
ขอบคุณกรุงเทพธุรกิจ
ประเด็นไทยถูกจัดอันดับให้เป็นประเทศที่มีความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจอันดับ 1 ของโลก ล่าสุด สภาพัฒน์ฯ ออกมาแย้งในเรื่องนี้ โดยยกผลสำรวจ World Bank ไทยอยู่อันดับที่ 40 และมั่นใจภายในปี 80 ความเหลื่อมล้ำลดลงอีก
โดยนายดนุชา พิชยนันท์ รองเลขาธิการสภาพัฒน์ฯ ยืนยันไทยไม่ได้เป็นประเทศที่มีความเหลื่อมล้ำมาที่สุด ตามที่ปรากฎในการจัดอันดับดังกล่าว เพราะการจัดทำดัชนีชี้วัดของ CS Global Wealth Report ได้คำนวณจากการกระจายความมั่งคั่ง ที่วัดจากการถือครองความมั่งคั่งของประเทศที่พัฒนาแล้ว และนำข้อมูลของประเทศกำลังพัฒนามารวมไปด้วย จึงทำให้ไทยถูกจัดอันดับไปด้วย ซึ่งไม่ได้ถือเป็นมาตรฐานการจัดอันดับตามหลักสากลแต่อย่างใด ดังนั้นจึงขอให้ประชาชนและนักลงทุนมีความเข้าใจที่ตรงกันส่วนนี้ด้วย
ทั้งนี้ รายงานของ World Bank ล่าสุดในปี 2560 คนไทยมีความเหลื่อมล้ำด้านรายได้ลดลง อยู่ที่ 45.3% จากปี 2550 ที่อยู่ที่ 49.9% ขณะเดียวกันไทยยังมีความแตกต่างของรายได้ระหว่างประชากรที่มีรายได้สูงที่สุดและน้อยที่สุด แคบลงอย่างต่อเนื่อง โดยลดลงจาก 25.10 เท่าในปี 2550 มาเป็น 19.29 เท่าในปี 2560 และในปี 2580 ความเหลื่อมล้ำด้านรายได้จะลดลงเหลืออยู่ที่ 3.6% และมีความแตกต่างของรายได้ระหว่างคนรวยและจนเหลือเพียง 15 เท่า โดยสภาพัฒน์ฯได้ ทำแผนการแก้ไขความยากจนแบบพุ่งเป้า ดูความต้องการหลักของคนกลุ่มนี้เพื่อเสนอรัฐบาลในการจัดทำนโยบายแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำให้มีประสิทธิภาพ
http://news.ch3thailand.com/economy/83176
"สภาพัฒน์"เห็นต่าง ยืนยัน ความเหลื่อมล้ำไทย“ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง”
เผยแพร่ 7 ธ.ค. 2561,15:49น.ปรับปรุงล่าสุด 7 ธ.ค. 2561,16:22น.
สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) งัด การวัดสถานการณ์ความเหลื่อมล้ำของไทย โดยอ้างอิงมาจากมาตรฐานของธนาคารโลกยืนยันแนวโน้มความเหลื่อมไทยดีขึ้น ชี้ ของ CS Global Wealth Report 2018 ไม่สามารถสะท้อนสถานการณ์จริงของประเทศไทยได้

โดยสภาพัฒน์ ในฐานะหน่วยงานที่ดำเนินการติดตามสถานการณ์ความเหลื่อมล้ำของไทยมาอย่างต่อเนื่อง ระบุว่า ไทยใช้การวัดสถานการณ์ความเหลื่อมล้ำจากมาตรฐานของธนาคารโลก โดยวัดจากดัชนี GINI Coefficient Index ในประเทศต่างๆ ประมาณ 110 ประเทศ โดยดัชนี GINI มี 2 ลักษณะ คือ GINI ด้านรายได้ และ GINI ด้านรายจ่าย โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติ ใช้กลุ่มตัวอย่างในระดับฐานรายได้ต่าง ๆ กัน จำนวนประมาณ 52,010 ครัวเรือน ซึ่งการสำรวจรายได้จะดำเนินการทุก 2 ปี ในขณะที่การสำรวจรายจ่ายจะดำเนินการทุกปี

จากข้อมูลล่าสุดในปี 2560 พบว่า แนวโน้มของสถานการณ์ความเหลื่อมล้ำของไทยในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา “มีแนวโน้มดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง” โดยค่า GINI ด้านรายได้ลดลงจาก 0.499 ในปี 2550 เป็น 0.453 ในปี 2560 และค่า GINI ด้านรายจ่ายลดลงจาก 0.398 ในปี 2550 เป็น 0.364 ในปี 2560
ส่วนสถานการณ์ด้านความแตกต่างของรายได้ระหว่างกลุ่มประชากรที่มีรายได้สูงที่สุดและกลุ่มประชากรที่มีรายได้น้อยที่สุด “มีแนวโน้มแคบลงอย่างต่อเนื่อง” โดยลดลงจาก 25.10 เท่าในปี 2550 เป็น 19.29 เท่า ในปี 2560 ส่วนความแตกต่างของรายจ่ายระหว่างกลุ่มประชากรที่มีรายจ่ายสูงที่สุดและกลุ่มประชากรที่มีรายจ่ายน้อยที่สุด “มีแนวโน้มแคบลงอย่างต่อเนื่อง” เช่นกัน โดยลดลงจาก 11.70 เท่าในปี 2551 เป็น 9.32 เท่า ในปี 2560
"แสดงให้เห็นว่าสถานการณ์ความเหลื่อมล้ำทั้งในส่วนของรายได้และรายจ่ายระหว่างประชากรกลุ่มต่าง ๆ ของไทยมีแนวโน้มดีขึ้น แต่ความเหลื่อมล้ำในประเทศยังมีความจำเป็นต้องให้ความสำคัญในการดำเนินการผ่านมาตรการต่าง ๆ ของภาครัฐ เพื่อให้ประชากรในกลุ่มที่มีรายได้น้อยและรายได้ปานกลางมีรายได้เพิ่มขึ้น และมีการกระจายรายได้จากกลุ่มประชากรที่มีรายได้สูงไปสู่ประชากรกลุ่มต่าง ๆ ดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน”
ส่วนกรณีการวัดความเหลื่อมล้ำของรายงาน CS Global Wealth Report 2018 อย่างที่แชร์ในโลกออนไลน์นั้น เป็นการวัดการกระจายความมั่งคั่ง (Wealth Distribution) โดยใช้ข้อมูล Wealth Distribution “ซึ่งประเทศที่มีข้อมูล Wealth Distribution สมบูรณ์มีเพียง 35 ประเทศ และทั้ง 35 ประเทศส่วนใหญ่เป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว เช่น ฝรั่งเศส อิตาลี สวีเดน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ สิงค์โปร์ และจีน”

ขณะที่ประเทศไทย ข้อมูล Wealth Distribution “ไม่มีการจัดเก็บ” เนื่องจากในการจัดเก็บข้อมูลดังกล่าวจำเป็นต้องมีความชัดเจนของคำจำกัดความและข้อมูลข้อเท็จจริงของสินทรัพย์ที่มีความชัดเจน ซึ่งจากการตรวจสอบ พบว่าในส่วนของประเทศไทย ผู้จัดทำรายงานใช้การประมาณการทางเศรษฐมิติ บนสมมติฐานว่าการกระจายความมั่งคั่ง (Wealth Distribution) มีความสัมพันธ์กับการกระจายรายได้ (Income Distribution) ซึ่งการคำนวณในลักษณะดังกล่าวในรายงานระบุไว้ชัดเจนว่าการประมาณการ Wealth Distribution ของ 133 ประเทศที่นอกเหนือจาก 35 ประเทศที่มีข้อมูลสมบูรณ์เป็นการประมาณการอย่างหยาบ (Rough Estimate) ดังนั้น การวัดการกระจายความมั่งคั่งตามที่ปรากฏในรายงานดังกล่าวอาจไม่สามารถสะท้อนสถานการณ์ของประเทศไทยได้อย่างชัดเจน
สำหรับ รายงาน CS Global Wealth Report 2018 ระบุว่า คนไทย 1 % ถือครองความมั่นคั่ง หรือมีทรัพย์สินรวม 66.9% ของทรัพย์สินรวมทั้งประเทศ และมีความเหลื่อมล้ำสูงเป็นอันดับ 1 ของโลก ขณะที่อันดับ 2 คือ รัสเซีย โดยประชากร 1 % มีทรัพย์สินรวม 57.1% ของทรัพย์สินรวมทั้งประเทศ อับดับ 3 ได้แก่ ตุรกี ที่ประชากร 1 % มีทรัพย์สินรวม 54.1 % ของทรัพย์สินรวมทั้งประเทศ และอันดับ 4 ได้แก่ อินเดีย ที่ประชากร 1 % มีทรัพย์สินรวม 51.5 % ของทรัพย์สินรวมทั้งประเทศ ซึ่งมีเพียง 4 ประเทศข้างต้นเท่านั้น ที่ประชากร 1 % มีทรัพย์สินรวมเกินกว่า 50 % ของทรัพย์สินรวมทั้งประเทศ ซึ่ง นายบรรยง พงษ์พานิช อดีตคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (คนร.) ได้โพสต์ข้อมูลดังกล่าวผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว
ติดตามข่าววันนี้ได้ที่นี่ >> //www.pptvhd36.com/special/ข่าววันนี้
กองทุนหมู่บ้าน ใครได้ประโยชน์บ้าง คุมทุจริตไม่ได้เหมือนกับการโยนเนื้อเข้าปากเสือ สูญเงินภาษีไปฟรีๆนับล้านบาท
แต่ปัญหาของ กองทุนหมู่บ้าน ที่เราเคยทราบกันคือ เก็บเงินคืนไม่ได้ มีการบริหารจัดการที่ไม่เป็นระบบ ซึ่งบางหมู่บบ้านนั้นจัดการกองทุนแบบพวกใครพวกมัน แม้ว่ากฎใหม่ที่จะออกมาคือ ให้นำเงินไปใช้ในการลงทุนประกอบอาชีพเท่านั้น ห้ามนำไปชำระหนี้ค้างเก่าต่างๆ ซึ่งหากเป็นกองทุนหมู่บ้านจริงๆ คงตรวจสอบกันได้ยาก เพราะกองทุนหมู่บ้านนั้นมีมานานหลายปีแล้วตั้งแต่รัฐบาลสมัย ทักษิณ ชินวัตร ที่มีการกระจายเงินกองทุนตามชุมชนหมู่บ้านต่างๆ ทั้งในกรุงเทพและต่างจังหวัด ซึ่งแต่ละหมู่บ้านจะต้องมีคณะกรรมการที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายผ่านการเลือกตั้งจากคนในชุมชน มีสำนักงานเขต หรือ อำเภอรับรอง จึงจะได้เงินกองทุนหมู่บ้านให้นำไปบริหารจัดการ
โดยทั่วไปนั้นกองทุนหมู่บ้านจะให้ลูกบ้านเป็นสมาชิกต้องออมเงินขั้นต่ำเดือนละ 100 บาททุกๆเดือนตลอดอายุสมาชิก ซึ่งสมาชิกจะสามารถกู้เงินจากกองทุนได้ ก็คล้ายกับการเล่นแชร์ คือ มีเงินออมทุกเดือน กู้เงินไปเท่าไหร่ก็เสียดอกเบี้ยขั้นต่ำตาที่กำหนด และต้องส่งคืนภายในระยะเวลาที่กำหนดส่วนใหญ่จะอยู่ที่ 1 ปีบ้างหมู่บ้านจะกำหนดให้ส่งทุกเดือนพร้อมกับการออมเงินของสมาชิก ซึ่งปัญหาที่พบได้บ่อยๆ คือ คณะกรรมการกองทุนแต่ละหมู่บ้านเล่นพรรคเล่นพวก ให้แต่เฉพาะพวกพ้องของตัวเองที่สามารถกู้เงินได้ บางหมู่บ้านกำหนดเป็นหุ้นคือ หุ้นละ 100 ใครอยากได้หลายหุ้นก็ต้องส่งเงินออมตามจำนวนหุ้น
มองกันตามความจริงแล้ว กองทุนหมู่บ้าน ถือเป็นกองทุนที่สามารถช่วยให้คนมีรายได้น้อยมีแหล่งเงินกู้ดอกเบี้ยถูก หากมีการบริหารจัดการที่ดี คนที่ไม่ได้กู้ก็จะมีเงินออมและมีดอกเบี้ยจากการให้สมาชิกกองทุนได้กู้ แต่อย่างที่กล่าวมาบางหมู่บ้านมีการบริหารจัดการกองทุนที่ไม่ดี มีการยักยอกทำให้เงินกองทุนหมู่บ้านที่เคยได้กันนั้นไม่ทั่วถึง บางหมู่บ้านไม่มี บางหมู่บ้านก็สามารถนำเงินไปทำให้งอกเงยและเกิดดอกผลได้ ปัญหาต่างๆเหล่านี้หากไม่มีการแก้หรือกฎกติกาบังคับกับกลุ่มที่ได้สิทธิในการบริหารจัดการก็เหมือนกับเอาเงินภาษีไปโยนทิ้งเล่นๆ
หลายคนยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าหมู่บ้านตัวเองมีเงินกองทุน เพราะการบริหารจัดการภายในชุมชนหรือหมู่บ้านไม่มีการประชาสัมพันธ์ ไม่มีการชักชวนให้คนในหมู่บ้านได้เป็นสมาชิก เงินต้นทุนไปจำกัดอยู่แค่บางกลุ่ม เรื่องเหล่านี้ผู้มีอำนาจเบื้องบนอาจรู้แต่แก้ไขไม่ได้ หรือ อาจไม่รู้เลยก็ได้ และเชื่อว่าหลายๆคนคิดว่าในกรุงเทพคงไม่มีหมู่บ้านไหนมีกองทุนหมู่บ้าน ซึ่งขอยืนยันเลยว่ามีจริง หมู่บ้านชุมชนที่กระจายในเขตกรุงเทพมีหลายๆหมู่บ้านที่ได้กองทุนหมู่บ้านตั้งแต่ครั้งแรกที่จัดตั้ง แต่ก็อย่างที่กล่าวเพราะการบริหารจัดการกระจุกแค่อำนาจคนในกลุ่มมีการเลือกพวกพ้องทำให้เงินจำนวนนี้กระจายไม่ทั่วถึง
ดังนั้น หากจะมีการคัดค้านนโยบาย กองทุนหมู่บ้าน ก็คงไม่แปลกอะไร เพราะทำแล้วไม่เห็นผลและมันเสี่ยงกับการที่จะได้ผลตอบแทนที่งอกเงยเพื่อคนในชุมชนหรือหมู่บ้านจริงๆ หมู่บ้านไหนจัดการได้ดีเงินก็งอกเงยนำมาพัฒนาชุมชน เป็นกองทุนที่ช่วยเหลือคนในหมู่บ้าน แต่บางหมู่บ้านคนจัดการเอาเงินไปหมุนก็มี ซึ่งก็ไม่ทราบว่าทำไมไม่มีการตรวจสอบ แล้วแบบนี้จะเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจได้อย่างไร ในเมื่อคนรากหญ้าเข้าไม่ถึงเงินจำนวนนี้ กฎเกณฑ์ต่างๆที่จะออกมาใหม่กับเงินก้อนใหม่คงต้องมีความรัดกุมให้มากกว่านี้ หากไม่เช่นนั้นก็เหมือนกับการโยนเนื้อเข้าปากเสือ สูญเงินภาษีไปฟรีๆนับล้านบาท
https://moneyhub.in.th/article/กองทุนหมู่บ้าน-ใครได้ปร/
ใครก็ได้ ช่วยอธิบายหน่อยเถอะ...กองทุนหมู่บ้านขณะนี้ ได้ประโยชน์คุ้มค่าอย่างไร เมื่อเกิดการทุจริตสูญเงินภาษีไปเปล่าๆ




https://pantip.com/topic/38340661
อ่านกันให้ดีๆค่ะ อย่านำความเห็นมาลารินไปบิดเบือน
กองทุนหมู่บ้านนั้น เพิ่มหนี้สินประชาชนคนจนเป็นดินพอกหางหมู มีทุจริตจริงหรือไม่จริง..ช่วยโต้แย้งด้วยข้อมูล
ใครที่ได้ดีเพราะกองทุนนี้ช่วยนำมาชี้ชัดๆสัก 2-3 ตัวอย่างนะคะ
ส่วนเรื่องความเหลื่อมล้ำ นักวิชาการก็เสียแมวไปแล้ว อย่าให้ใครมาเสียแมวเพราะกองทุนดี้ดี ทำให้คนจนรวยขึ้นเลยค่ะ
🖊~มาลาริน~นักวิชาการเสียแมวจนได้เรื่องความเหลื่อมล้ำของไทย..เชื่อได้ กองทุนหมู่บ้านทำให้คนจนเป็นหนี้เหมือนดินพอกหางหมู
ขอบคุณกรุงเทพธุรกิจ
ประเด็นไทยถูกจัดอันดับให้เป็นประเทศที่มีความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจอันดับ 1 ของโลก ล่าสุด สภาพัฒน์ฯ ออกมาแย้งในเรื่องนี้ โดยยกผลสำรวจ World Bank ไทยอยู่อันดับที่ 40 และมั่นใจภายในปี 80 ความเหลื่อมล้ำลดลงอีก
โดยนายดนุชา พิชยนันท์ รองเลขาธิการสภาพัฒน์ฯ ยืนยันไทยไม่ได้เป็นประเทศที่มีความเหลื่อมล้ำมาที่สุด ตามที่ปรากฎในการจัดอันดับดังกล่าว เพราะการจัดทำดัชนีชี้วัดของ CS Global Wealth Report ได้คำนวณจากการกระจายความมั่งคั่ง ที่วัดจากการถือครองความมั่งคั่งของประเทศที่พัฒนาแล้ว และนำข้อมูลของประเทศกำลังพัฒนามารวมไปด้วย จึงทำให้ไทยถูกจัดอันดับไปด้วย ซึ่งไม่ได้ถือเป็นมาตรฐานการจัดอันดับตามหลักสากลแต่อย่างใด ดังนั้นจึงขอให้ประชาชนและนักลงทุนมีความเข้าใจที่ตรงกันส่วนนี้ด้วย
ทั้งนี้ รายงานของ World Bank ล่าสุดในปี 2560 คนไทยมีความเหลื่อมล้ำด้านรายได้ลดลง อยู่ที่ 45.3% จากปี 2550 ที่อยู่ที่ 49.9% ขณะเดียวกันไทยยังมีความแตกต่างของรายได้ระหว่างประชากรที่มีรายได้สูงที่สุดและน้อยที่สุด แคบลงอย่างต่อเนื่อง โดยลดลงจาก 25.10 เท่าในปี 2550 มาเป็น 19.29 เท่าในปี 2560 และในปี 2580 ความเหลื่อมล้ำด้านรายได้จะลดลงเหลืออยู่ที่ 3.6% และมีความแตกต่างของรายได้ระหว่างคนรวยและจนเหลือเพียง 15 เท่า โดยสภาพัฒน์ฯได้ ทำแผนการแก้ไขความยากจนแบบพุ่งเป้า ดูความต้องการหลักของคนกลุ่มนี้เพื่อเสนอรัฐบาลในการจัดทำนโยบายแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำให้มีประสิทธิภาพ
http://news.ch3thailand.com/economy/83176
"สภาพัฒน์"เห็นต่าง ยืนยัน ความเหลื่อมล้ำไทย“ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง”
เผยแพร่ 7 ธ.ค. 2561,15:49น.ปรับปรุงล่าสุด 7 ธ.ค. 2561,16:22น.
สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) งัด การวัดสถานการณ์ความเหลื่อมล้ำของไทย โดยอ้างอิงมาจากมาตรฐานของธนาคารโลกยืนยันแนวโน้มความเหลื่อมไทยดีขึ้น ชี้ ของ CS Global Wealth Report 2018 ไม่สามารถสะท้อนสถานการณ์จริงของประเทศไทยได้
โดยสภาพัฒน์ ในฐานะหน่วยงานที่ดำเนินการติดตามสถานการณ์ความเหลื่อมล้ำของไทยมาอย่างต่อเนื่อง ระบุว่า ไทยใช้การวัดสถานการณ์ความเหลื่อมล้ำจากมาตรฐานของธนาคารโลก โดยวัดจากดัชนี GINI Coefficient Index ในประเทศต่างๆ ประมาณ 110 ประเทศ โดยดัชนี GINI มี 2 ลักษณะ คือ GINI ด้านรายได้ และ GINI ด้านรายจ่าย โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติ ใช้กลุ่มตัวอย่างในระดับฐานรายได้ต่าง ๆ กัน จำนวนประมาณ 52,010 ครัวเรือน ซึ่งการสำรวจรายได้จะดำเนินการทุก 2 ปี ในขณะที่การสำรวจรายจ่ายจะดำเนินการทุกปี
จากข้อมูลล่าสุดในปี 2560 พบว่า แนวโน้มของสถานการณ์ความเหลื่อมล้ำของไทยในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา “มีแนวโน้มดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง” โดยค่า GINI ด้านรายได้ลดลงจาก 0.499 ในปี 2550 เป็น 0.453 ในปี 2560 และค่า GINI ด้านรายจ่ายลดลงจาก 0.398 ในปี 2550 เป็น 0.364 ในปี 2560
ส่วนสถานการณ์ด้านความแตกต่างของรายได้ระหว่างกลุ่มประชากรที่มีรายได้สูงที่สุดและกลุ่มประชากรที่มีรายได้น้อยที่สุด “มีแนวโน้มแคบลงอย่างต่อเนื่อง” โดยลดลงจาก 25.10 เท่าในปี 2550 เป็น 19.29 เท่า ในปี 2560 ส่วนความแตกต่างของรายจ่ายระหว่างกลุ่มประชากรที่มีรายจ่ายสูงที่สุดและกลุ่มประชากรที่มีรายจ่ายน้อยที่สุด “มีแนวโน้มแคบลงอย่างต่อเนื่อง” เช่นกัน โดยลดลงจาก 11.70 เท่าในปี 2551 เป็น 9.32 เท่า ในปี 2560
"แสดงให้เห็นว่าสถานการณ์ความเหลื่อมล้ำทั้งในส่วนของรายได้และรายจ่ายระหว่างประชากรกลุ่มต่าง ๆ ของไทยมีแนวโน้มดีขึ้น แต่ความเหลื่อมล้ำในประเทศยังมีความจำเป็นต้องให้ความสำคัญในการดำเนินการผ่านมาตรการต่าง ๆ ของภาครัฐ เพื่อให้ประชากรในกลุ่มที่มีรายได้น้อยและรายได้ปานกลางมีรายได้เพิ่มขึ้น และมีการกระจายรายได้จากกลุ่มประชากรที่มีรายได้สูงไปสู่ประชากรกลุ่มต่าง ๆ ดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน”
ส่วนกรณีการวัดความเหลื่อมล้ำของรายงาน CS Global Wealth Report 2018 อย่างที่แชร์ในโลกออนไลน์นั้น เป็นการวัดการกระจายความมั่งคั่ง (Wealth Distribution) โดยใช้ข้อมูล Wealth Distribution “ซึ่งประเทศที่มีข้อมูล Wealth Distribution สมบูรณ์มีเพียง 35 ประเทศ และทั้ง 35 ประเทศส่วนใหญ่เป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว เช่น ฝรั่งเศส อิตาลี สวีเดน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ สิงค์โปร์ และจีน”
ขณะที่ประเทศไทย ข้อมูล Wealth Distribution “ไม่มีการจัดเก็บ” เนื่องจากในการจัดเก็บข้อมูลดังกล่าวจำเป็นต้องมีความชัดเจนของคำจำกัดความและข้อมูลข้อเท็จจริงของสินทรัพย์ที่มีความชัดเจน ซึ่งจากการตรวจสอบ พบว่าในส่วนของประเทศไทย ผู้จัดทำรายงานใช้การประมาณการทางเศรษฐมิติ บนสมมติฐานว่าการกระจายความมั่งคั่ง (Wealth Distribution) มีความสัมพันธ์กับการกระจายรายได้ (Income Distribution) ซึ่งการคำนวณในลักษณะดังกล่าวในรายงานระบุไว้ชัดเจนว่าการประมาณการ Wealth Distribution ของ 133 ประเทศที่นอกเหนือจาก 35 ประเทศที่มีข้อมูลสมบูรณ์เป็นการประมาณการอย่างหยาบ (Rough Estimate) ดังนั้น การวัดการกระจายความมั่งคั่งตามที่ปรากฏในรายงานดังกล่าวอาจไม่สามารถสะท้อนสถานการณ์ของประเทศไทยได้อย่างชัดเจน
สำหรับ รายงาน CS Global Wealth Report 2018 ระบุว่า คนไทย 1 % ถือครองความมั่นคั่ง หรือมีทรัพย์สินรวม 66.9% ของทรัพย์สินรวมทั้งประเทศ และมีความเหลื่อมล้ำสูงเป็นอันดับ 1 ของโลก ขณะที่อันดับ 2 คือ รัสเซีย โดยประชากร 1 % มีทรัพย์สินรวม 57.1% ของทรัพย์สินรวมทั้งประเทศ อับดับ 3 ได้แก่ ตุรกี ที่ประชากร 1 % มีทรัพย์สินรวม 54.1 % ของทรัพย์สินรวมทั้งประเทศ และอันดับ 4 ได้แก่ อินเดีย ที่ประชากร 1 % มีทรัพย์สินรวม 51.5 % ของทรัพย์สินรวมทั้งประเทศ ซึ่งมีเพียง 4 ประเทศข้างต้นเท่านั้น ที่ประชากร 1 % มีทรัพย์สินรวมเกินกว่า 50 % ของทรัพย์สินรวมทั้งประเทศ ซึ่ง นายบรรยง พงษ์พานิช อดีตคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (คนร.) ได้โพสต์ข้อมูลดังกล่าวผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว
ติดตามข่าววันนี้ได้ที่นี่ >> //www.pptvhd36.com/special/ข่าววันนี้
กองทุนหมู่บ้าน ใครได้ประโยชน์บ้าง คุมทุจริตไม่ได้เหมือนกับการโยนเนื้อเข้าปากเสือ สูญเงินภาษีไปฟรีๆนับล้านบาท
แต่ปัญหาของ กองทุนหมู่บ้าน ที่เราเคยทราบกันคือ เก็บเงินคืนไม่ได้ มีการบริหารจัดการที่ไม่เป็นระบบ ซึ่งบางหมู่บบ้านนั้นจัดการกองทุนแบบพวกใครพวกมัน แม้ว่ากฎใหม่ที่จะออกมาคือ ให้นำเงินไปใช้ในการลงทุนประกอบอาชีพเท่านั้น ห้ามนำไปชำระหนี้ค้างเก่าต่างๆ ซึ่งหากเป็นกองทุนหมู่บ้านจริงๆ คงตรวจสอบกันได้ยาก เพราะกองทุนหมู่บ้านนั้นมีมานานหลายปีแล้วตั้งแต่รัฐบาลสมัย ทักษิณ ชินวัตร ที่มีการกระจายเงินกองทุนตามชุมชนหมู่บ้านต่างๆ ทั้งในกรุงเทพและต่างจังหวัด ซึ่งแต่ละหมู่บ้านจะต้องมีคณะกรรมการที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายผ่านการเลือกตั้งจากคนในชุมชน มีสำนักงานเขต หรือ อำเภอรับรอง จึงจะได้เงินกองทุนหมู่บ้านให้นำไปบริหารจัดการ
โดยทั่วไปนั้นกองทุนหมู่บ้านจะให้ลูกบ้านเป็นสมาชิกต้องออมเงินขั้นต่ำเดือนละ 100 บาททุกๆเดือนตลอดอายุสมาชิก ซึ่งสมาชิกจะสามารถกู้เงินจากกองทุนได้ ก็คล้ายกับการเล่นแชร์ คือ มีเงินออมทุกเดือน กู้เงินไปเท่าไหร่ก็เสียดอกเบี้ยขั้นต่ำตาที่กำหนด และต้องส่งคืนภายในระยะเวลาที่กำหนดส่วนใหญ่จะอยู่ที่ 1 ปีบ้างหมู่บ้านจะกำหนดให้ส่งทุกเดือนพร้อมกับการออมเงินของสมาชิก ซึ่งปัญหาที่พบได้บ่อยๆ คือ คณะกรรมการกองทุนแต่ละหมู่บ้านเล่นพรรคเล่นพวก ให้แต่เฉพาะพวกพ้องของตัวเองที่สามารถกู้เงินได้ บางหมู่บ้านกำหนดเป็นหุ้นคือ หุ้นละ 100 ใครอยากได้หลายหุ้นก็ต้องส่งเงินออมตามจำนวนหุ้น
มองกันตามความจริงแล้ว กองทุนหมู่บ้าน ถือเป็นกองทุนที่สามารถช่วยให้คนมีรายได้น้อยมีแหล่งเงินกู้ดอกเบี้ยถูก หากมีการบริหารจัดการที่ดี คนที่ไม่ได้กู้ก็จะมีเงินออมและมีดอกเบี้ยจากการให้สมาชิกกองทุนได้กู้ แต่อย่างที่กล่าวมาบางหมู่บ้านมีการบริหารจัดการกองทุนที่ไม่ดี มีการยักยอกทำให้เงินกองทุนหมู่บ้านที่เคยได้กันนั้นไม่ทั่วถึง บางหมู่บ้านไม่มี บางหมู่บ้านก็สามารถนำเงินไปทำให้งอกเงยและเกิดดอกผลได้ ปัญหาต่างๆเหล่านี้หากไม่มีการแก้หรือกฎกติกาบังคับกับกลุ่มที่ได้สิทธิในการบริหารจัดการก็เหมือนกับเอาเงินภาษีไปโยนทิ้งเล่นๆ
หลายคนยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าหมู่บ้านตัวเองมีเงินกองทุน เพราะการบริหารจัดการภายในชุมชนหรือหมู่บ้านไม่มีการประชาสัมพันธ์ ไม่มีการชักชวนให้คนในหมู่บ้านได้เป็นสมาชิก เงินต้นทุนไปจำกัดอยู่แค่บางกลุ่ม เรื่องเหล่านี้ผู้มีอำนาจเบื้องบนอาจรู้แต่แก้ไขไม่ได้ หรือ อาจไม่รู้เลยก็ได้ และเชื่อว่าหลายๆคนคิดว่าในกรุงเทพคงไม่มีหมู่บ้านไหนมีกองทุนหมู่บ้าน ซึ่งขอยืนยันเลยว่ามีจริง หมู่บ้านชุมชนที่กระจายในเขตกรุงเทพมีหลายๆหมู่บ้านที่ได้กองทุนหมู่บ้านตั้งแต่ครั้งแรกที่จัดตั้ง แต่ก็อย่างที่กล่าวเพราะการบริหารจัดการกระจุกแค่อำนาจคนในกลุ่มมีการเลือกพวกพ้องทำให้เงินจำนวนนี้กระจายไม่ทั่วถึง
ดังนั้น หากจะมีการคัดค้านนโยบาย กองทุนหมู่บ้าน ก็คงไม่แปลกอะไร เพราะทำแล้วไม่เห็นผลและมันเสี่ยงกับการที่จะได้ผลตอบแทนที่งอกเงยเพื่อคนในชุมชนหรือหมู่บ้านจริงๆ หมู่บ้านไหนจัดการได้ดีเงินก็งอกเงยนำมาพัฒนาชุมชน เป็นกองทุนที่ช่วยเหลือคนในหมู่บ้าน แต่บางหมู่บ้านคนจัดการเอาเงินไปหมุนก็มี ซึ่งก็ไม่ทราบว่าทำไมไม่มีการตรวจสอบ แล้วแบบนี้จะเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจได้อย่างไร ในเมื่อคนรากหญ้าเข้าไม่ถึงเงินจำนวนนี้ กฎเกณฑ์ต่างๆที่จะออกมาใหม่กับเงินก้อนใหม่คงต้องมีความรัดกุมให้มากกว่านี้ หากไม่เช่นนั้นก็เหมือนกับการโยนเนื้อเข้าปากเสือ สูญเงินภาษีไปฟรีๆนับล้านบาท
https://moneyhub.in.th/article/กองทุนหมู่บ้าน-ใครได้ปร/
ใครก็ได้ ช่วยอธิบายหน่อยเถอะ...กองทุนหมู่บ้านขณะนี้ ได้ประโยชน์คุ้มค่าอย่างไร เมื่อเกิดการทุจริตสูญเงินภาษีไปเปล่าๆ
https://pantip.com/topic/38340661
อ่านกันให้ดีๆค่ะ อย่านำความเห็นมาลารินไปบิดเบือน
กองทุนหมู่บ้านนั้น เพิ่มหนี้สินประชาชนคนจนเป็นดินพอกหางหมู มีทุจริตจริงหรือไม่จริง..ช่วยโต้แย้งด้วยข้อมูล
ใครที่ได้ดีเพราะกองทุนนี้ช่วยนำมาชี้ชัดๆสัก 2-3 ตัวอย่างนะคะ
ส่วนเรื่องความเหลื่อมล้ำ นักวิชาการก็เสียแมวไปแล้ว อย่าให้ใครมาเสียแมวเพราะกองทุนดี้ดี ทำให้คนจนรวยขึ้นเลยค่ะ