ประเด็นที่ต้องพูดถึงกัน การตกรอบมันน่าช็อก แต่ลองมาพิจารณากันแบบแฟร์ๆ ว่าเราเห็นอะไรบ้างกับการตกรอบครั้งนี้ !!? 🤔



ประเด็นของทีมชาติไทย ในซูซูกิ คัพ มีหลายประเด็นที่ต้องพูดถึงกัน การตกรอบมันน่าช็อก แต่ลองมาพิจารณากันแบบแฟร์ๆ ว่าเราเห็นอะไรบ้างกับการตกรอบครั้งนี้

1) รู้จักคู่แข่งน้อยเกินไป

คนยิงประตูตีเสมอ 1-1 ให้มาเลเซีย ในเกมที่ราชมังฯ คือ ไซยามี่ ซาฟารี่ แบ็กขวาเบอร์ 4  ในจังหวะนั้น ซาฟารี่ลากบอลมาง่ายๆ 20 หลา เลี้ยงเดี่ยวๆ สบายๆ ไม่มีใครเข้าไปกดดัน หรือขวางทางแม้แต่คนเดียว แบ็กซ้ายกรกช ถอยอย่างเดียว รับลึก ส่วน มิดฟิลด์ตัวกลางก็ไม่มีใครไล่บอล ทำให้ซาฟารี่ ยิงตรงเส้นกรอบเขตโทษเข้าไปง่ายๆ

คำถามคือ เราไม่รู้หรอว่า ซาฟารี่ ทักษะยิงประตูถือว่าดีมากๆ ในเอเชียนเกมส์ แมตช์ที่มาเลเซีย แพ้บาห์เรน เขายิงประตูจุดเดียวกันนี้เป๊ะเลยเข้าไปอย่างสวยงามมาแล้ว ขณะที่ในลีกกับสโมสรเซลังงอร์ เขาได้ถึงยิง 5 ประตู จากการลงแค่ 13 เกม มันเห็นเลยว่าความคมในการจบสกอร์ มันคือจุดขายของเขาชัดๆ

แล้วนี่ เรายังกล้าๆ จะปล่อยให้ซาฟารี่ ยิงเต็มๆข้อแบบนี้ แล้วจะไปโทษใครได้ ถ้าเป็นในกีฬาบาส ก็เหมือนคุณปล่อยสตีเฟ่น เคอร์รี่ ชู้ตสามแต้มโล่งๆ ไม่เพรส ไม่กดดัน โอกาสเข้ามันก็สูง

ถ้าหากทีมงานทำการบ้านตัวผู้เล่นละเอียดกว่านี้ นักเตะจะได้รับคำสั่งมาแน่ๆ ว่าระวังการยิงไกล แต่นี่ไม่ใช่เลย ทุกคนถอยลึกหมด ไม่มีใครระวังทีเด็ดของคู่แข่งเลย

เช่นเดียวกับ นอร์ชารูล กองหน้าหมายเลข 9 ของมาเลเซีย นี่คือหัวหอกตัวความหวังอันดับ 1 ของทีม ถ้าดูในรอบแรก เราจะเห็นว่า ด้วยความที่อายุเยอะแล้ว (32) นอร์ชารูล ไม่มีสปรินท์ ปราดเปรียวอะไร แต่มักจะอยู่ถูกที่ถูกเวลา และใช้ความคม ของตัวเองในการปิดบัญชี

ประตูที่ยิงลาว และเมียนมาร์ ได้ เขาได้ประตูจากความผิดพลาดของแนวรับคู่แข่งทั้งนั้น ประกบห่างบ้าง ไม่ยอมจับตัวบ้าง

แต่เกมที่แพ้เวียดนาม 2-0 นัดนั้นนอร์ชารูลทำอะไรไม่ได้เลย นั่นเพราะเวียดนาม มีตัวประกบติดแบบตามไปไหนไปด้วย พอโดนคนเกาะแกะ นักเตะที่เคลื่อนที่ไม่เร็วอย่างนอร์ชารูล ก็หมดพิษสง เกมกับเวียดนามเขาไม่มีโอกาสยิงแม้แต่หนเดียว

นัดที่เจอกับไทย ประตูตีเสมอ 2-2 นอร์ชารูล ยืนโล่งในเขตโทษ ไม่มีกองหลังสักตัวที่คิดจะไปประกบเขาเลย พอเขาได้บอลมีเวลาเป็นวินาที ก่อนจะกลับตัวและซัดเข้าไปแบบง่ายมากๆ คำถามคือ เราปล่อยโล่งขนาดนั้นได้อย่างไร ในเมื่อแค่เข้าไปประกบหน่อย นอร์ชารูล ก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว

2 ประตูที่เสีย ไม่ใช่ลูกที่ป้องกันไม่ได้ โอเคว่าคู่แข่งยิงคม เราต้องให้เครดิตเขาส่วนหนึ่ง แต่ถ้าเรามีข้อมูลมากพอ เราควรรู้ว่า มีวิธีสกัดกั้นที่ดีกว่านั้น ไม่ใช่ปล่อยให้เขาได้ซัดโล่งๆรอโดนแบบนั้น

------------------------------------------

2) กลยุทธ์ของราเยวัช ไม่เหมาะกับเวลา

มิโลวาน ราเยวัช ได้รับการแต่งตั้ง เพื่อยกระดับฟุตบอลไทย จากเจ้าอาเซียน ไปสู่ระดับเอเชีย ไอเดียของสมาคมที่เลือกโค้ชคนนี้ เพราะเคยพาทีมไปบอลโลกมาแล้ว ดังนั้นก็ควรมีแท็กติกดีๆ ให้ไทยรับมือกับชาติใหญ่ๆในเอเชียได้ดีขึ้น

ราเยวัช มีสไตล์การคุมทีม ที่เน้นการรับลึก ไม่ต้องบุกถ้าไม่จำเป็น ใช้เกมสวนกลับที่มีประสิทธิภาพเจาะเข้าทำคู่แข่ง

ในยุคของเกียรติศักดิ์ เสนาเมือง ใช้เกมรุกเต็มรูปแบบเข้าโจมตีคู่แข่ง ผลปรากฏว่า เมื่อคุณไปเจอกับทีมแกร่งๆแล้วบุกเข้าแลก ก็เลยโดนยิงรัวๆ แพ้ 3-0,4-0 ดังนั้นราเยวัช จึงใช้แผนการเล่นแบบเพลย์เซฟ ระมัดระวังตัว เล่นเกมรับให้ลึกไว้ก่อน ชวนให้อีกฝ่ายอึดอัดในการเข้าทำไปด้วย

วิธีการนี้ ใช้ได้ดี ในการเจอกับคู่แข่งที่คุณภาพสูงกว่า ในเกมกับตรินิแดด แอนด์ โตเบโก ที่สภาพทีมโดยรวมเหนือกว่าเรา เราชนะ 1-0 เช่นกัน ในการเจอกับเคนย่า ที่อันดับโลกก็เหนือกว่าเรา เราก็ชนะ 1-0 ขณะที่ในเกมกับสโลวะเกีย ที่มีนักเตะชั้นดียุโรป เราก็แพ้แบบไม่น่าเกลียด 2-3

แต่กับซูซูกิคัพ นั่นมันคนละเรื่องกันเลย สถานะของไทย เราคืออันดับ 1 ในภูมิภาค มันไม่ใช่เวที ที่เราจะมาแพ็กเกมรับมากขนาดนี้ คือคู่แข่ง เขาไม่ได้น่ากลัวขนาดนั้น ถ้าคนติดตามบอลอาเซียน จะรู้ดีว่า นักเตะย่านนี้ โดนกดดัน โดนเพรสซิ่งหน่อยก็เป๋แล้ว ครองบอลได้ไม่นาน

อย่างเราเจอญี่ปุ่น พอเราเพรสซิ่ง เราบีบ แล้วญี่ปุ่นไม่เสียบอลสักที เขาถ่ายบอลไปมาอย่างเร็ว จนเราเหนื่อยในการไล่บอลไปเอง คือนั่นมันเคสญี่ปุ่นก็กรณีหนึ่ง แต่กับอาเซียน แค่เราไล่บ้าง กดดันหน่อย พวกเขาก็ไปไม่เป็นแล้ว

ในซูซูกิคัพ 2 ครั้งหลังสุด ที่ไทยได้แชมป์ เป็นตัวอย่างที่ดี ว่าพอเราเล่นเดินหน้าเกมรุก กดดันเพรสซิ่งใส่เขาบ้าง คู่แข่งก็เสียท่าทุกที จำประตูที่เราขึ้นนำอินโด ในนัดชิงปี 2016 ได้ไหมครับ สิโรจน์ ฉัตรทอง ไล่บี้จนกองหลังอินโดฯ ลนลานไปหมด ส่วนประตูขึ้นนำ กองหลังเขา ก็เคลียร์ส่งเดชให้พ้นๆ แต่มาโดนสิโรจน์เข้าประตูไป

มันหมายความว่า เวลาเรามาเจอกับทีมระดับอาเซียนที่อ่อนกว่าเรา เราจะมาแพ็กเกมรับไม่ได้ จะอ้างว่าซ้อมในการเจอทีมใหญ่ ในเอเชียนคัพ มันเป็นเหตุผลที่ไม่เข้าท่า คุณจะเอามาเลเซีย , ฟิลิปปินส์ หรือ สิงคโปร์ ไปเป็นตัวแทน ยูเออี กับบาห์เรนหรอ?

ที่สำคัญ ศักดิ์ศรีในภูมิภาคนี้ก็มีความหมาย เราจะมาเล่นอุดทำไม ในเมื่อเราคือเบอร์ 1 ของภูมิภาค

เรารู้กันดีว่า ในโลกฟุตบอล มีแนวทางการเล่น 2 แบบ คือ เกมรุก กับเกมรับ คือถ้าคุณเลือกสายเกมรับ สิ่งเดียวที่แฟนบอลจะยอมรับได้ คือ เล่นเกมรับแล้วทีมประสบความสำเร็จได้แชมป์

แต่ถ้าเล่นเกมรับ แล้วไม่ประสบความสำเร็จอีก แฟนๆก็จะตั้งคำถามแน่นอน ว่าแบบนี้ เล่นบุกไปเลยดีกว่าไหม อย่างน้อยก็ได้ใจแฟนบอล

ปัญหาของราเยวัชที่เราเห็นคือเขามี Plan A แต่ไม่มี Plan B หรือ C เพื่อรับมือกับคู่แข่งที่แตกต่างกัน

------------------------------------------

3) ทีมไทยขาดเจเนเรชั่นใหม่

ชาติอื่นๆ ในอาเซียน รู้ดีว่า เจเนเรชั่น นักเตะในยุคปัจจุบัน ไม่มีใครสู้ทีมชาติไทยได้

จะเอากี่คนมาก็เถอะ มาเจอธีรศิลป์ ,ชนาธิป ,ธีราทร ก็โดนเก็บเรียบหมด ดังนั้นเมื่อยุคนี้สู้ไม่ได้ ก็ยอมไปก่อน แล้วไปพัฒนานักเตะเยาวชนขึ้นมา เพื่อชนะทีมชาติไทยในยุคต่อไป

มาเลเซีย ที่เพิ่งชนะไทยไป รู้ไหมครับ ว่าพวกเขาดึงตัวนักเตะจากทีม u-23 ในเอเชียนเกมส์ มากี่คนติดทีมชาติชุดใหญ่ คำตอบคือ 7 คนครับ  ทำให้มาเลย์ มีส่วนผสมของนักเตะตัวเก๋า พวกนอร์ชารูล กับ ฟาริซาล กับกลุ่มแข้งหน้าใหม่ อย่าง ไซยามี่ ซาฟารี่ ที่ยิงไทย (20 ปี) หรือ โมฮามาดู ซุมาเร่ห์ แข้งมาเลย์เชื้อสายแกมเบีย อายุ 24 ปี

ส่วนคนอายุน้อยสุดของมาเลย์คือ อัคยาร์ ราชี้ด อายุ 19 ปีครับ

เช่นเดียวกับเวียดนาม พวกเขาใช้ทีมชุด u-23 เป็นแกนหลักของทีมชาติชุดใหญ่ไปแล้ว ตัวที่ผลงานเด่นๆใน เอเชียนเกมส์ และ ชิงแชมป์ u-23 เอเชีย อย่าง เหงียน คอง เฟือง และ กวางไห่ นำทัพ

นักเตะเวียดนามชุดเข้าชิงซูซูกิคัพปีนี้ มีถึง 15 คน ที่มาจากชุด u-23 นั่นแปลว่าเวียดนามมีการถ่ายเลือดอย่างเต็มตัวแล้ว พวกเขาเดินหน้าไปสู่ยุคใหม่

แล้วกับทีมชาติไทยล่ะ? มีกี่ตัว จากชุดเอเชียนเกมส์ พัฒนาตัวเองมาสู่ทีมชาติชุดใหญ่ในซูซูกิคัพครั้งนี้  

คำตอบคือ 1 คน นั่นคือ ศุภชัย ใจเด็ด (ซึ่งก็เป็นตัวสำรองของชุดเอเชียนเกมส์ด้วย) มันแปลว่า เจเนเรชั่นของไทย มันขาดการพัฒนา คือไม่มีดาวรุ่งคนไหน ที่ดีพอจะสอดแทรกกับทีมชุดใหญ่ได้เลย

ลองคิดดู ทีมชาติไทย ชุด u-19 ในปี 2012 ยุคของน้าฉ่วย กับอจ.อาจหาญ เรามีนักเตะอย่าง ชนาธิป ,นฤบดินทร์ วีรวัฒโนดม, ฐิติพันธ์ พ่วงจันทร์ ,ธนบูรณ์ เกษารัตน์ ,ภิญโญ อินพินิจ ฯลฯ ก้าวขึ้นมาพร้อมๆกัน เพื่อแบกความหวังของประเทศในยุคต่อไป

แล้วในยุคนี้ล่ะ เมื่อกวาดตาไปมองนักเตะรุ่นใหม่ของไทย มีใครที่เราฝากความหวังไว้ได้บ้าง?

เรื่องนี้ น่าห่วงมากกว่าความพ่ายแพ้ในเกมนี้อีก เพราะถ้าไม่มีเจเนเรชั่นใหม่ก้าวขึ้นมา จะกลายเป็นไทย ที่โดนเวียดนาม หรือมาเลย์ กดหัวเอาไว้ ในยุคต่อไปหรือไม่ นี่เป็นเรื่องที่น่าคิด

------------------------------------------

4) ไม่มี 4 แข้งสตาร์ไม่ใช่ข้ออ้าง

การขาดหายไปของกวินทร์ ,ชนาธิป, ธีรศิลป์ และ ธีราทร แน่นอนว่าทำให้เกมของไทย ไม่มีประสิทธิภาพเท่าเดิม ศักยภาพของทีมไทยในซูซูกิคัพ อยู่ที่ 70% แต่ถ้าได้ 4 ตัวหลักมาครบ ก็จะเป็น 100% เต็ม

แต่คำถามคือ 70% ของเราไม่เพียงพอ จะคว้าแชมป์อาเซียนหรอ? คำตอบคือไม่ใช่ นักเตะทีมชุดนี้ดีพอที่จะไปถึงแชมป์ได้สบายๆ ศักยภาพโดยรวม เราเหนือกว่าคู่แข่งทุกกระบวนท่า แต่เราก็ทำไม่ได้

เรามีคู่เซ็นเตอร์ที่เล่นร่วมกันมาเป็นปี อย่าง เฉลิมพงษ์ กับ พรรษา , เรามีกองกลางที่ฟอร์มดีมากๆอย่างสรรวัชญ์ เดชมิตร ขณะที่กองหน้า อดิศักดิ์ ไกรษร กับศุภชัย ใจเด็ด ก็มีศักยภาพเหนือกว่าคู่แข่งชาติไหนๆ

การไม่เรียก กวินทร์ , ชนาธิป ,ธีราทร และ ธีรศิลป์ ของราเยวัชเป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว เหตุผลแรก นักเตะเหล่านั้นติดภารกิจกับสังกัดยังไงก็มาไม่ได้ และ เหตุผลอีกข้อ คือมันจะเป็นโอกาสดี ให้ 23 ตัวที่ถูกเรียกมา มีความมั่นใจเต็มเปี่ยม ว่าต่อให้ ไร้ 4 สตาร์ดัง ทีมก็ยังสามารถไปถึงแชมป์อาเซียนได้

แต่ในเมื่อสุดท้าย ทีมชาติไทยไม่สามารถเป็นแชมป์ได้ ทำให้แฟนบอลจำนวนมาก ก็รู้สึกว่า กูว่าแล้ว ว่าไม่มี 4 ตัวหลัก มันก็ไปไม่รอดล่ะวะ ขณะที่นักเตะในทีมชุดซูซูกิคัพ ก็จะโดนบั่นทอนกำลังใจ ว่าพอไร้สตาร์ดัง ก็ไม่สามารถพาทีมประสบความสำเร็จได้

คราวนี้ ความหวังก็จะถูกฝากเอาไว้ที่สตาร์ทั้ง 4 คน มากขึ้น ในรายการเอเชียนคัพ กลายเป็นแรงกดดันโดยใช่เหตุ

------------------------------------------

5) สมยศควรโดนปลดไหม?

คำตอบคือ ไม่

ไม่มีใครพอใจ ที่เห็นฟุตบอลไทย กลับมาอยู่ในระดับอาเซียนอีกครั้ง แทนที่จะข้ามไปสู่ระดับเอเชียได้แล้ว แต่การเปลี่ยนแปลงนายกฯสมาคม ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเรื่องนี้

ในแง่การบริหาร สมยศ ทำได้ดีมากแล้ว การบริหารงานมีความเป็นมืออาชีพ มีเกมอุ่นเครื่องดีๆมาให้ทีมชาติตลอด ซึ่งในจุดนี้ เราไม่ต้องไปเปรียบเทียบ กับวรวีร์ มะกูดี ที่หาความดีแทบไม่เจอ

จุดที่สมยศพลาด คือ ประโยค "ผมอาย" หลังไทยแพ้ญี่ปุ่น 4-0 คือในตอนนั้นความเข้าใจในฟุตบอลไทยของเขายังน้อยเกินไป คิดว่า การแพ้ญี่ปุ่น 4-0 เป็นเรื่องที่ไม่ควรเกิดขึ้น (ซึ่งจริงๆ มันสามารถเกิดขึ้นได้ ก็นั่นญี่ปุ่นนะ)

ถ้าครั้งนั้น เขาปลดซิโก้ไปเลย โดยไม่ออกมาพูดเรื่องนี้ มันก็จะไม่กลายเป็นชนักติดหลังเขาจนถึงวันนี้

ยังไม่นับเรื่อง ตำรวจไซด์ไลน์อีก ที่ทำให้เขาโดนหยิบมาแขวะได้เรื่อยๆ

แต่แน่นอน บทเรียนจากครั้งนั้น เขาก็ได้เรียนรู้มากขึ้น ว่าอะไรที่ควรพูด และไม่ควรพูด

อย่างไรก็ตาม แม้จะมีข้อผิดพลาดบ้าง แต่ในเมื่อเรื่องอื่นๆ สมยศยังไม่ได้ทำอะไรผิดพลาดขนาดนั้น ก็ควรได้รับโอกาสต่อไป จนถึงการเลือกตั้งนายกฯ สมาคมครั้งต่อไป ในปี 2563 นั่นแหละ

ประเทศนี้ มีประชาธิปไตยอยู่แล้ว ถ้าหากสโมสรสมาชิก ที่มีสิทธิเลือกตั้ง เห็นว่าฟุตบอลไทย ไม่มีอะไรพัฒนาขึ้นเลย สุดท้ายสมยศ ก็จะไม่ได้รับเลือกเอง ในการลงสมัครครั้งต่อไป จริงไหม

------------------------------------------
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่