อ๋องกับเจ้าทรงกรมเหมือนหรือคล้ายกันยังไงบ้างครับ

อ๋องในประวัติศาสตร์จีนเองก็เป็นพระญาติ แถมยังเป็นพระญาติที่ได้กินเมือง แบบที่เรียกชื่อเมือง,แคว้นแล้วต่อท้ายด้วยอ๋อง เช่น ตันลิวอ๋อง วุยอ๋อง แล้วเจ้าทรงกรมในประวัติศาสตร์ไทยก็มีลักษณะคล้ายกัน คือเรียกชื่อเมืองไปด้วย เลยอยากทราบว่ามันคล้ายกันมั้ยครับ ขอบคุณครับ
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 1
เจ้าทรงกรมในไทยนี่ดั้งเดิมไม่ได้มีชื่อกรมเป็นเมืองนะครับ      พึ่งมาตั้งแบบนี้สมัยรัชกาลที่ 5 ตามอย่างตะวันตกนี้เอง
ความคิดเห็นจาก Expert Account
ความคิดเห็นที่ 3
อ๋อง/หวัง (王) ในยุคหลังที่กลายเป็นบรรดาศักดิ์ของพระญาตินั้นก็มีอำนาจแตกต่างกันไปตามช่วงเวลาครับ ส่วนมากขึ้นกับดุลยพินิจของฮ่องเต้ว่าจะให้อำนาจอ๋ององค์นั้นแค่ไหน

บางยุคอ๋องมีดินแดนมีปกครองเป็นสิทธิขาด มีอำนาจบัญชาการทหารในมือ ซึ่งดินแดนในปกครองอาจเป็นระดับแคว้น หรืออาจเป็นเพียงเมือง

บางยุคอ๋องเพียงแต่กินส่วยจากแคว้นหรือหัวเมืองต่างๆ ไม่ได้มีอำนาจปกครองโดยตรง

บางยุคอ๋องก็เป็นเพียงฐานันดรศักดิ์ที่ไม่ได้บ่งบอกอำนาจบริหาร แต่อาจได้เบี้ยหวัดและสิทธิประโยชน์สูงกว่าเจ้านายทั่วไป

อ๋องบางคนอาจมีแต่ตำแหน่ง แต่ไม่ได้มีอำนาจอะไรเลย รวมถึงอาจไม่ได้เบี้ยหวัดด้วยเพราะฮ่องเต้ไม่โปรด

อ๋องบางคนอาจมีส่วนร่วมในราชการมาก อ๋องบางคนก็อาจไม่ได้ยุคเกี่ยวกับราชการเลย

โอรสของจักรพรรดิคังซี มีทั้งชินหวัง (อ๋องชั้นเอก) จวิ้นหวัง (อ๋องชั้นโท) เป้ยเล่อ เป้ยจื่อ ต่างก็มีบทบาททางราชการแตกต่างกันออกไป ซึ่งบทบาทอาจเป็นตามพระประสงค์ของคังซีเองด้วย อย่างจักรพรรดิยงเจิ้งตอนมียศเป็นยงชินหวังมีอยู่ช่วงหนึ่งที่ประทับอยู่แต่วังปลูกผักทำนา ไม่ได้ทรงยุ่งเกี่ยวกับราชการบ้านเมืองเลย เพิ่งมามีส่วนช่วยราชการมากในระยะหลัง ในขณะที่องค์ชายสิบสี่เป็นแค่เป้ยจื่อ แต่เคยเป็นจอมพลคุมทหารไปรบกับพวกจุนเก๋อเอ่อร์ในธิเบต เป็นต้น

อ๋องในรัฐของชาวฮั่นมักได้ชื่อตามที่แคว้นโบราณสมัยชุนชิว-จ้านกว๋อ หรือไม่ก็ชื่อเมือง ส่วนมากมักจะใช้ตามดินแดนที่ตนเองมีอำนาจปกครองหรือกินส่วนศักดินาในเมืองนั้นๆ



ส่วนเจ้าทรงกรมของไทย จุดประสงค์เสมือนการจัดสรรข้าไทจำนวนมากที่สังกัดเจ้านายให้เป็นหมวดหมู่เสมือน "กรม" ของเจ้านายพระองค์นั้นๆ โดยมีข้าราชการตำแหน่ง จางวาง เจ้ากรม ปลัดกรม สมุหบัญชี ขึ้นมาบังคับบัญชาควบคุมข้าไทในกรมอีกต่อหนึ่ง

พระนามกรมของเจ้านายพระองค์นั้นจะเรียกขานตามทินนามของตัวเจ้ากรม และก็มักเอาพระนามกรมมาเรียกแทนพระนามเดิมไปด้วย เพราะธรรมเนียมโบราณไม่นิยมออกพระนามเดิมเจ้านาย ถือว่าไม่บังควร และเจ้ากรมมีบรรดาศักดิ์สูงสุดได้เท่ากับพระอิสริยยศของเจ้ากรมทรง  เช่น สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงมีเจ้ากรมบรรดาศักดิ์เป็น พระยาดำรงราชานุภาพ


พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระบรมราชาธิบายเรื่องเจ้าทรงกรมไว้ว่า "บัดนี้จะตั้งวินิจฉัย ในเรื่องเจ้าต่างกรมแปลว่ากระไร เหตุไฉนชื่อเจ้ากรมจึงเหมือนกับชื่อเจ้า ข้อนี้วินิจฉัยง่าย คือเจ้าฟ้าก็ดี พระองค์เจ้าก็ดี ที่มีข้าไทเลขสมสังกัดขึ้นมาก การบังคับบัญชาคนข้าไทเหล่านั้นต้องมีข้าของเจ้าคนหนึ่งสองคนหรือสามคน เป็นผู้ควบคุมผู้คนมากด้วยกัน จะเป็นจางวาง นายเวร สมุห์บัญชี ชื่อเดิมควบคุมคนมากๆก็ดูไม่สมควร เจ้าแผ่นดินจึงโปรดให้ยกคนหมู่นั้นขึ้นเป็นกรมต่างหากกรมหนึ่งคงอยู่ในเจ้าองค์นั้น เจ้าองค์นั้นมีอำนาจตั้งเจ้ากรมเป็นพระยาพระหลวงขุนหมื่นมีชื่อตำแหน่ง ส่วนเจ้าซึ่งเป็นผู้ปกครองกรมนั้นเป็นเจ้าฟ้าก็คงเป็นเจ้าฟ้า เป็นพระองค์เจ้าก็คงเป็นพระองค์เจ้า แต่การที่ผู้ใดจะออกพระนามเดิมจริงๆดูเป็นการไม่เคารพ เช่นกับจะออกพระนามกรมหลวงจักรเจษฎาว่า สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าลา เช่นนี้ก็ดูเป็นการต่ำสูง จึงเรียกเสียว่า สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงจักรเจษฎา ตามชื่อเจ้ากรมซึ่งเป็นหัวหน้าข้าไทของท่าน ส่วนพระองค์เจ้าเล่า ตามอย่างเก่าๆ เข้ายังเรียกพระองค์เจ้ากรมหมื่นนั่น พระองค์เจ้ากรมหมื่นนี่ คำที่ใช้จ่าหน้าบัญชีเจ้านาย ก็ใช้ว่าพระองค์เจ้ามีกรม และพระองค์เจ้าไม่มีกรมเช่นนี้เป็นตัวอย่าง ชื่อเจ้ากรมปลัดกรมอย่างเก่าๆไม่ได้ใช้คำสูงวิเศษอะไร และไม่ได้ใช้เป็นผู้ชายผู้หญิง เช่นเจ้าฟ้ากรมหลวงโยธาทิพย์ เจ้าฟ้ากรมหลวงโยธาเทพ ก็เห็นได้ตรงว่า พระนารายณ์คงไม่ได้ตั้งพระขนิษฐาให้ชื่อโยธาทิพย์องค์หนึ่ง และพระราชบุตรีให้ชื่อโยธาเทพ ซึ่งเป็นชื่อทหารผู้ชายเช่นนั้น เห็นชัดว่าเป็นชื่อสำหรับเจ้ากรมเท่านั้น"




เจ้าทรงกรมแต่ละพระองค์ แม้จะมีศักดิ์เสมอกันก็ไม่ได้มีอำนาจหรือข้าไทเสมอกัน ส่วนมากขึ้นอยู่กับว่าพระเจ้าแผ่นดินทรงไว้วางพระทัยให้กำกับดูแลราชการมากเพียงใด เช่น รัชกาลที่ ๓ เมื่อยังทรงเป็นเพียงพระเจ้าลูกยาเธอ กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ ได้ว่าราชการกรมท่า กรมพระคลังมหาสมบัติ กรมพระตำรวจ ว่าความฎีกา และว่าราชการต่างพระเนตรพระกรรณ กล่าวกันว่ามีพระบารมีสูงส่งเหนือกว่าเจ้าฟ้ากรมหลวงพิทักษ์มนตรีและเจ้าฟ้ากรมขุนอิศรานุรักษ์ซึ่งเป็นพระบรมวงศ์ผู้ใหญ่เสียด้วยซ้ำ   หรือ กรมขุนพิพิธภูเบนทร์ในรัชกาลที่ ๓ ได้ว่าราชการกรมพระนครบาลและกรมพระคชบาลซึ่งเป็นกรมใหญ่ทั้งคู่ จึงมีข้าไทในสังกัดจำนวนมาก     ในขณะที่เจ้านายบางพระองค์อาจได้ทรงกรมแต่ได้กำกับราชการเพียงกรมเล็กๆ ที่ไม่มีอำนาจทางการเมือง หรือไม่ก็ไม่ได้กำกับราชการเลยด้วยซ้ำ


ส่วนพระนามกรม ในสมัยโบราณก็มักเป็นคำบาลีสันสกฤตทั่วไป เพิ่งมาใช้ชื่อเมืองในสมัยรัชกาลที่ ๕ โดยรับอิทธิพลมาจากยุโรปที่มีธรรมเนียมตั้งพระราชวงศ์ไปกินเมืองหรือครองที่ทดิน เช่น Prince of Wales, Duke of York, Duke of Cambridge ฯลฯ ต่างกันที่ไทยไม่ได้ออกไปกินเมืองหรือได้รับสิทธิประโยชน์ในเมืองนั้นจริงๆ โดยเมืองที่ใช้เป็นพระนามกรมนั้นจะสัมพันธ์กับพระราชอิสริยยศของพระราชโอรสพระราชธิดาครับ

เช่น เจ้าฟ้าลูกหลวงชั้นเอกพระองค์ใหญ่ จะได้รับพระนามกรมเป็นชื่อเมืองที่เคยเป็นราชธานี เช่น สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ ได้รับพระนามกรมเป็น "กรมขุนเทพทวาราวดี" โดย "ทวาราวดี" นั้นหมายถึง กรุงเทพทวารวดีศรีอยุทธยา มีพระอิสริยยศรองมาจาก สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร  ในขณะสมเด็จพระเจ้าลูกเธอพระองค์ใหญ่ เจ้าฟ้าสุทธาทิพยรัตน์ ได้รับพระนามกรมว่า "กรมหลวงศรีรัตนโกสินทร" อันหมายถึงกรุงรัตนโกสินทร์

สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ และ พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์อื่นก็ได้รับพระนามกรมลดหลั่นกันมาตามพระชนมายุและพระอิสสริยยศ ส่วนมากแล้วไล่จากหัวเมืองชั้นเอก โท ตรี ลงไปตามลำดับครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่