สวัสดีครับ
ก่อนอื่นขอเกริ่นเล็กน้อย กระทู้นี้ไม่ได้เป็นการริวิวการสัมภาษณ์วีซ่าแต่อย่างใด จุดประสงค์ของผมคือ ต้องการเขียนเล่าประสบการณ์ของตัวเองที่ได้มีโอกาสไปสัมภาษณ์วีซ่าอเมริกามาเมื่อวันที่ 7/12/2018 ที่ผ่านมา เลยอยากเขียนให้คำแนะนำ เขียนกำลังใจกับหลายๆคนที่กำลังจะไปสัมภาษณ์ เพราะก่อนหน้านี้ตัวผมเองอยู่ในภาวะจิตตกมามากมาย จนวันนี้ได้รับวีซ่ามาแล้ว เลยอยากเขียนแนะนำเล็กๆน้อยๆและเป็นกำลังใจให้ครับ
เนื่องจากเคสผมอาจจะผ่านง่ายกว่าเล็กน้อยเนื่องจากทางบริษัทส่งไปดูงาน แต่บริษัทที่ผมทำงานก็ไม่ได้ใหญ่โตอะไรมาก ดังนั้นความกงัวลของผมก็มีมากอยู่พอสมควรครับผม
เรื่องรายละเอียดการกรอก DS-160 ขั้นตอนต่างๆระหว่างสัมภาษณ์ผมขอไม่เล่านะครับ เพราะน่าจะมีแนะนำกันเยอะเลยใน Pantip
DS-160
สำหรับ DS-160 ตอนแรกเลขาของเจ้านายผมเค้ากรอกให้แล้วเอามาให้ผมตรวจ สุดท้ายบางอย่างผมเราอ่านแล้วรู้สึกมันไม่เหมือนตัวเรา บางอย่างเค้ากรอกไม่ครบกรอกไม่ตรง ผมก็ต้องเอามาแก้ใหม่เองทั้งหมด
ตรงนี้แหละครับที่ผมอยากจะแนะนำทุกคน เอกสาร DS-160 ไม่ว่าคุณจะเดินทางคนเดียว เดินทางเป็นหมู่คณะ บริษัทส่งดูงาน หรืออะไรก็ตามแต่ คุณ"
ควรจะต้องกรอกเองเท่านั้น" เพราะข้อมูลที่คุณกรอกคือตัวกรองและสกรีนตัวคุณเองเป็นอันดับแรกเลย ใส่ให้เยอะใส่ให้ครบและละเอียดที่สุดครับ
เมื่อถึงวันสัมภาษณ์ คุณจะได้รับการสัมภาษณ์จากเจ้าหน้าที่คนไทยก่อน เพียงเค้าเปิด DS-160 ที่คุณกรอกไว้ อะไรก็ตามที่คุณกรอกมีโอกาสที่จะโดนสุ่มถามได้ทั้งหมด หากคุณตอบไม่หนักแน่น ไม่ฉะฉาน ความน่าเชื่อถือของคุณก็จะลดลงไปครับ ผมเชื่อว่าแค่ด่านแรกนี้ก็มีผลต่อการพิจารณาแล้วครับ เพราะฉะนั้นกรอกเองและตอบสิ่งเหล่านั้นด้วยความมั่นใจ.........
เอกสาร
เรื่องเอกสาร ควรเตรียมไปให้ครบ สลิปเงินเดิน ใบรับรองการทำงาน Statement รายละเอียดการเดินทาง หนังสือเชิญ ฯลฯ สิ่งเหล่านี้ควรเตรียมพร้อม ไม่ว่าเจ้าหน้าที่จะขอหรือไม่เราก็ควรเตรียมไปให้ครบนะครับ
การสัมภาษณ์กับท่านกงสุล
ในขั้นตอนนี้คือจุดตัดสินว่าคุณจะผ่านหรือไม่ ภาษาอังกฤษถ้าคุณพูดได้ควรจะใช้มันครับ ไม่ว่าจะเล็กน้อยก็ควรทำ คุณควรทักทายท่านกงสุลอย่างเป็นมิตร ตอบทุกๆคำถามด้วยความมั้นใจ มีน้ำเสียงที่ลื่นไหลดูเป็นธรรมชาติ อย่าเกร็ง ถ้าไม่ได้จริงๆจะไทยบ้างอังกฤษบ้างก็ยังดีกว่าครับ แต่ถ้าภาษาอังกฤษไม่ได้เลย ผมคิดว่าเหตุผลในการเดินทางของคุณต้องสมเหตุสมผลครับ ไม่เช่นนั้นโอกาสผ่านก็จะน้อยลงไปอีก ถ้าผ่านเค้าก็จะบอกคุณว่าผ่านครับ แต่ถ้าไม่ผ่านเค้าก็จะคืน Passport ให้พร้อมกับใบสีขาวซึ่งจะอธิบายเหตุผลของการที่ไม่ผ่าน ใจความโดยสรุปก็คือคุณมีคุณสมบัติไม่เพียงพอในการพิจารณาออกวีซ่า ใครที่ไม่ผ่าน ถ้าคุณมั่นใจว่าพร้อมจะจ่ายเงินนัดใหม่เลยก็ได้นะครับ หรือจะรอไปก่อนสัก 1 ปีก็ได้เช่นกัน แต่การกลับมาอีกครั้ง เอกสารหลักฐานข้อมูล ความสมเหตุสมผลในการเดินทางต้องแน่นะครับ
พี่ผู้หญิงที่ไปกับผมไม่ผ่านมาแล้ว 2 ครั้ง แต่ครั้งที่ 3 ก็ผ่านนะครับ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้อันนี้ขอเล่านอกเรื่องสำหรับพี่คนนี้ ก่อนหน้าที่แกเคยขอวีซ่าไปท่องเที่ยวพร้อมไปดูงาน (แฟนแกเป็นผู้บริหารในบริษัทผม) แกอยากจะไปด้วยก็เลยขอในเชิงว่าไปดูงาน แล้วทางแฟนแกจะออก คชจ ให้ พูดง่ายๆเหมือนให้บริษัทผม Support ให้กลายๆ ซึ่งตอนนั้นแกก็ยังไม่ได้ทำงานเป็นหลักแหล่งอะไรเพราะทำ Freelance อยู่ สุดท้ายไม่ผ่านเพราะขอวีซ่าผิดประเภท พูดง่ายๆคือเหตุผลในการเดินทางไม่น่าเชื่อถือครับ (ประมาณนี้ที่เข้าใจ) แล้วแกเล่าให้ฟังว่า 2 รอบแรกแกแต่งสวยเลยครับ (คือแกเป็นคนสวยครับ ลุคแบบพริตตี้เลย) แกบอกเลยว่าความสวยไม่ช่วยอะไร 555+ รอบที่ 3 ที่มาขอกับผมคือทำงานบริษัทจริงจังละ แล้วในรายละเอียดก็กรอกไปตรงๆว่าไปเที่ยว และไปเที่ยวงานนั้น แต่ไม่ได้มีใคร Support อะไร แฟนมีวีซ่าอยู่แล้วก็เลยอยากไปเที่ยวด้วย ซึ่งรอบ 3 ของแกนี่แต่งตัวแบบธรรมดามาก หน้าแทบไม่แต่ง ผมยังถามเลยว่าพี่เอางี้เลยเหรอ สุดท้ายผ่านครับ 555+
สำหรับการสำภาษณ์ทั้งหมดเท่าที่ผมเห็นในวันนั้น คนที่ไม่ผ่านคือ..... (ผมมองตามความเข้าใจของผมนะครับ ไม่ได้มีเจตนาวิจารณ์ใคร)
- บุคคลิกของคุณดูไม่น่าเชื่อถือ เรื่องนี้ต้องทำความเข้าใจจริงๆครับ เรื่องของบุคลิกเปรียบเสมือน first impression ในการพบกัน ดังนั้นการแต่งตัว ทรงผม ควรอยู่ในระดับปกติครับ อย่าล้นและมากจนเกินไป แต่งตัวในแบบที่เรามั่นใจครับ อย่าพยายามเป็นในแบบที่ไม่ใช่เรา ผมขอยกตัวอย่างตัวผมเอง ปกติถ้าผมใส่เสื้อเชริตแขนยาวผมจะต้องพับแขนเสื้อทุกครั้ง เพราะถ้าไม่พับผมไม่มั่นใจ ผมจะรู้สึกประหม่า เหมือนไม่ใช่ตัวเอง แม้ว่าก่อนออกจากบ้านแฟนบอกว่าอย่าพับ มันไม่สุภาพ 555+ แต่ผมก็จะพับครับ เพราะมันคือความสบายใจและทำให้ผม Relax และผมมองว่าผมไปสัมภาษณ์วีซ่า ไม่ได้เข้าไปเคารพผู้นำ แต่ๆๆๆๆๆๆ ผมก็ไม่ได้บอกว่าให้คุณแต่งตัวชิวๆไปเลยแบบเสื้อยืดรองเท้าแตะก็ไม่ใช่นะครับ คือแต่ตัวให้เป็นธรรมชาติของคุณในแบบที่ดูดีครับ
- ความไม่มั่นใจและความมั่นใจเกินไป เรื่องนี้ก็เช่นกันครับ คุณควรมั่นใจแบบที่ควรจะเป็น อย่า Over อย่าเกร็ง บางคนเข้าไปไหว้แบบไทยอย่างสวยงาม ยืนกุมเป้า ตัวตรงแข็งไปหมด (ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีนะครับ) แต่พอผมมองจากข้างหลังผมรู้สึกได้เลยครับว่าคุณประหม่า คุณกำลังกังวลอย่างแรง สุดท้ายก็มักจบลงที่ไม่ผ่าน แต่คนที่ผ่านส่วนมากจะเข้าไปแบบ Relax ทักทายแบบเป็นกันเอง ส่วนตัวแล้วผมคิดว่าคุณเดินเข้าไปคุณควรทักท่านกงสุลเป็นภาษาอังกฤษเลยครับ ด้วยคำง่ายๆที่ผมก็ใช้อย่าง "Hello Good Morning" ตรงนี้ผมพยายามจะคิดครับ ว่าการที่เราพยายามเรียนรู้วัฒนธรรมของเค้า พยายามใช้ภาษาของเค้า ลึกๆแล้วมันส่งผลครับ มันทำให้คุณดูเป็นกันเองมากขึ้นในระดับนึง
- การตอบคำถามที่ดูไม่ชัดเจน หลายๆคนตอบคำถามเหมือนท่องจำ ผมเชื่อว่าหลายๆท่านที่เคยไปสัมภาษณ์วีซ่า แล้วเห็นคนข้างหน้าท่านตอบ คุณเองก็คงรู้สึกได้ถึงความไม่เป็นธรรมชาติ เหมือนท่องจำ ตรงนี้ควรระวังครับ เอาจริงๆถ้าคุณมีจุดประสงค์การเดินทางที่ชัดเจนและเป็นจริง คุณจะตอบได้อย่างเป็นธรรมชาติและแม่นยำที่สุดครับ การตอบคำถามถ้าคุณตอบคำถามเป็นภาษาอังกฤษใส่สำเนียงได้ใส่ครับ (หรือที่คนไทยเรียกสำเนียงดัจริต 555) อย่ากลัวอย่าอายครับ เพราะมันจะทำให้คุณดูน่าเชื่อถือได้ระดับนึง
- ความไม่สมเหตุสมผลในการเดินทาง เช่นมีคนนึงบอกว่าบริษัทส่งไปดูงาน ตำแหน่งงานที่ทำงานสูงระดับ Manager แต่ภาษาอังกฤษไม่ได้เลย อันนี้ก็เป็นเหตุผลที่ท่านกงสุลจะไม่ให้ผ่านได้ครับ บางคนบอกจะไปเยี่ยมญาติ แต่แสดงความผูกพันธ์ได้อย่างไม่สมเหตุผล แผนการเดินทางที่ไม่เหมาะสม อเมริกาเป็นประเทศที่ใหญ่ครับ การจะไปเที่ยวมันใช้เวลาเยอะครับ ยิ่งถ้าคุณจะข้ามฝากเช่นไป LA และไป New York ด้วยในทริปเดียว ซึ่ง 2 เมืองนี้อยู่คนละฝากประเทศ แต่คุณไปแค่ 7 วันอันนี้ก็เป็นเหตุผลที่จะทำให้ท่านกงสุลพิจารณาให้ไม่ผ่านได้ครับ
สุดท้ายอยากให้กำลังใจทุกคนนะครับ ไม่อยากให้คิดมาก ผมเข้าใจความรู้สึกนั้นดีครับ ถ้าคุณไม่ผ่านก็อยากให้ใจเย็นๆแล้วค่อยๆทบทวนสิ่งที่บกพร่องไปครับ ผมก็ไม่ได้เก่งอะไร ภาษาอังกฤษผมเข้าขั้นห่วย ผมเรียนไม่จบหมาวิทยาลัย ก่อนจะสัมภาษณ์ผมก็ท่องจำ บางศัพท์ผมก็ไม่รู้ จนผมต้องพยายามดูหนังอเมริกันเยอะๆ เพราะอยากรู้ว่าสำเนียงเค้าเป็นยังไง ลักษณะการพูดคุยเค้าเป็นยังไง ขนาดนั้นเลยครับ
โดยสรุปคือ แม้หลายๆคนจะบอกว่าวีซ่าอเมริกาหาความเป็นมาตรฐานไม่ได้ กฎเกณฑ์ในการตัดสินไม่ยุติธรรม หรืออะไรก็แล้วแต่ สุดท้ายแล้วเราก็ต้องเคารพสิ่งที่ท่านกงสุลเค้าตัดสินมาเพราะนั่นคือหน้าที่ของเค้าที่เค้าต้องทำครับ ไม่ได้เข้าประเทศนี้ ประเทศอื่นที่มีเรื่องราวดีๆ มีประวัติศาสตร์ มีวัฒนธรรมที่น่าสนใจ ยังมีอีกมากมายครับ โลกเรามันกว้างครับ อย่าคิดมากและขอให้ทุกท่านที่กำลังจะไปสัมภาษณ์ผ่านการสัมภาษณ์ไปได้ด้วยดีครับ
ขอให้ทุกคนโชคดีและผ่านการสัมภาษณ์นะครับ
ยาวไปหน่อย >< ขอบคุณครับ
แชร์ประสบการณ์ วีซ่าอเมริกา (U.S. VISA)
ก่อนอื่นขอเกริ่นเล็กน้อย กระทู้นี้ไม่ได้เป็นการริวิวการสัมภาษณ์วีซ่าแต่อย่างใด จุดประสงค์ของผมคือ ต้องการเขียนเล่าประสบการณ์ของตัวเองที่ได้มีโอกาสไปสัมภาษณ์วีซ่าอเมริกามาเมื่อวันที่ 7/12/2018 ที่ผ่านมา เลยอยากเขียนให้คำแนะนำ เขียนกำลังใจกับหลายๆคนที่กำลังจะไปสัมภาษณ์ เพราะก่อนหน้านี้ตัวผมเองอยู่ในภาวะจิตตกมามากมาย จนวันนี้ได้รับวีซ่ามาแล้ว เลยอยากเขียนแนะนำเล็กๆน้อยๆและเป็นกำลังใจให้ครับ
เนื่องจากเคสผมอาจจะผ่านง่ายกว่าเล็กน้อยเนื่องจากทางบริษัทส่งไปดูงาน แต่บริษัทที่ผมทำงานก็ไม่ได้ใหญ่โตอะไรมาก ดังนั้นความกงัวลของผมก็มีมากอยู่พอสมควรครับผม
เรื่องรายละเอียดการกรอก DS-160 ขั้นตอนต่างๆระหว่างสัมภาษณ์ผมขอไม่เล่านะครับ เพราะน่าจะมีแนะนำกันเยอะเลยใน Pantip
DS-160
สำหรับ DS-160 ตอนแรกเลขาของเจ้านายผมเค้ากรอกให้แล้วเอามาให้ผมตรวจ สุดท้ายบางอย่างผมเราอ่านแล้วรู้สึกมันไม่เหมือนตัวเรา บางอย่างเค้ากรอกไม่ครบกรอกไม่ตรง ผมก็ต้องเอามาแก้ใหม่เองทั้งหมด
ตรงนี้แหละครับที่ผมอยากจะแนะนำทุกคน เอกสาร DS-160 ไม่ว่าคุณจะเดินทางคนเดียว เดินทางเป็นหมู่คณะ บริษัทส่งดูงาน หรืออะไรก็ตามแต่ คุณ"ควรจะต้องกรอกเองเท่านั้น" เพราะข้อมูลที่คุณกรอกคือตัวกรองและสกรีนตัวคุณเองเป็นอันดับแรกเลย ใส่ให้เยอะใส่ให้ครบและละเอียดที่สุดครับ
เมื่อถึงวันสัมภาษณ์ คุณจะได้รับการสัมภาษณ์จากเจ้าหน้าที่คนไทยก่อน เพียงเค้าเปิด DS-160 ที่คุณกรอกไว้ อะไรก็ตามที่คุณกรอกมีโอกาสที่จะโดนสุ่มถามได้ทั้งหมด หากคุณตอบไม่หนักแน่น ไม่ฉะฉาน ความน่าเชื่อถือของคุณก็จะลดลงไปครับ ผมเชื่อว่าแค่ด่านแรกนี้ก็มีผลต่อการพิจารณาแล้วครับ เพราะฉะนั้นกรอกเองและตอบสิ่งเหล่านั้นด้วยความมั่นใจ.........
เอกสาร
เรื่องเอกสาร ควรเตรียมไปให้ครบ สลิปเงินเดิน ใบรับรองการทำงาน Statement รายละเอียดการเดินทาง หนังสือเชิญ ฯลฯ สิ่งเหล่านี้ควรเตรียมพร้อม ไม่ว่าเจ้าหน้าที่จะขอหรือไม่เราก็ควรเตรียมไปให้ครบนะครับ
การสัมภาษณ์กับท่านกงสุล
ในขั้นตอนนี้คือจุดตัดสินว่าคุณจะผ่านหรือไม่ ภาษาอังกฤษถ้าคุณพูดได้ควรจะใช้มันครับ ไม่ว่าจะเล็กน้อยก็ควรทำ คุณควรทักทายท่านกงสุลอย่างเป็นมิตร ตอบทุกๆคำถามด้วยความมั้นใจ มีน้ำเสียงที่ลื่นไหลดูเป็นธรรมชาติ อย่าเกร็ง ถ้าไม่ได้จริงๆจะไทยบ้างอังกฤษบ้างก็ยังดีกว่าครับ แต่ถ้าภาษาอังกฤษไม่ได้เลย ผมคิดว่าเหตุผลในการเดินทางของคุณต้องสมเหตุสมผลครับ ไม่เช่นนั้นโอกาสผ่านก็จะน้อยลงไปอีก ถ้าผ่านเค้าก็จะบอกคุณว่าผ่านครับ แต่ถ้าไม่ผ่านเค้าก็จะคืน Passport ให้พร้อมกับใบสีขาวซึ่งจะอธิบายเหตุผลของการที่ไม่ผ่าน ใจความโดยสรุปก็คือคุณมีคุณสมบัติไม่เพียงพอในการพิจารณาออกวีซ่า ใครที่ไม่ผ่าน ถ้าคุณมั่นใจว่าพร้อมจะจ่ายเงินนัดใหม่เลยก็ได้นะครับ หรือจะรอไปก่อนสัก 1 ปีก็ได้เช่นกัน แต่การกลับมาอีกครั้ง เอกสารหลักฐานข้อมูล ความสมเหตุสมผลในการเดินทางต้องแน่นะครับ
พี่ผู้หญิงที่ไปกับผมไม่ผ่านมาแล้ว 2 ครั้ง แต่ครั้งที่ 3 ก็ผ่านนะครับ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
สำหรับการสำภาษณ์ทั้งหมดเท่าที่ผมเห็นในวันนั้น คนที่ไม่ผ่านคือ..... (ผมมองตามความเข้าใจของผมนะครับ ไม่ได้มีเจตนาวิจารณ์ใคร)
- บุคคลิกของคุณดูไม่น่าเชื่อถือ เรื่องนี้ต้องทำความเข้าใจจริงๆครับ เรื่องของบุคลิกเปรียบเสมือน first impression ในการพบกัน ดังนั้นการแต่งตัว ทรงผม ควรอยู่ในระดับปกติครับ อย่าล้นและมากจนเกินไป แต่งตัวในแบบที่เรามั่นใจครับ อย่าพยายามเป็นในแบบที่ไม่ใช่เรา ผมขอยกตัวอย่างตัวผมเอง ปกติถ้าผมใส่เสื้อเชริตแขนยาวผมจะต้องพับแขนเสื้อทุกครั้ง เพราะถ้าไม่พับผมไม่มั่นใจ ผมจะรู้สึกประหม่า เหมือนไม่ใช่ตัวเอง แม้ว่าก่อนออกจากบ้านแฟนบอกว่าอย่าพับ มันไม่สุภาพ 555+ แต่ผมก็จะพับครับ เพราะมันคือความสบายใจและทำให้ผม Relax และผมมองว่าผมไปสัมภาษณ์วีซ่า ไม่ได้เข้าไปเคารพผู้นำ แต่ๆๆๆๆๆๆ ผมก็ไม่ได้บอกว่าให้คุณแต่งตัวชิวๆไปเลยแบบเสื้อยืดรองเท้าแตะก็ไม่ใช่นะครับ คือแต่ตัวให้เป็นธรรมชาติของคุณในแบบที่ดูดีครับ
- ความไม่มั่นใจและความมั่นใจเกินไป เรื่องนี้ก็เช่นกันครับ คุณควรมั่นใจแบบที่ควรจะเป็น อย่า Over อย่าเกร็ง บางคนเข้าไปไหว้แบบไทยอย่างสวยงาม ยืนกุมเป้า ตัวตรงแข็งไปหมด (ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีนะครับ) แต่พอผมมองจากข้างหลังผมรู้สึกได้เลยครับว่าคุณประหม่า คุณกำลังกังวลอย่างแรง สุดท้ายก็มักจบลงที่ไม่ผ่าน แต่คนที่ผ่านส่วนมากจะเข้าไปแบบ Relax ทักทายแบบเป็นกันเอง ส่วนตัวแล้วผมคิดว่าคุณเดินเข้าไปคุณควรทักท่านกงสุลเป็นภาษาอังกฤษเลยครับ ด้วยคำง่ายๆที่ผมก็ใช้อย่าง "Hello Good Morning" ตรงนี้ผมพยายามจะคิดครับ ว่าการที่เราพยายามเรียนรู้วัฒนธรรมของเค้า พยายามใช้ภาษาของเค้า ลึกๆแล้วมันส่งผลครับ มันทำให้คุณดูเป็นกันเองมากขึ้นในระดับนึง
- การตอบคำถามที่ดูไม่ชัดเจน หลายๆคนตอบคำถามเหมือนท่องจำ ผมเชื่อว่าหลายๆท่านที่เคยไปสัมภาษณ์วีซ่า แล้วเห็นคนข้างหน้าท่านตอบ คุณเองก็คงรู้สึกได้ถึงความไม่เป็นธรรมชาติ เหมือนท่องจำ ตรงนี้ควรระวังครับ เอาจริงๆถ้าคุณมีจุดประสงค์การเดินทางที่ชัดเจนและเป็นจริง คุณจะตอบได้อย่างเป็นธรรมชาติและแม่นยำที่สุดครับ การตอบคำถามถ้าคุณตอบคำถามเป็นภาษาอังกฤษใส่สำเนียงได้ใส่ครับ (หรือที่คนไทยเรียกสำเนียงดัจริต 555) อย่ากลัวอย่าอายครับ เพราะมันจะทำให้คุณดูน่าเชื่อถือได้ระดับนึง
- ความไม่สมเหตุสมผลในการเดินทาง เช่นมีคนนึงบอกว่าบริษัทส่งไปดูงาน ตำแหน่งงานที่ทำงานสูงระดับ Manager แต่ภาษาอังกฤษไม่ได้เลย อันนี้ก็เป็นเหตุผลที่ท่านกงสุลจะไม่ให้ผ่านได้ครับ บางคนบอกจะไปเยี่ยมญาติ แต่แสดงความผูกพันธ์ได้อย่างไม่สมเหตุผล แผนการเดินทางที่ไม่เหมาะสม อเมริกาเป็นประเทศที่ใหญ่ครับ การจะไปเที่ยวมันใช้เวลาเยอะครับ ยิ่งถ้าคุณจะข้ามฝากเช่นไป LA และไป New York ด้วยในทริปเดียว ซึ่ง 2 เมืองนี้อยู่คนละฝากประเทศ แต่คุณไปแค่ 7 วันอันนี้ก็เป็นเหตุผลที่จะทำให้ท่านกงสุลพิจารณาให้ไม่ผ่านได้ครับ
สุดท้ายอยากให้กำลังใจทุกคนนะครับ ไม่อยากให้คิดมาก ผมเข้าใจความรู้สึกนั้นดีครับ ถ้าคุณไม่ผ่านก็อยากให้ใจเย็นๆแล้วค่อยๆทบทวนสิ่งที่บกพร่องไปครับ ผมก็ไม่ได้เก่งอะไร ภาษาอังกฤษผมเข้าขั้นห่วย ผมเรียนไม่จบหมาวิทยาลัย ก่อนจะสัมภาษณ์ผมก็ท่องจำ บางศัพท์ผมก็ไม่รู้ จนผมต้องพยายามดูหนังอเมริกันเยอะๆ เพราะอยากรู้ว่าสำเนียงเค้าเป็นยังไง ลักษณะการพูดคุยเค้าเป็นยังไง ขนาดนั้นเลยครับ
โดยสรุปคือ แม้หลายๆคนจะบอกว่าวีซ่าอเมริกาหาความเป็นมาตรฐานไม่ได้ กฎเกณฑ์ในการตัดสินไม่ยุติธรรม หรืออะไรก็แล้วแต่ สุดท้ายแล้วเราก็ต้องเคารพสิ่งที่ท่านกงสุลเค้าตัดสินมาเพราะนั่นคือหน้าที่ของเค้าที่เค้าต้องทำครับ ไม่ได้เข้าประเทศนี้ ประเทศอื่นที่มีเรื่องราวดีๆ มีประวัติศาสตร์ มีวัฒนธรรมที่น่าสนใจ ยังมีอีกมากมายครับ โลกเรามันกว้างครับ อย่าคิดมากและขอให้ทุกท่านที่กำลังจะไปสัมภาษณ์ผ่านการสัมภาษณ์ไปได้ด้วยดีครับ
ขอให้ทุกคนโชคดีและผ่านการสัมภาษณ์นะครับ
ยาวไปหน่อย >< ขอบคุณครับ