
ไม่ได้เข้ามาตั้งกระทู้นานมาก ด้วยเพราะงานยุ่งเหลือเกิน แม้จะได้ไปเที่ยว ได้ถ่ายรูปอยู่บ้างแต่ก็ไม่มีเวลามานั่งเขียนอะไรเลย เรียกได้ว่า no feeling 555 แต่เมื่อตัดสินใจว่าจะมาเที่ยวปักกิ่ง ก็พยายามคุยกับคนที่เคยมาบ้าง หาข้อมูลใน internet บ้าง บอกเลยความอยากมาไม่เพิ่มขึ้นเลย เพราะส่วนมากจะเข้าไปเจอกระทู้เตือนภัยนักท่องเที่ยวบ้าง กระทู้ด้านลบเกี่ยวกับสถานที่อย่างห้องน้ำบ้าง ผู้คนบ้าง เอาจริงๆ คิดอยู่หลายว๊าบว่า "เอาจริงดิ...แกไปจริงดิ" แต่ลึกๆ สำหรับเราอยากไปที่ใหม่ๆ ที่ไม่เคยไป สรุป trip นี้วัตถุประสงค์คือไปให้รู้...แล้วตั้งใจไว้ว่าถ้าไม่ได้แย่อย่างที่คิดจะมาเขียน review share ให้เพื่อนๆ ใน pantip ค่ะ
เริ่มทริปนี้วันแรกกันค่ะ เราเดินทางโดยการบินไทย TG614 ออกจากกรุงเทพ 10.10 น. กว่าเครื่องจะขึ้นก็โดยป้ายยาตาม counter เครื่องสำอางใน duty free มานิดหน่อย บนเครื่องมีจานร้อนเสิร์ฟด้วยนะคะ แต่ด้วยความที่ก่อนขึ้นเครื่องจัดเต็มมาก่อนแล้ว เลยเชิดใส่อาหารบนเครื่องนึกในใจ ไม่เห็นจะอร่อยเลย
ประมาณ 15.30 น. เวลาประเทศจีน เครื่องก็ landing ค่ะ เดินออกจากเครื่องก็สัมผัสได้ถึงอากาศหนาว แต่เตรียมใจมาแล้วค่ะว่าเลขตัวเดียวแน่นอน ชิวๆ (คิดว่างั้นนะ) เดินเข้ามาในตัวอาคารมุ่งหน้าตรงไป ตม. แล้วก็สะดุดกึกกับกองผู้โดยสารต่างชาติ ยืนต่อคิวหน้าตู้อะไรซักอย่าง มันคือ finger print ค่ะทุกคนต้อง scan ด้วยตัวเองค่ะ ไม่ยากเลยเพราะพอเราแหย่ passport เข้าเครื่องๆ ก็จะพูดกับเราเป็นภาษาไทย เปลี่ยนหน้ากังวลให้ดูฉลาดได้เลยค่ะ ไม่ยาก จากนั้นก็เอากระดาษจากเครื่อง finger scan ไปต่อแถว ตม. ได้เลยค่ะ
ผ่าน ตม. มาแบบงงๆ พุ่งตรงไปรับกระเป๋ารีบเข้าเมืองกันดีกว่าจร้า เราเลือกเข้าเมืองโดยใช้ Taxi เพราะกระเป๋าใบใหญ่มาก บอกแล้วว่าเตรียมตัวมาดี แอบถามจากเพื่อนชาวจีนมาก่อนเพราะกลัวโดนหลอกว่าค่า taxi ประมาณเท่าไหร่ นางบอกว่าประมาณ 150 หยวน โอเคได้ราคาตามนั้น ไปค่ะเข้าเมืองกัน คนขับรถ Taxi ที่นี่สื่อสารภาษาอังกฤษได้น้อยมาก ดีที่มีคนขับอีกคันมาช่วยคุยรอดไปค่ะ
วันแรกตาม plan คร่าวเราจะไปสวนจิงซาน เพื่อถ่ายพระอาทิตย์ตกกับหลังคาพระราชวังต้องห้ามค่ะ แต่...ออกจากสนามบินมาตอน 17.00 น. พระอาทิตย์ตกไปถึงไหนต่อไหนแล้ว มืดอย่างกับบ้านเราตอนหนึ่งทุ่ม ก็เลยตัดสินใจ check in แล้วออกไปเดินเล่นตามถนนดื่มด่ำบรรยากาศหนาวๆ ซักหน่อย เริ่มจากหาอะไรกินที่ถนนหวังฟู่จิง ถนนที่หนักสือทุกเล่มและกระทู้รีวิวมักจะพูดถึงกัน ที่นี่มีอาหารแปลกๆ ขายเต็มเลยค่ะอย่างเช่น แมงป่องทอด

เริ่มรูปแรกของกระทู้นี้ก็น้ำลายไหลเลยใช่มั้ยคร้า ใครได้มาปักกิ่งอย่างลืมมาลองนะคร้า ลองแล้วบอกด้วยนะเป็นไงบ้าง เราลดๆ เนื้อสัตว์อะค่ะช่วงนี้ 555

ล้อเล่นนะคะ จริงๆ ถนนเส้นนี้มีอาหารให้เลือกเยอะแยะเลยค่ะ ใครอยากลองก็ลองได้เลย เราเองลองกินปลาหมึกปิ้งเสียบไม้ไป ก็แปลกลิ้นดีค่ะ สุดท้ายก็ไปจบที่ McDonald's

สำหรับเราถนนหวังฟู่จิงตอนกลางคืนก็ได้บรรยากาศดีค่ะ แปลกตาดีได้เห็นอาหารทานเล่น ทานจริง ชิมบ้าง ดูเฉยๆ บ้าง เดินเล่นถ่ายรูปสนุกดีค่ะ

อิ่มท้องแล้ว แต่ยังไม่ง่วงเลยอะ ยังไงดีเที่ยวไหนล่ะ

ร้านค้าก็เริ่มปิด subway ก็ไม่รู้ปิดกี่โมง (ลืมหาข้อมูลมาก่อน)

เลยตัดสินใจนั่ง subway ไปใกล้ๆ ที่พักก่อนละกัน เราพักโรงแรมแถวๆ Guomao Station: Line1 (สายสีแดง) & Line10 (สายสีฟ้า)

เปิดหนังสือรัวๆ สลับกับเปิด Google Map และ Application Beijing Subway (อันนี้โหลดฟรี ไปโหลดกันโลด) ประมวลผลเสร็จได้พิกัดต่อไปคือ CCTV ค่ะ

จากข้อมูลในหนังสือท่องเที่ยว CCTV อยู่ใกล้ๆ Jintaixizhao station ซึ่งจาก Beijing Station App บอกว่านั่ง Subway Line10 ไปแค่ 1 station เองคร้า แล้วก็เดินไม่ไกลจากสถานีมากนักค่ะ

ที่นี่ในหน้าหนาวจะมืดเร็ว ใครมาช่วงเดียวกันนี้กลางคืนยังไม่ง่วงก็มาถ่ายรูปที่นี่ได้นะคร้า ได้รูปแนว street กันไปคร้า ได้รูปนิดๆ หน่อยๆ สำหรับวันแรกถือว่าโอเคเลยค่ะ กลับไปนอนเอาแรงกันก่อนดีกว่า อ่อแล้วต้อง plan เที่ยวพรุ่งนี้ด้วย plan กันวันต่อวันนี่แหละตื่นเต้นดีค่ะ

สำหรับเช้าวันที่ 2 เราเริ่ม start trip ตอนประมาณ 9 โมงชิวๆ ได้ Ice Caramel Macchiato มา 1 แก้วรู้สึกพร้อมผจญภัย555 อย่างกับจะไปออกรบ วันนี้พิกัดแรกคือ Tian Tan Temple of Heaven Park เอาจริงๆ เราเที่ยวแบบตามใจตัวเองอยากไปไหนก็ไป แต่ละวันจะมี check point อยู่ไม่กี่ที่ เพราะอยากใช้เวลาแต่ละที่ถ่ายรูปเดินเล่นไปเรื่อยๆ เช่นวันนี้ก็เริ่มจากที่นี่ก่อน เปิดหนังสือเพื่อหา Subway Station พร้อมกับเปิด Beijing Station App เพื่อหาข้อมูลการเดินทางค่ะ
ลืมบอกไปเราเลือกใช้บัตร IC Card ในการเดินทาง Subway เพราะคิดว่าสะดวกดี สามารถเติมเงินที่ Ticket Office ของแต่ละ station ได้เลย แต่ต้องระวังบัตรหายนะคะเพราะจะมีค่ามัดจำบัตรประมาณ 20 หยวนซึ่งจะได้คืนตอนที่คืนบัตรแล้วค่ะ หน้าตาของ IC card ก็จะคล้ายๆ บัตร Rabbit บ้านเราค่ะ
Tian Tan Temple of Heaven Park เดินทางมาด้วย Subway Line5 สถานี Tiantandongmen ทางออก A1 เมื่อมาถึง Station เดินออกตามทางออก ขึ้นมาปุ๊ปก็งงปั้ปค่ะไปทางไหนล่ะทีนี้ จะเปิด Google Map ก็ไม่ได้เพราะ No Service ทุกครั้งที่ขึ้นมาจาก Subway ต้องให้เวลา IPhone จับสัญญาณหน่อยนะคะ อย่าเพิ่งใจร้อนคร้า…แต่เราใจร้อนเลยไปสะกิดถามผู้หญิงที่เดินอยู่แถวๆ นั้น เค้าดูตกใจและพยายามบอกว่า “ฉันพูดภาษาอังกฤษไม่ได้” อีนี่ก็นึกในใจประมาณว่า “เออ...ตรูก็เหมือนกันเฟ่ย” พร้อมเปิดกางหนังสือแล้วก็ชี้ๆ ว่าจะไปที่นี่ๆ บอกหน่อยไปทางไหน เลี้ยวซ้ายหรือเลี้ยวขวาดี แต่นางอารยะขัดขืนมากประมาณว่า ‘อย่ามายุ่งกะช้าน” 555 สงสารอะหน้าตาดูตกใจมาก เราเลยเดินๆ ต่อไปเองแล้วก็แว๊บไปเห็นป้ายอยู่ที่พื้นว่า Turn Right to Temple of Heaven ดีใจยิ้มปริ่ม และแล้วจังหวะที่กำลังจะเลี้ยวขวานั้นเอง ผู้หญิงคนตะกี้นางก็มาสะกิด และกวักมือให้ไปทางซ้าย OMG!!! ตั้งสติได้มีน้ำใจเดินมาบอกทางลัดให้ด้วย เดินตามไปทางซ้ายเลยจร้า ระหว่างเดินแอบถ่ายรูปมาด้วย ประมาณว่าใจดีจังคนนี้งี้ๆ เดินไปซักพักก็ไม่เห็นวี้แววทางเข้าหรือ Ticket Office เลยๆ ตัดสินใจไปสะกิดตำรวจที่กำลังจอดจักรยานแถวนั้น แล้วก็พบว่าต้องย้อนกลับไปทางเดิมจร้า เพราะจริงๆ จากสถานีเลี้ยวขวาเดินอีกนิดก็ถึงแล้ว 555

ด้วยความเหนื่อยตอนแรกก็โกรธอยู่เหมือนกันนะ แต่พอหายเหนื่อยก็คิดได้ว่าถ้าเดินอยู่ในกรุงเทพแล้วมีคนมาถามทางไป ICON SIAM เราก็คงบอกทางไม่ถูกเหมือนกัน คงพูดได้แต่ว่าเปิด Google Map สิ555
สถานที่เที่ยวส่วนใหญ่จะมี Ticket Office อยู่ด้านหน้าทางเข้าเลย สังเกตง่ายมากค่ะ ส่วน Rate ค่าเข้าสถานที่ท่องเที่ยวแต่ละที่จะมีป้ายภาษาอังกฤษอธิบายตรง Ticket Office บอก เนื่องจากแต่ละช่วง Low Season หรือ High Season ราคา Ticket ก็ไม่เท่ากันค่ะ ไปถึงปุ๊ปอ่านกันเอาเองโล๊ด ส่วนเราเดินไปถามเลยจร้า How much? How much?

ซื้อตั๋วเรียบร้อย พร้อมเข้าไปลั้ลลาแล้วจร้า หลังตั๋วเกือบทุกที่จะมีแผนที่บอกเป็นรูป ดูออกบ้างดูไม่ออกบ้าง บางที่โชคดีหน่อยมีภาษาอังกฤษกำกับ แต่บางที่ต้องสังเกตป้ายบอกทางเพิ่มค่ะ ลุยกันดีกว่าค่ะ ป่ะๆ...

ผ่าน Ticket check เดินเข้ามาหน่อยตามทางเดิน ก็เจอกับอะไรที่เราว่าแปลกตานะ คือจะมีอากงอาม่าเปิดวงเล่นไพ่กันริมระเบียงทางเดินเต็มไปหมด แลดูจริงจังมากด้วยค่ะ อยากรู้เหมือนกันว่าทำไมเค้ามาเล่นกันตรงนี้ แต่ก็ไม่รู้จะถามใคร

หอบูชาฟ้าเทียนถาน ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก ในปี ค.ศ. 1998 เป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่ใครมาปักกิ่งก็ต้องแวะมา check in ที่นี่ค่ะ เป็นสถานที่ที่จักรพรรดิ์แห่งราชวงศ์หมิงใช้เป็นที่บวงสรวงเทพยดา เพื่อขอพรให้ฝนตกตามฤดูกาลค่ะ

เดินตามระเบียงมาเรื่อยๆ ผ่านประตูทางเข้า เข้ามาก็เจอกับ "ตำหนักฉีเหนียนเตี้ยน หรือตำหนักสักการะ" เป็นสถานที่บวงสรวงให้พืชพันธุ์ธัญญาหารอุดมสมบูรณ์

สถาปัตยกรรมของตำหนักนี้ จะใช้รูปทรงกลมเป็นต้นแบบ เพราะเชื่อว่า วงกลมหมายถึงโลกมนุษย์ สร้างเป็นแบบอาคารไม้ทรงกระบอกสูง 40 เมตร ซ้อนขึ้นไป 3 ชั้น หลังคาสีน้ำเงินเข้มซึ่งหมายถึงสวรรค์

ภายในอาคารมีเสากลางขนาดใหญ่ 4 ต้นแทน 4 ฤดูกาล ภายนอกชั้นแรกมีเสา 12 ต้นแทนเดือนทั้ง 12 เดือน และมีเสาอีก 12 ต้นอยู่ชั้นนอกสุดแทน 12 ชั่วยาม

ฝ้าเพดานเป็นรปมังกร 9 ตัว ภายในมีบัลลังก์มังกรและป้ายจารึกเทพบิดรผานกู่ตั้งอยู่ รอบๆ ตำหนักก็จะมีเหล่านักท่องเที่ยวมาเที่ยวถ่ายรูปกระจายอยู่เต็มไปหมดเลยค่ะ ยากมากที่เราจะตั้งกล้องถ่ายรูป แล้วก็หามุมโล่งๆ เก็บภาพสวยๆ ของที่นี่ค่ะ

ระหว่างทางเดินจากตำหนักสักการะไปตำหนักเทพสถิต ต้องผ่าน "สะพานตันปี้" ระหว่างทางมีรูปถ่ายมุมสวยๆ ของที่นี่ในฤดูกาลอื่นให้เราได้ดูไปเพลินๆ ด้วยนะคะ เราเองก็เดินไปแวะถ่ายรูปเล่นไปเรื่อย

เดินไปจนสุดปลายสะพานก็จะเจอกับ "ตำหนักเทพสถิต" เป็นอาคารทรงกลมสูง 19 เมตร ล้อมรอบด้วยกำแพงทรงกลมที่สามารถสะท้อนเสียงไปอีกฝั่งของกำแพงได้
ชื่อตำหนักเทพสถิตมาจากการที่ตำหนักแห่งนี้เป็นที่ประดิษฐานแผ่นป้ายของเทพเจ้าต่างๆ ที่ใช้ในการสักการะบวงสรวงฟ้าหรือสวรรค์

จากตำหนักเทพสถิต เราจะมองเห็น "หยวนซิวกาน หรือแท่นบวงสรวงฟ้า" ซึ่งเราสารภาพตามตรงค่ะว่าเดินไปดูต่อไม่ไหว เพราะหนาวและเมื่อยมากเลยชมจากไกลๆ อีกทั้งยังหิวแล้วด้วยค่ะ ขอหาพิกัดของกินก่อน เที่ยงนี้กินไรกันดี
เปิดหนังสือวนๆ ไป ได้ข้อสรุปสำหรับมื้อเที่ยงเราเลือกร้านนี้ "ร้านมิสเตอร์ลี" ในหนังสือแนะนำสาขา Subway Line2 Beijing Railway Station ทางออก A สาขานี้มีห้องน้ำสะอาด แล้วก็กว้างขวางเหมาะแก่การวางกระเป๋าสัมภาระรุงรังของเราค่ะ

ร้านนี้โด่งดังมาจากเมนูบะหมี่เนื้อ แล้วก็มีเมนูอื่นเช่น ข้าวไก่ผัดซอสเห็ด ข้าวมันไก่ (ไก่จะเสิร์ฟแบบเย็นๆ นะคะ ถ้าไม่ชอบทานแบบเย็นๆ เลี่ยงเมนูนี้ค่ะ)

อิ่มท้องแล้วพร้อมลุย ตามไปเที่ยวต่อกันได้ใน Amazing in Beijing Part2 นะคะ เร็วๆ นี้ค่ะ
[CR] Amazing in Beijing Part1: CCTV - Wang Fu Jing Street - Tian Tan Temple of Heaven Park - Mr.Lee
เริ่มทริปนี้วันแรกกันค่ะ เราเดินทางโดยการบินไทย TG614 ออกจากกรุงเทพ 10.10 น. กว่าเครื่องจะขึ้นก็โดยป้ายยาตาม counter เครื่องสำอางใน duty free มานิดหน่อย บนเครื่องมีจานร้อนเสิร์ฟด้วยนะคะ แต่ด้วยความที่ก่อนขึ้นเครื่องจัดเต็มมาก่อนแล้ว เลยเชิดใส่อาหารบนเครื่องนึกในใจ ไม่เห็นจะอร่อยเลย
ประมาณ 15.30 น. เวลาประเทศจีน เครื่องก็ landing ค่ะ เดินออกจากเครื่องก็สัมผัสได้ถึงอากาศหนาว แต่เตรียมใจมาแล้วค่ะว่าเลขตัวเดียวแน่นอน ชิวๆ (คิดว่างั้นนะ) เดินเข้ามาในตัวอาคารมุ่งหน้าตรงไป ตม. แล้วก็สะดุดกึกกับกองผู้โดยสารต่างชาติ ยืนต่อคิวหน้าตู้อะไรซักอย่าง มันคือ finger print ค่ะทุกคนต้อง scan ด้วยตัวเองค่ะ ไม่ยากเลยเพราะพอเราแหย่ passport เข้าเครื่องๆ ก็จะพูดกับเราเป็นภาษาไทย เปลี่ยนหน้ากังวลให้ดูฉลาดได้เลยค่ะ ไม่ยาก จากนั้นก็เอากระดาษจากเครื่อง finger scan ไปต่อแถว ตม. ได้เลยค่ะ
ผ่าน ตม. มาแบบงงๆ พุ่งตรงไปรับกระเป๋ารีบเข้าเมืองกันดีกว่าจร้า เราเลือกเข้าเมืองโดยใช้ Taxi เพราะกระเป๋าใบใหญ่มาก บอกแล้วว่าเตรียมตัวมาดี แอบถามจากเพื่อนชาวจีนมาก่อนเพราะกลัวโดนหลอกว่าค่า taxi ประมาณเท่าไหร่ นางบอกว่าประมาณ 150 หยวน โอเคได้ราคาตามนั้น ไปค่ะเข้าเมืองกัน คนขับรถ Taxi ที่นี่สื่อสารภาษาอังกฤษได้น้อยมาก ดีที่มีคนขับอีกคันมาช่วยคุยรอดไปค่ะ
วันแรกตาม plan คร่าวเราจะไปสวนจิงซาน เพื่อถ่ายพระอาทิตย์ตกกับหลังคาพระราชวังต้องห้ามค่ะ แต่...ออกจากสนามบินมาตอน 17.00 น. พระอาทิตย์ตกไปถึงไหนต่อไหนแล้ว มืดอย่างกับบ้านเราตอนหนึ่งทุ่ม ก็เลยตัดสินใจ check in แล้วออกไปเดินเล่นตามถนนดื่มด่ำบรรยากาศหนาวๆ ซักหน่อย เริ่มจากหาอะไรกินที่ถนนหวังฟู่จิง ถนนที่หนักสือทุกเล่มและกระทู้รีวิวมักจะพูดถึงกัน ที่นี่มีอาหารแปลกๆ ขายเต็มเลยค่ะอย่างเช่น แมงป่องทอด
ลืมบอกไปเราเลือกใช้บัตร IC Card ในการเดินทาง Subway เพราะคิดว่าสะดวกดี สามารถเติมเงินที่ Ticket Office ของแต่ละ station ได้เลย แต่ต้องระวังบัตรหายนะคะเพราะจะมีค่ามัดจำบัตรประมาณ 20 หยวนซึ่งจะได้คืนตอนที่คืนบัตรแล้วค่ะ หน้าตาของ IC card ก็จะคล้ายๆ บัตร Rabbit บ้านเราค่ะ
Tian Tan Temple of Heaven Park เดินทางมาด้วย Subway Line5 สถานี Tiantandongmen ทางออก A1 เมื่อมาถึง Station เดินออกตามทางออก ขึ้นมาปุ๊ปก็งงปั้ปค่ะไปทางไหนล่ะทีนี้ จะเปิด Google Map ก็ไม่ได้เพราะ No Service ทุกครั้งที่ขึ้นมาจาก Subway ต้องให้เวลา IPhone จับสัญญาณหน่อยนะคะ อย่าเพิ่งใจร้อนคร้า…แต่เราใจร้อนเลยไปสะกิดถามผู้หญิงที่เดินอยู่แถวๆ นั้น เค้าดูตกใจและพยายามบอกว่า “ฉันพูดภาษาอังกฤษไม่ได้” อีนี่ก็นึกในใจประมาณว่า “เออ...ตรูก็เหมือนกันเฟ่ย” พร้อมเปิดกางหนังสือแล้วก็ชี้ๆ ว่าจะไปที่นี่ๆ บอกหน่อยไปทางไหน เลี้ยวซ้ายหรือเลี้ยวขวาดี แต่นางอารยะขัดขืนมากประมาณว่า ‘อย่ามายุ่งกะช้าน” 555 สงสารอะหน้าตาดูตกใจมาก เราเลยเดินๆ ต่อไปเองแล้วก็แว๊บไปเห็นป้ายอยู่ที่พื้นว่า Turn Right to Temple of Heaven ดีใจยิ้มปริ่ม และแล้วจังหวะที่กำลังจะเลี้ยวขวานั้นเอง ผู้หญิงคนตะกี้นางก็มาสะกิด และกวักมือให้ไปทางซ้าย OMG!!! ตั้งสติได้มีน้ำใจเดินมาบอกทางลัดให้ด้วย เดินตามไปทางซ้ายเลยจร้า ระหว่างเดินแอบถ่ายรูปมาด้วย ประมาณว่าใจดีจังคนนี้งี้ๆ เดินไปซักพักก็ไม่เห็นวี้แววทางเข้าหรือ Ticket Office เลยๆ ตัดสินใจไปสะกิดตำรวจที่กำลังจอดจักรยานแถวนั้น แล้วก็พบว่าต้องย้อนกลับไปทางเดิมจร้า เพราะจริงๆ จากสถานีเลี้ยวขวาเดินอีกนิดก็ถึงแล้ว 555
สถานที่เที่ยวส่วนใหญ่จะมี Ticket Office อยู่ด้านหน้าทางเข้าเลย สังเกตง่ายมากค่ะ ส่วน Rate ค่าเข้าสถานที่ท่องเที่ยวแต่ละที่จะมีป้ายภาษาอังกฤษอธิบายตรง Ticket Office บอก เนื่องจากแต่ละช่วง Low Season หรือ High Season ราคา Ticket ก็ไม่เท่ากันค่ะ ไปถึงปุ๊ปอ่านกันเอาเองโล๊ด ส่วนเราเดินไปถามเลยจร้า How much? How much?
ชื่อตำหนักเทพสถิตมาจากการที่ตำหนักแห่งนี้เป็นที่ประดิษฐานแผ่นป้ายของเทพเจ้าต่างๆ ที่ใช้ในการสักการะบวงสรวงฟ้าหรือสวรรค์
เปิดหนังสือวนๆ ไป ได้ข้อสรุปสำหรับมื้อเที่ยงเราเลือกร้านนี้ "ร้านมิสเตอร์ลี" ในหนังสือแนะนำสาขา Subway Line2 Beijing Railway Station ทางออก A สาขานี้มีห้องน้ำสะอาด แล้วก็กว้างขวางเหมาะแก่การวางกระเป๋าสัมภาระรุงรังของเราค่ะ
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้