สวัสดีคะ วันนี้อยากมาพูดถึงเรื่องการศึกษาที่ประเทศนิวซีแลนด์ คิดว่าหลายๆคนอาจมีแผนที่จะไปเรียนต่อต่างประเทศและนิวซีแลนด์ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งของเด็กไทยจำนวนไม่น้อยเพราะเป็นประเทศเล็กๆ ปลอดภัยและสำเนียงฟังง่าย
เราก็เป็นหนึ่งในเด็กไทยที่ไปเรียนที่ Wellington NewZealand โดยเริ่มต้นด้วย 0 หมายความว่าไม่รู้อะไรเกี่ยวกับนิวซีแลนด์เลยสักนิด พอลองไปหาข้อมูลก็ไม่ค่อยมีคนพูดถึงระบบการศึกษานิวซีแลนด์แบบเจอะลึกและพูดถึงประสบการณ์ที่เคยเรียนมาโดยตรงมากเท่าไร (หรืออาจจะมีคนเคยทำกระทู้แบบนี้แล้ว แต่ช่วง 3 ปีที่แล้วที่หาข้อมูล หาไม่เจอจริงๆคะ) ตอนไปเลยแบบงงมาก สำหรับเรากับครั้งแรกที่ไปถึง ระบบ ncea คือสิ่งที่เข้าใจยากมาก คือสับสนกว่าระบบอื่นที่เคยเจอมา (ประสบการณ์น้อย อย่าว่ากันนะ555)
เราไม่ใช่คนที่รู้เรื่องอะไรมากเท่าไร ข้อมูลที่มีก็แค่มาจากสิ่งที่เจอมาล้วนๆ แต่ที่มาเขียนกระทู้นี้เพราะเชื่อว่าหลายๆคนที่วางแผนจะไปก็คงสงสัยเหมือนกัน อย่างน้อยก็อยากช่วยให้เข้าใจกับระบบ ncea มากขึ้น โดยเฉพาะสำหรับคนที่กำลังจะไปเรียนก็หวังว่าจะได้คลายกังวลเกี่ยวกับสิ่งที่ต้องเจอ เราคงไม่ได้เจอะลึกมากทุกรายระเอียด เอาเป็นว่าจะมาเล่าแบบคล้าวๆให้เข้าใจง่ายๆก่อน (หวังว่าจะไม่ทำให้งงกว่าเดิม...)
***************************************************************************************************************************
ระบบ NCEA คือหลักสูครการเรียนการสอนของนักเรียนมัธยม ซึ่งต้องใช้ยื่นไม่ไปศึกษาต่อที่ประเทศอื่นๆหรือมหาลัย โดยแบ่งเป็น 3 ระดับคือ level 1, level 2 และ level 3 โดยจะเริ่มตั้งแต่ year 11 และจบที year 13 คล้ายๆกับ ม.ปลาย ของประเทศไทยนั่นเอง
วิชาเลือก
วิชาเลือกในแต่ละyear นักเรียนสามารถเลือกเองได้ตามที่อยากเรียนและสามารถผสมระหว่างศิลและวิทได้เลย โดยนักเรียนสามารถเลือกวิชาที่จะเรียนได้ตามจำนวนที่โรงเรียนจำกัดไว้ให้ และรวมถึงต้องลงวิชาหลักด้วย เช่นของโรงเรียนเรา year 11 วิชาหลักคือ English, Math, Science, Health และ PE (เป็นวิชาที่ทุกคนต้องลง) ส่วนวิชาเลือกก็จะเป็น Art, Dance, Food and Nutrition, Chinese etc. คืออันนี้ก็ขึ้นอยู่กับแต่ละโรงเรียนด้วยว่าเราต้องเลือกวิชาเลือกกี่วิชาและหลักกี่วิชา บางโรงเรียนนักเรียนอินเตอร์ไม่จำเป็นต้องเรียนภาษาอังกฤษแต่จะเป็น Esol แทน (ห้องเรียนภาษาอังกฤษสำหรับเด็กอินเตอร์โดยเฉพาะ) หรือบางโรงเรียนอาจให้ Esol เป็นวิชาเลือก นักเรียนก็สามารถเรียนควบ English กับ Esol ได้
ตัวอย่างในการเลือกวิชาของโรงเรียนเรา
Level 1 (year 11) เลือกเองได้ 4วิชา
Level 2 (year 12) เลือกเองได้ 6วิชา
Level 3 (year 13) ไม่มีวิชาบังคับ
***บางรร.อาจจะเป็น 4,5,5 แต่ที่เหมือนกันคือ ยิ่ง level สูงขึ้น ยิ่งเลือกวิชาได้มากขึ้น และ จำนวนวิชาบังคับน้อยลง
คงมีหลายคนคงตั้งคำถามว่า การเรียนการสอนที่นิวซีแลนด์มันง่ายกว่าที่ไทย ถ้าเรียนเนื้อหาที่สูงกว่า level นั้นมาจากที่ไทยแล้วทำอย่างไรดี?
เรื่องนี้สามารถแก้ปัญหาได้ง่ายมากคะ นร.สามารถไปคุยกับทางโรงเรียนเรื่องนี้ได้คะ โดยนร.สามารถไปเรียนร่วมกับ level ที่สูงกว่าได้ในวิชาที่ต้องการ เช่น ถ้านร.เรียนอยู่ level1 ncea (year 11) แต่เนื้อหาวิชาบางวิชาเช่น คณิตศาสตร์ เคยเรียนมาจากที่ไทยแล้ว ถ้าคิดว่าภาษาไม่น่ามีปัญหาก็ขอทางรร.ไปเรียน level ที่สูงขึ้น ซึ่งต้องเรียนกับรุ่นพี่ year ที่สูงกว่านั่นเอง ไม่ต้องตกใจนะคะ เพราะมีเด็กไม่น้อยเหมือนกันที่ทำแบบนี้ เด็กนิวซีแลนด์เองก็ทำคะ แต่อาจเป็นวิชาพวก อังกฤษ อะไรแบบนี้ ส่วนเรื่องการให้คะแนนเดี๋ยวไปคุยต่อในหัวข้อ การนับ credit ของ ncea ละกันเนอะ
ข้อฝากอีกเรื่องนึงคะ บางคนที่คิดว่านิวซีแลนด์เรียนง่าย จริงๆแล้วมันก็ไม่ได้ง่ายอย่างที่เราคิดอย่างงั้นนะคะ จริงอยู่ว่าอาจจะง่ายกว่าหลักสูตรของประเทศอื่น แต่ความยากมันจะเพิ่มขึ้นคะ โดยเฉพาะเมื่อขึ้น year 12 และ 13
สำหรับรร.ไทยแล้วเนี่ย มันก็จะยากตั้งแต่เนิ่นๆ แต่ของที่นี้ เนื้อหามันเพิ่มขึ้นช่วงสองปีสุดท้ายก่อนจบ คือระดับมันจะกระโดดจากง่ายมากเป็นยากขึ้นเยอะ และที่สำคัญคือ ถ้าไม่ได้อยู่ในตัวเมืองจริงๆ หาที่ติวยากนะคะ นักเรียนต้องเรียนด้วยตัวเองเป็นส่วนใหญ่ นักเรียนที่ย้ายมาเรียนต่อที่นี่ช่วงประถม หรือ ม.ต้น ก็คงหนักนิดนึง แต่ถ้าเป็นคนเก่งทางด้านสายวิทอยู่แล้วก็คงสบายหน่อยคะ
ส่วนด้านศิลปะจะงานเยอะมาก ของรร.เราก็อดหลับอดนอนช่วงก่อนส่งงาน อาจจะเป็นเพราะเราเลือก วิทสามตัว (ฟิสิกส์ เคมี ชีวะ) และ Art ด้วย งานเลยเยอะมากๆ ขอแนะนำว่าถ้าขึ้น Level 2 แล้ว ไม่ควรเลือกวิททั้งหมดสามตัว และ เรียนศิลไปด้วย เพราะงานเยอะมากคะ
เสริมนิดนึง
ตารางเวลาเรียนที่นี่จะชิวๆคะ โรงเรียนส่วนใหญ่จะมี 6 คาบ ส่วนเวลาเรียนและชั่วโมงในแต่ละวิชาก็จะแตกต่างกันออกไป เช่น รร. เรา
Study spell ที่เห็นเยอะๆคือเรา Drop วิชาชีวะไป 1 ตัวเพราะเรียนไม่ไหว (เป็นเด็กศิลที่อยากเรียนวิท) วิชาที่ drop ไป โรงเรียนเราจะให้คาบนั้นเป็น Study คือไปนั่งห้องสมุดแล้วทำงาน สำหรับเราใช้เป็นคาบตามงานและสะสางงานของวิชาอื่นๆ ใครที่เรียนไม่ไหวแล้วคิดจะ drop ต้องดูด้วยนะคะว่าคะแนนของวิชาที่เหลือนั้นมีมากพอที่จะผ่าน level ที่เราเรียนอยู่รึเปล่า ถ้าเรียนได้ พยายามต่อไปจนเรียนจบดีกว่าคะ
การสอบ
การสอบของระบบ ncea แบ่งออกเป็นสองแบบคือ Internal และ External
Internal : สอบเก็บคะแนนในบางเนื้อหาที่เรียนไป
แต่ละวิชา และ แต่ละโรงเรียนจะมีจำนวน Internal ที่แตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับแผนการสอนที่ครูแต่ละวิชาเป็นคนจัด เรื่องที่สอบเป็น Internal คือจบในเทอมนั้นๆ เนื้อหาจะไม่เอามาสอบปลายปี บางเนื้อหาสามารถสอบซ้อมได้ เพื่อที่จะเอาคะแนนที่ดีขึ้น เหมือนมีโอกาศสอบสองรอบทั้งสำหรับคนที่ตก และคนที่ผ่านแต่อยากได้คะแนนที่ดีมากขึ้น แต่บางอันก็จะมีโอกาศสอบได้แค่ครั้งเดียว เหมือนเดิมคะ ขึ้นอยู่กับคุณครูที่สอนและวิชาที่ลง จำนวน Internal ในแต่ละวิชา ครูจะเป็นคนเลือกซึ่งก็จะอยู่ที่ประมาณ 1-4 อัน บางโรงเรียนเด็กสามารถเลือกที่จะทำ Internal อย่างเดียวได้ และไม่สอบ external ในกรณีนี้จำนวน Internal ในวิชานั้นๆก็จะเพิ่มขึ้น
External : สอบปลายปี
เนื้อหาของ external นั้นส่วนใหญ่จะเป็น Topic ที่มีเนื้อหาใหญ่ๆ โดยจำนวน external ในแต่ละวิชาจะมีประมาณ 1-3 อัน ไม่มากไปกว่านั้น นักเรียนจะเรียนเนื้อหาที่ใช้สอบในเทอมต่างๆแต่ไม่มีสอบเก็บคะแนนเหมือน internal สอบจริงๆของ External จะเป็นเทอม 4 โดยจะสอบพร้อมกันทั่วประเทศ วัน และ เวลาเดียวกัน เช่น Math level 2 ทุกคนที่ลงวิชานี้จะต้องสอบพร้อมกัน ความยาวในการสอบก็จะขึ้นอยู่กับจำนวนข้อสอบที่ทำ ถ้าสอบ 3 Topics ก็จะมีเวลา 3ชม ถ้าสอบสองก็จะมีเวลา 2 ชม ซึ่งการสอบ external นักเรียนสามารถเลือกจำนวนข้อสอบที่จะทำได้ เช่น Math level 2 มีสอบ 3 Topics คือ Calculus, Algebra และ Probability ใครที่คิดว่าทำไม่ได้ และ ตกแน่นอน (คิดในแง่ลบสุดๆ 555) สามารถเลือกที่จะทำแค่ 2 Topics ได้ และยังคนมีเวลา 3 ชมเท่าเดิม หรือใครที่ทำเสร็จเร็วไม่ว่าจะเลือกทำข้อสอบกี่อันก็ตาม สามารถออกจากห้องสอบก่อนหมดเวลาได้ แต่ในเวลา 15 นาทีสุดท้ายห้ามใครเข้าออกจากห้องสอบทั้งนั้น
***ยังไงก็ตาม ควรที่จะทำทุกข้อสอบที่ได้รับเพราะทุกอันมีคะแนน และส่งผลต่อคะแนนรวมทั้งหมด ถ้าคะแนนรวมไม่ถึง ก็สามารถตกวิชานั้นๆได้ ควรพยายามที่จะทำให้หมดนะคะ
อีกหนึ่งข้อแตกต่างที่เห็นได้ชัดของ External และ Internal คือ สำหรับ external นักเรียน level 1-3 จะได้หยุดทวนสอบอยู่บ้าน ซึ่งเรียกว่า Study leave คือช่วงระหว่างสอบนักเรียนไม่จำเป็นต้องมาโรงเรียน ถึงแม้ว่าบางคนจะไม่มีสอบ external เลย ก็ไม่ต้องมาโรงเรียนจนกว่าทุกคนจะสอบเสร็จหมด (ทั่วประเทศ) ซึ่งวันเวลาในการสอบกินยาวไปเป็นเดือน หมายความว่าคนที่ไม่มีสอบ external ก็ได้หยุดเป็นเดือนเช่นกัน นักเรียนจะไปโรงเรียนในช่วงนี้เมื่อถึงวันมีสอบ พอสอบเสร็จก็กลับบ้านได้เลย (ในกรณีของเด็กหออาจแตกต่างกัน)
การตรวจข้อสอบของ external นั้นจะยุ่งยากกว่า Internal
สำหรับ Internal ครูรับข้อสอบมาจากกระทรวงการศึกษาตามหัวข้อที่ตัวเองเลือกที่จะสอน แล้วนำมาปรับเพื่อให้เหมาะสมกับความรู้ที่ได้สอนไป คือครูสามารถช่วยเด็กได้โดยการเลือกข้อสอบให้เด็กไม่ว่าจะเป็นง่ายหรือยาก การตรวจก็ง่ายมาก ครูที่โรงเรียนจะเป็นคนตรวจ และให้ครูอีกคนที่อยู่ในโรงเรียน หรือ ครูจากอีกโรงเรียนหนึ่งตรวจ เพื่อความถูกต้องและมาตรฐานในการให้คะแนน
External: ข้อสอบถูกรวบรวมไปที่กระทรวงการศึกษา แล้วค่อยกระจายไปให้รรต่างจตรวจต่อ จากนั้นก็ส่งกลับไปที่กระทรวงเหมือนเดิมก่อนที่จะอัพคะแนนในเว็บของ nzqa คือทุกคนจะรู้คะแนนพร้อมกันทั่วประเทศในเดือนมกราปีหน้า เพราะฉะนั้นไม่มีสอบซ้อมให้แก้ตัวรอบสองสำหรับ external exam
Mock exam:
Mock exam คือ การสอบสะเหมือนจริงของ external exam ควบคุมโดยโรงเรียน ซึ่งมีหน้าที่คุมสอบและเลือกข้อสอบให้เด็ก คะแนนของ Mock จะไม่มีผลต่อคะแนนจริงในประเมินผล แต่ถ้าเกิดเหตุที่ทำให้นักเรียนไม่สามารถร่วมสอบ external ได้ เค้าก็จะใช้คะแนนจาก Mock แทน เช่นเหตุการที่เกิดขึ้นเมื่อปี 2016 แผ่นดินไหวที่ Wellington สถานที่สอบหลายแห่ง(โรงเรียน)ได้รับความเสียหายหนักมาก และนักเรียนไม่สามารถร่วมสอบได้ คะแนนที่ใช้ในปีนั้นจึงไม่ได้มาจาก External แต่มาจาก Mock แทน Mock exam จะเริ่มในปลายเทอม 3 หรือต้นเทอม 4 (แล้วแต่โรงเรียน) จำนวนวันของ Study leave จะประมาณหนึ่งอาทิตย์ ไม่เยอะเท่าสอบจริง (external)
วิธีการเก็บคะแนน และ การนับเกรทของนิวซีแลนด์
เกรทของ ncea เริ่มจากต่ำสุดคือ N (Not achieved, ไม่ผ่าน) > A (Achieved, ผ่าน) > M (Merit, ผ่านด้วยคะแนนดี) > E (Excellence, ผ่านด้วยคะแนนดีมาก) และอีกอย่างหนึ่งคือ NA (Not attempted) หรือง่ายๆคือไม่ได้ทำข้อสอบ
เพื่อที่จะผ่านแต่ละวิชา นักเรียนต้องเก็บคะแนนไปเรื่อยๆ หรือที่เรียกว่าเก็บเครดิต (credits) ทั้งของ Level1,2 และ 3 กว่าผ่านวิชาหนึ่งวิชาต้องเก็บเครดิตให้ครบ 14 เครดิตเป็นอย่างต่ำ ถ้าไม่ถึงก็ถือว่าตกวิชานั้น การเก็บเครดิตนั้นได้มาจากการสอบในแต่ละวิชา ซึ่งแต่ละหัวข้อจะมีจำนวนเครดิตที่ต่างกัน ตามความยากง่ายของเนื้อหา เช่น ข้อสอบ level 2 Calculus ถ้าสอบผ่านจะได้ 5 credits ส่วนข้อสอบ Algebra ถ้าผ่านจะได้ 4 credits (ตกคือไม่ได้เลย)
เวลาเราสอบอะไรผ่านสักอย่างหนึ่ง เกรทที่พูดถึงไปเมื่อข้างต้นจะเป็นตัวบ่งบอกว่าเราทำได้ดีขนาดไหน แต่ไม่เกี่ยวกันว่าได้เครดิตเท่าไร งงมั๊ย555
ขอตัวอย่างอีกรอบ ถ้าผ่าน Calculus ไม่ว่าจะได้คะแนน A, M หรือ E เครดิตที่ได้คือ 5 เครดิตเท่ากัน อ่าวแล้วตัวเกรท A,M,E มันสำคัญอย่างไร? ตัวเกรทเนี่ยแหละจะเป็นตัวที่บ่งบอกว่าเราผ่านวิชานั้นแล้วเราทำได้ดีแค่ไหน บางคนอาจจะผ่าน Level 2 Math ด้วย Excellence per subject ก็ได้ (สอบได้ E ทั้งหมด 14 เครดิต) หรือ บางคนผ่านด้วย Merit per subject (ได้ M ไม่ก็ E รวมกัน 14 เครดิต แต่คะแนน E ได้ไม่ถึง 14 เครดิต คะแนนรวมจึงได้แค่ M)
***สรุปคืออย่าไปคิดมากว่าต้องเก็บ E ได้ 14เครดิต เอาเป็นว่าได้ E เยอะเท่าไรยิ่งดี ใครยังงงเกียวกับเครดิตและเกรทอยู่ก็ไม่ต้องซีเรียส ของอย่างงี้ถ้าไปเจอจริงๆเดี๋ยวก็เข้าใจเอง
การนับเครดิตของคนที่เรียนวิชาที่มี level สูงกว่าของตัวเองนั้นก็นับเหมือนแบบธรรมดา ยกตัวอย่างอีกรอบ คนที่เรียนอยู่ year 11, ยกตัวอย่าง level 1 English แต่เก่งมากเลยไปเรียน level 2 English แทน เครดิตและเกรทที่ได้จาก level 2 English สามารถนำมาใช้รวมกับทั้งการนับคะแนนของ level1 และ level 2 คือคะแนนเดิมแต่ใช้ได้สองปี
เรียนต่อนิวซีแลนด์ ***ระบบ NCEA คืออะไร?***
เราก็เป็นหนึ่งในเด็กไทยที่ไปเรียนที่ Wellington NewZealand โดยเริ่มต้นด้วย 0 หมายความว่าไม่รู้อะไรเกี่ยวกับนิวซีแลนด์เลยสักนิด พอลองไปหาข้อมูลก็ไม่ค่อยมีคนพูดถึงระบบการศึกษานิวซีแลนด์แบบเจอะลึกและพูดถึงประสบการณ์ที่เคยเรียนมาโดยตรงมากเท่าไร (หรืออาจจะมีคนเคยทำกระทู้แบบนี้แล้ว แต่ช่วง 3 ปีที่แล้วที่หาข้อมูล หาไม่เจอจริงๆคะ) ตอนไปเลยแบบงงมาก สำหรับเรากับครั้งแรกที่ไปถึง ระบบ ncea คือสิ่งที่เข้าใจยากมาก คือสับสนกว่าระบบอื่นที่เคยเจอมา (ประสบการณ์น้อย อย่าว่ากันนะ555)
เราไม่ใช่คนที่รู้เรื่องอะไรมากเท่าไร ข้อมูลที่มีก็แค่มาจากสิ่งที่เจอมาล้วนๆ แต่ที่มาเขียนกระทู้นี้เพราะเชื่อว่าหลายๆคนที่วางแผนจะไปก็คงสงสัยเหมือนกัน อย่างน้อยก็อยากช่วยให้เข้าใจกับระบบ ncea มากขึ้น โดยเฉพาะสำหรับคนที่กำลังจะไปเรียนก็หวังว่าจะได้คลายกังวลเกี่ยวกับสิ่งที่ต้องเจอ เราคงไม่ได้เจอะลึกมากทุกรายระเอียด เอาเป็นว่าจะมาเล่าแบบคล้าวๆให้เข้าใจง่ายๆก่อน (หวังว่าจะไม่ทำให้งงกว่าเดิม...)
วิชาเลือกในแต่ละyear นักเรียนสามารถเลือกเองได้ตามที่อยากเรียนและสามารถผสมระหว่างศิลและวิทได้เลย โดยนักเรียนสามารถเลือกวิชาที่จะเรียนได้ตามจำนวนที่โรงเรียนจำกัดไว้ให้ และรวมถึงต้องลงวิชาหลักด้วย เช่นของโรงเรียนเรา year 11 วิชาหลักคือ English, Math, Science, Health และ PE (เป็นวิชาที่ทุกคนต้องลง) ส่วนวิชาเลือกก็จะเป็น Art, Dance, Food and Nutrition, Chinese etc. คืออันนี้ก็ขึ้นอยู่กับแต่ละโรงเรียนด้วยว่าเราต้องเลือกวิชาเลือกกี่วิชาและหลักกี่วิชา บางโรงเรียนนักเรียนอินเตอร์ไม่จำเป็นต้องเรียนภาษาอังกฤษแต่จะเป็น Esol แทน (ห้องเรียนภาษาอังกฤษสำหรับเด็กอินเตอร์โดยเฉพาะ) หรือบางโรงเรียนอาจให้ Esol เป็นวิชาเลือก นักเรียนก็สามารถเรียนควบ English กับ Esol ได้
ตัวอย่างในการเลือกวิชาของโรงเรียนเรา
Level 1 (year 11) เลือกเองได้ 4วิชา
Level 2 (year 12) เลือกเองได้ 6วิชา
Level 3 (year 13) ไม่มีวิชาบังคับ
***บางรร.อาจจะเป็น 4,5,5 แต่ที่เหมือนกันคือ ยิ่ง level สูงขึ้น ยิ่งเลือกวิชาได้มากขึ้น และ จำนวนวิชาบังคับน้อยลง
เรื่องนี้สามารถแก้ปัญหาได้ง่ายมากคะ นร.สามารถไปคุยกับทางโรงเรียนเรื่องนี้ได้คะ โดยนร.สามารถไปเรียนร่วมกับ level ที่สูงกว่าได้ในวิชาที่ต้องการ เช่น ถ้านร.เรียนอยู่ level1 ncea (year 11) แต่เนื้อหาวิชาบางวิชาเช่น คณิตศาสตร์ เคยเรียนมาจากที่ไทยแล้ว ถ้าคิดว่าภาษาไม่น่ามีปัญหาก็ขอทางรร.ไปเรียน level ที่สูงขึ้น ซึ่งต้องเรียนกับรุ่นพี่ year ที่สูงกว่านั่นเอง ไม่ต้องตกใจนะคะ เพราะมีเด็กไม่น้อยเหมือนกันที่ทำแบบนี้ เด็กนิวซีแลนด์เองก็ทำคะ แต่อาจเป็นวิชาพวก อังกฤษ อะไรแบบนี้ ส่วนเรื่องการให้คะแนนเดี๋ยวไปคุยต่อในหัวข้อ การนับ credit ของ ncea ละกันเนอะ
ข้อฝากอีกเรื่องนึงคะ บางคนที่คิดว่านิวซีแลนด์เรียนง่าย จริงๆแล้วมันก็ไม่ได้ง่ายอย่างที่เราคิดอย่างงั้นนะคะ จริงอยู่ว่าอาจจะง่ายกว่าหลักสูตรของประเทศอื่น แต่ความยากมันจะเพิ่มขึ้นคะ โดยเฉพาะเมื่อขึ้น year 12 และ 13
สำหรับรร.ไทยแล้วเนี่ย มันก็จะยากตั้งแต่เนิ่นๆ แต่ของที่นี้ เนื้อหามันเพิ่มขึ้นช่วงสองปีสุดท้ายก่อนจบ คือระดับมันจะกระโดดจากง่ายมากเป็นยากขึ้นเยอะ และที่สำคัญคือ ถ้าไม่ได้อยู่ในตัวเมืองจริงๆ หาที่ติวยากนะคะ นักเรียนต้องเรียนด้วยตัวเองเป็นส่วนใหญ่ นักเรียนที่ย้ายมาเรียนต่อที่นี่ช่วงประถม หรือ ม.ต้น ก็คงหนักนิดนึง แต่ถ้าเป็นคนเก่งทางด้านสายวิทอยู่แล้วก็คงสบายหน่อยคะ
ส่วนด้านศิลปะจะงานเยอะมาก ของรร.เราก็อดหลับอดนอนช่วงก่อนส่งงาน อาจจะเป็นเพราะเราเลือก วิทสามตัว (ฟิสิกส์ เคมี ชีวะ) และ Art ด้วย งานเลยเยอะมากๆ ขอแนะนำว่าถ้าขึ้น Level 2 แล้ว ไม่ควรเลือกวิททั้งหมดสามตัว และ เรียนศิลไปด้วย เพราะงานเยอะมากคะ
เสริมนิดนึง
ตารางเวลาเรียนที่นี่จะชิวๆคะ โรงเรียนส่วนใหญ่จะมี 6 คาบ ส่วนเวลาเรียนและชั่วโมงในแต่ละวิชาก็จะแตกต่างกันออกไป เช่น รร. เรา
Study spell ที่เห็นเยอะๆคือเรา Drop วิชาชีวะไป 1 ตัวเพราะเรียนไม่ไหว (เป็นเด็กศิลที่อยากเรียนวิท) วิชาที่ drop ไป โรงเรียนเราจะให้คาบนั้นเป็น Study คือไปนั่งห้องสมุดแล้วทำงาน สำหรับเราใช้เป็นคาบตามงานและสะสางงานของวิชาอื่นๆ ใครที่เรียนไม่ไหวแล้วคิดจะ drop ต้องดูด้วยนะคะว่าคะแนนของวิชาที่เหลือนั้นมีมากพอที่จะผ่าน level ที่เราเรียนอยู่รึเปล่า ถ้าเรียนได้ พยายามต่อไปจนเรียนจบดีกว่าคะ
Internal : สอบเก็บคะแนนในบางเนื้อหาที่เรียนไป
แต่ละวิชา และ แต่ละโรงเรียนจะมีจำนวน Internal ที่แตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับแผนการสอนที่ครูแต่ละวิชาเป็นคนจัด เรื่องที่สอบเป็น Internal คือจบในเทอมนั้นๆ เนื้อหาจะไม่เอามาสอบปลายปี บางเนื้อหาสามารถสอบซ้อมได้ เพื่อที่จะเอาคะแนนที่ดีขึ้น เหมือนมีโอกาศสอบสองรอบทั้งสำหรับคนที่ตก และคนที่ผ่านแต่อยากได้คะแนนที่ดีมากขึ้น แต่บางอันก็จะมีโอกาศสอบได้แค่ครั้งเดียว เหมือนเดิมคะ ขึ้นอยู่กับคุณครูที่สอนและวิชาที่ลง จำนวน Internal ในแต่ละวิชา ครูจะเป็นคนเลือกซึ่งก็จะอยู่ที่ประมาณ 1-4 อัน บางโรงเรียนเด็กสามารถเลือกที่จะทำ Internal อย่างเดียวได้ และไม่สอบ external ในกรณีนี้จำนวน Internal ในวิชานั้นๆก็จะเพิ่มขึ้น
External : สอบปลายปี
เนื้อหาของ external นั้นส่วนใหญ่จะเป็น Topic ที่มีเนื้อหาใหญ่ๆ โดยจำนวน external ในแต่ละวิชาจะมีประมาณ 1-3 อัน ไม่มากไปกว่านั้น นักเรียนจะเรียนเนื้อหาที่ใช้สอบในเทอมต่างๆแต่ไม่มีสอบเก็บคะแนนเหมือน internal สอบจริงๆของ External จะเป็นเทอม 4 โดยจะสอบพร้อมกันทั่วประเทศ วัน และ เวลาเดียวกัน เช่น Math level 2 ทุกคนที่ลงวิชานี้จะต้องสอบพร้อมกัน ความยาวในการสอบก็จะขึ้นอยู่กับจำนวนข้อสอบที่ทำ ถ้าสอบ 3 Topics ก็จะมีเวลา 3ชม ถ้าสอบสองก็จะมีเวลา 2 ชม ซึ่งการสอบ external นักเรียนสามารถเลือกจำนวนข้อสอบที่จะทำได้ เช่น Math level 2 มีสอบ 3 Topics คือ Calculus, Algebra และ Probability ใครที่คิดว่าทำไม่ได้ และ ตกแน่นอน (คิดในแง่ลบสุดๆ 555) สามารถเลือกที่จะทำแค่ 2 Topics ได้ และยังคนมีเวลา 3 ชมเท่าเดิม หรือใครที่ทำเสร็จเร็วไม่ว่าจะเลือกทำข้อสอบกี่อันก็ตาม สามารถออกจากห้องสอบก่อนหมดเวลาได้ แต่ในเวลา 15 นาทีสุดท้ายห้ามใครเข้าออกจากห้องสอบทั้งนั้น
***ยังไงก็ตาม ควรที่จะทำทุกข้อสอบที่ได้รับเพราะทุกอันมีคะแนน และส่งผลต่อคะแนนรวมทั้งหมด ถ้าคะแนนรวมไม่ถึง ก็สามารถตกวิชานั้นๆได้ ควรพยายามที่จะทำให้หมดนะคะ
อีกหนึ่งข้อแตกต่างที่เห็นได้ชัดของ External และ Internal คือ สำหรับ external นักเรียน level 1-3 จะได้หยุดทวนสอบอยู่บ้าน ซึ่งเรียกว่า Study leave คือช่วงระหว่างสอบนักเรียนไม่จำเป็นต้องมาโรงเรียน ถึงแม้ว่าบางคนจะไม่มีสอบ external เลย ก็ไม่ต้องมาโรงเรียนจนกว่าทุกคนจะสอบเสร็จหมด (ทั่วประเทศ) ซึ่งวันเวลาในการสอบกินยาวไปเป็นเดือน หมายความว่าคนที่ไม่มีสอบ external ก็ได้หยุดเป็นเดือนเช่นกัน นักเรียนจะไปโรงเรียนในช่วงนี้เมื่อถึงวันมีสอบ พอสอบเสร็จก็กลับบ้านได้เลย (ในกรณีของเด็กหออาจแตกต่างกัน)
การตรวจข้อสอบของ external นั้นจะยุ่งยากกว่า Internal
สำหรับ Internal ครูรับข้อสอบมาจากกระทรวงการศึกษาตามหัวข้อที่ตัวเองเลือกที่จะสอน แล้วนำมาปรับเพื่อให้เหมาะสมกับความรู้ที่ได้สอนไป คือครูสามารถช่วยเด็กได้โดยการเลือกข้อสอบให้เด็กไม่ว่าจะเป็นง่ายหรือยาก การตรวจก็ง่ายมาก ครูที่โรงเรียนจะเป็นคนตรวจ และให้ครูอีกคนที่อยู่ในโรงเรียน หรือ ครูจากอีกโรงเรียนหนึ่งตรวจ เพื่อความถูกต้องและมาตรฐานในการให้คะแนน
External: ข้อสอบถูกรวบรวมไปที่กระทรวงการศึกษา แล้วค่อยกระจายไปให้รรต่างจตรวจต่อ จากนั้นก็ส่งกลับไปที่กระทรวงเหมือนเดิมก่อนที่จะอัพคะแนนในเว็บของ nzqa คือทุกคนจะรู้คะแนนพร้อมกันทั่วประเทศในเดือนมกราปีหน้า เพราะฉะนั้นไม่มีสอบซ้อมให้แก้ตัวรอบสองสำหรับ external exam
Mock exam:
Mock exam คือ การสอบสะเหมือนจริงของ external exam ควบคุมโดยโรงเรียน ซึ่งมีหน้าที่คุมสอบและเลือกข้อสอบให้เด็ก คะแนนของ Mock จะไม่มีผลต่อคะแนนจริงในประเมินผล แต่ถ้าเกิดเหตุที่ทำให้นักเรียนไม่สามารถร่วมสอบ external ได้ เค้าก็จะใช้คะแนนจาก Mock แทน เช่นเหตุการที่เกิดขึ้นเมื่อปี 2016 แผ่นดินไหวที่ Wellington สถานที่สอบหลายแห่ง(โรงเรียน)ได้รับความเสียหายหนักมาก และนักเรียนไม่สามารถร่วมสอบได้ คะแนนที่ใช้ในปีนั้นจึงไม่ได้มาจาก External แต่มาจาก Mock แทน Mock exam จะเริ่มในปลายเทอม 3 หรือต้นเทอม 4 (แล้วแต่โรงเรียน) จำนวนวันของ Study leave จะประมาณหนึ่งอาทิตย์ ไม่เยอะเท่าสอบจริง (external)
เกรทของ ncea เริ่มจากต่ำสุดคือ N (Not achieved, ไม่ผ่าน) > A (Achieved, ผ่าน) > M (Merit, ผ่านด้วยคะแนนดี) > E (Excellence, ผ่านด้วยคะแนนดีมาก) และอีกอย่างหนึ่งคือ NA (Not attempted) หรือง่ายๆคือไม่ได้ทำข้อสอบ
เพื่อที่จะผ่านแต่ละวิชา นักเรียนต้องเก็บคะแนนไปเรื่อยๆ หรือที่เรียกว่าเก็บเครดิต (credits) ทั้งของ Level1,2 และ 3 กว่าผ่านวิชาหนึ่งวิชาต้องเก็บเครดิตให้ครบ 14 เครดิตเป็นอย่างต่ำ ถ้าไม่ถึงก็ถือว่าตกวิชานั้น การเก็บเครดิตนั้นได้มาจากการสอบในแต่ละวิชา ซึ่งแต่ละหัวข้อจะมีจำนวนเครดิตที่ต่างกัน ตามความยากง่ายของเนื้อหา เช่น ข้อสอบ level 2 Calculus ถ้าสอบผ่านจะได้ 5 credits ส่วนข้อสอบ Algebra ถ้าผ่านจะได้ 4 credits (ตกคือไม่ได้เลย)
เวลาเราสอบอะไรผ่านสักอย่างหนึ่ง เกรทที่พูดถึงไปเมื่อข้างต้นจะเป็นตัวบ่งบอกว่าเราทำได้ดีขนาดไหน แต่ไม่เกี่ยวกันว่าได้เครดิตเท่าไร งงมั๊ย555
ขอตัวอย่างอีกรอบ ถ้าผ่าน Calculus ไม่ว่าจะได้คะแนน A, M หรือ E เครดิตที่ได้คือ 5 เครดิตเท่ากัน อ่าวแล้วตัวเกรท A,M,E มันสำคัญอย่างไร? ตัวเกรทเนี่ยแหละจะเป็นตัวที่บ่งบอกว่าเราผ่านวิชานั้นแล้วเราทำได้ดีแค่ไหน บางคนอาจจะผ่าน Level 2 Math ด้วย Excellence per subject ก็ได้ (สอบได้ E ทั้งหมด 14 เครดิต) หรือ บางคนผ่านด้วย Merit per subject (ได้ M ไม่ก็ E รวมกัน 14 เครดิต แต่คะแนน E ได้ไม่ถึง 14 เครดิต คะแนนรวมจึงได้แค่ M)
***สรุปคืออย่าไปคิดมากว่าต้องเก็บ E ได้ 14เครดิต เอาเป็นว่าได้ E เยอะเท่าไรยิ่งดี ใครยังงงเกียวกับเครดิตและเกรทอยู่ก็ไม่ต้องซีเรียส ของอย่างงี้ถ้าไปเจอจริงๆเดี๋ยวก็เข้าใจเอง
การนับเครดิตของคนที่เรียนวิชาที่มี level สูงกว่าของตัวเองนั้นก็นับเหมือนแบบธรรมดา ยกตัวอย่างอีกรอบ คนที่เรียนอยู่ year 11, ยกตัวอย่าง level 1 English แต่เก่งมากเลยไปเรียน level 2 English แทน เครดิตและเกรทที่ได้จาก level 2 English สามารถนำมาใช้รวมกับทั้งการนับคะแนนของ level1 และ level 2 คือคะแนนเดิมแต่ใช้ได้สองปี