอ้าแขนรับให้ลูกชายเข้ามากอด เจ้าตัวน้อยโผเข้ามาซุกตัวในอ้อมแขนผมทันที ผมสะเทือนใจเป็นอย่างมากพลันคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าวันหนึ่งผมตีเขาอย่างรุนแรงอีกครั้งแล้วอ้าแขนรอให้ลูกเข้ามากอด แต่ว่าเขาไม่เข้ามากอดผมเหมือนเคย นั่นอาจจะเป็นความไว้เนื้อเชื่อใจที่มีต่อผมหมดลงไป หรือว่าเด็กเริ่มโตขึ้นจนมีจิตสำนึกเป็นของตัวเองแล้ว ผมกลัวเหลือเกินว่าเหตุการณ์นั้นจะเกิดขึ้นในวันใดวันหนึ่ง และนี่คือสาเหตุที่ผมเลิกทำโทษลูกทันที ไม่เคยตีลูกอีกเลยแม้เพียงสักครั้งเดียว ไม่แม้แต่จะดุด่าว่ากล่าวลูกชายในวัยแค่ 3 ขวบกว่า
----------------
ขอ tag หลายห้องหน่อยนะครับ เพราะมีเนื้อหาเกี่ยวข้องหลายห้อง