สวัสดีครับทุกท่าน สำหรับกระทู้นี้ผมจะขอพื้นที่เพื่อบอกเล่าประสบการณ์การนั่งเรือสำราญครั้งแรกที่สิงคโปร์พร้อมรีวิวการท่องเที่ยวบนฝั่งอีกนิดหน่อยครับ หลังจากได้มีโอกาสรีวิวแบ็คแพ็คเที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรกไปเมื่อปี 2558 โน้น! (กระทู้:
pantip.com/topic/34497193) ห่างหายนานถึง 3 ปี ก็เพิ่งจะมีโอกาสได้นั่งเขียนรีวิวประสบการณ์ท่องเที่ยวลง Pantip อีกครั้งเป็นกระทู้ที่ 2 นี้ครับ และเช่นเคย...ด้วยความมือใหม่กระทู้เดียวใน Pantip ถ้ามีอะไรผิดพลาดรบกวนแนะนำติชมได้เลยนะครับผม ^_^
ก่อนอื่นต้องขอออกตัวเลยว่าแม้รีวิวนี้จะเป็น CR แต่ทริปนี้ผมไม่ได้เป็นคนออกเงินนะครับ เพราะมีผู้สนับสนุนคือผู้ใหญ่ใจดี (เจ้านาย) ของผมเอง ซึ่งพวกท่านมีทุนการเที่ยวพร้อมโจทย์สั้น ๆ ว่าพวกท่านอยากล่องเรือสำราญ + แบ็คแพ็คเที่ยวในสิงคโปร์สักวันสองวันและต้องมีข้าวมันไก่ 1 มื้อ โดยให้ผมหาตั๋วเครื่องบิน ที่พัก และแพ็คเกจล่องเรือไปให้เลือก แล้ววางแผนการทัวร์มาให้พร้อมสำหรับ 17 คน...เดี๋ยวนะครับ ผมหูไม่ฝาดใช่ไหม? พอรู้แบบนี้ก็ระทึกสิครับ! ทั้งจองตั๋วเครื่องบิน ที่พัก และการเดินทางที่รีเควสมาด้วยว่าอยากลองนั่งรถไฟฟ้าในสิงคโปร์ นี่จึงเป็นโจทย์ใหญ่ของผมที่ต้องวางแผนแบ็คแพ็คเที่ยวอย่างไรให้ยกโขยงเที่ยว 17 คนเสมือนไปเที่ยวแค่ไม่กี่คน โดยไม่เหมารถบัส ไม่จ้างบริษัททัวร์ แล้วผมจะจัดการกับทริปนี้อย่างไร แล้วจะเจออะไรบ้าง มาดูกันครับ
แพ็คเกจเรือสำราญ
สำหรับการล่องเรือ สิ่งแรกที่ผมต้องทำคือการหาแพ็คเกจเรือที่ว่างและพร้อมให้เที่ยวในช่วงเดือนที่ต้องการก่อนจะหาตั๋วเครื่องบิน เนื่องจากเรือสำราญเขาจะมีรอบออกเป็นรายสัปดาห์ในเส้นทางที่อาจจะไม่เหมือนกันในแต่ละช่วงเวลา ขึ้นอยู่กับว่าคุณสนใจเรือลำไหนในช่วงเวลาใดครับ ส่วนการหาเรือที่ชอบก็ไม่ยาก เพราะปัจจุบันในไทยมีเอเจนซีขายแพ็คเกจเรือสำราญอยู่หลายเจ้า ทั้งที่เดินทางจากท่าเรือในไทยและในต่างประเทศ และเลือกได้ระหว่างแพ็คเกจเรือพร้อมบริการรับ-ส่งจากสนามบิน หรือแพ็คเกจเรือเพียงอย่างเดียว ก็ขึ้นอยู่กับแพ็คเกจที่เขาขายหรือตามตกลงกันเลยครับ
นอกจากเอเจนซีจะมีหลายเจ้าแล้ว บริษัทผู้ให้บริการเรือสำราญ (เจ้าของเรือ) ก็มีหลายเจ้าด้วยครับ โดยสำหรับทริปนี้ทางผู้ใหญ่ตัดสินใจเลือกเรือของ Royal Caribbean ซึ่งถ้าไปดูในหน้าเว็บไซต์เขาก็จะพบว่าเป็นผู้ให้บริการเรือสำราญเจ้าใหญ่ที่มีเส้นทางเดินเรืออยู่ทั่วโลก และมีตัวแทนจำหน่ายแพ็คเกจเรือในไทย โดยผมติดต่อซื้อผ่าน Facebook (
www.facebook.com/RoyalCaribbeanCruisesThailand/) เป็นตัวอย่างให้ดูนะครับว่าผมเลือกจองเรือกับเพจนี้ โดยจะต้องมีการมัดจำเงินก่อนเพื่อบุกกิ้งเรือ และจ่ายส่วนที่เหลือก่อนประมาณ 60 วัน โดยทางเอเจนซีจะส่งตั๋วเรือให้ล่วงหน้า 30 วันก่อนเดินทางครับ ซึ่งเอกสารที่ส่งมานั้นประกอบไปด้วย
- เอกสารการจองเรือ (ระบุชื่อสกุลผู้เข้าพักเป็นคู่ พร้อมชั้นและหมายเลขห้องที่จอง)
- เอกสารรับรองด้านสุขภาพ (ปกติก็ติ๊ก NO ทั้งหมดอยู่แล้ว ไว้การันตีสุขภาพเรา)
- คู่มือการท่องเที่ยวบนเรือภาษาไทย/อังกฤษ (ขึ้นอยู่กับผู้ให้บริการ)
- แท็กติดกระเป๋าโหลดขึ้นเรือคนละ 2 ใบ (ทางเอเจนซีพับพร้อมติดกระเป๋ามาให้เลย)
สำหรับแพ็คเกจเรือที่เลือกนั้นคือ เรือสำราญรอบวันที่ 16-19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561 เส้นทางสิงคโปร์ - ปีนัง (มาเลเซีย) - สิงคโปร์ โดยเดินทางไปกับเรือที่ชื่อว่า Voyager of the Seas จากนั้นก็เลือกห้องพักที่ต้องการครับ โดยมีตั้งแต่ห้องที่ไม่มีหน้าต่างเลย (ถูกสุด) ห้องที่มีหน้าต่างกลม ๆ หันออกทะเล ห้องที่มีหน้าต่างหันเข้าพลาซ่าในเรือ ไปจนถึงห้องที่มีระเบียงวิวทะเล และห้องสวีตขนาดใหญ่ (แพงสุด) โดยห้องถูกอยู่ชั้นล่าง ๆ ไล่ขึ้นมาจนแพงสุดจะอยู่ชั้นบน ๆ ซึ่งทริปของพวกผมได้เลือกห้องระเบียงวิวทะเลที่มีห้องติดกันทั้งหมดครับ อ้อ! แพ็คเกจเรือเขาขายเป็นคู่นะครับ 1 ห้อง 2 คน ถ้านอนคนเดียวจะลดราคาลงได้แค่นิดหน่อยซึ่งไม่คุ้มเท่าไหร่ ส่วนช่วงเวลาท่องเที่ยวบินเรือจะเป็นดังนี้ครับ
- วันที่ 16 ช่วงบ่ายเริ่มเช็คอินขึ้นเรือ และออกเดินทาง
- วันที่ 17 เดินทางถึงปีนังช่วงบ่าย และออกเดินทางต่อในช่วงกลางคืน
- วันที่ 18 ล่องเรือกลางทะเลตลอดวัน
- วันที่ 19 ถึงฝั่งสิงคโปร์ช่วงเช้าและเช็คเอาท์ออกจากเรือ
หน้าตาของเรือจากเว็บไซต์
www.royalcaribbeanincentives.com/ships/voyager-of-the-seas/ ถือว่าไม่ใช่เรือที่ใหญ่นักเมื่อเทียบกับเพื่อน ๆ ของมันในกลุ่ม Royal Caribbean ครับ (จุนักท่องเที่ยวได้ 3,114 คน)
ส่วนราคาของห้องกับเอเจนซีที่ผมจองเขาคิดเป็นเงินดอลลาร์สหรัฐครับ แต่ตอนเรียกเก็บเงินจะคิดเป็นเงินบาทโดยการคูณอัตราแลกเปลี่ยนในช่วงนั้น ๆ สรุปห้องระเบียงของผมโดนไปห้องละ 37,082 บาท (คนละ 18,541 บาท) ส่วนคนที่ 17 ที่นอนคนเดียวนั้นคิดเป็นเงินไทยคือ 34,353 บาทครับ แต่ถ้าคุณโอเคกับห้องที่มีแต่หน้าต่างหรือห้องที่ไม่มีหน้าต่างเลย ราคาก็จะถูกลงอีกนะครับ (ที่เช็คราคาตอนแรก ห้องที่มีหน้าต่างอย่างเดียวจะอยู่ที่ห้องละ 34,620 บาทครับ ราคา ณ ช่วงเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2561) โดยราคานี้ได้รวมทั้งที่พักและอาหารครบ 3 มื้อตั้งแต่เที่ยงวันที่ 16 ถึงเช้าวันที่ 19 เลยครับ
ตั๋วเครื่องบินและที่พัก
สำหรับทริปนี้พวกเราต้องไปขึ้นเรือกันที่ Marina South Pier ของประเทศสิงคโปร์ จึงต้องมีตั๋วเครื่องบินไปกลับสิงคโปร์ด้วย และผมก็ติดแต่จะบินกับของ AirAsia ไปซะหมด (เที่ยวเองที่ญี่ปุ่น 3 รอบสิงคโปร์ 1 รอบ ก็หางแดงเขาหมดเลย สนับสนุนรีวิวท่องเที่ยวผมได้นะครับ 555) จนค่อนข้างจะ Loyalty กับแบรนด์นี้นิดหน่อย แต่ถ้าใครไม่มักก็ยังมีตัวเลือกอื่น ๆ อีกนะครับ และเพื่อไม่ให้เป็นการเชียร์จนออกนอกหน้า ผมเลยต้องหาเที่ยวบินจากหลายสายการบินไปให้ผู้ใหญ่เลือกด้วย ส่วนทางผู้ใหญ่ก็เสนอว่าอยากนั่ง Singapore Airlines มา แต่สุดท้ายก็ต้องพ่ายให้ความถูกของหางแดงเขาล่ะ เพราะปัญหาหนึ่งของการจัดทัวร์แบ็คแพ็คแบบมากคนก็คือ คุณต้องรีบหาทุกสรรพสิ่งและจองให้จบพร้อม ๆ กันก่อนจะไม่เหลือที่ให้จอง ดังนั้นเห็นอะไรถูกสุดก็คว้าไว้ก่อนครับ แม้ว่าช่วงที่ซื้ออาจไม่ใช่โปรโมชั่นที่ถูกที่สุดในรอบปีก็ตามที่เถอะ

ผมจึงได้ตั๋วเครื่องบินไปกลับกรุงเทพฯ - สิงคโปร์ 17 ที่นั่ง โดยแบ่งจองทั้งหมด 4 บุกกิ้ง ได้ราคาถูกสุดคือไปกลับคนละ 5,175 บาท และแพงสุดคือ 5,815 บาท โดยบินช่วงวันที่ 16 เช้ากลับ 20 เย็นครับ โดยราคานี้ผมพ่วงแพ็คเกจกระเป๋า 20 กิโลกรัม + อาหารบนเครื่อง + เลือกที่นั่งด้วยนะ เพื่อจัดการให้ทุกคนให้นั่งเป็นกลุ่มและไม่ต้องห่วงเรื่องกระเป๋าเกินพร้อมของกินอิ่มหนำ ถ้าใครไม่เอาแพ็คเกจนี้ราคาตั๋วเครื่องบินก็จะถูกลงอีกประมาณคนละ 1,600 บาทเลยนะครับ แต่ยังไงก็ควรต้องซื้อน้ำหนักกระเป๋านะครับถ้าล่องเรือ เพราะหลายวันอยู่นะ
เรื่องต่อมาที่ต้องจัดการคือที่พักครับ จะเห็นได้ว่าผมจองตั๋วเครื่องบินเช้าวันที่ 16 และกลับวันที่ 20 แต่เรือสำราญล่องระหว่างวันที่ 16-19 เท่านั้น (และวันที่ 19 ช่วงเช้าก็ขึ้นฝั่งสิงคโปร์แล้ว) ดังนั้นทริปของผมจึงมีเวลาตั้งแต่ช่วงสายของวันที่ 19 ในสิงคโปร์จนถึงช่วงบ่ายของวันที่ 20 ก่อนไปสนามบินเพื่อเดินทางกลับ โดยที่พักทางผู้ใหญ่ได้จิ้มเลือกและจองให้พวกผมเลยคือโรงแรม Furama City Centre ซึ่งตั้งอยู่ใจกลางย่านไชน่าทาวน์ครับ สำหรับราคาค่อนไปทางสูงหน่อยเพราะเป็นโรงแรม 4 ดาว ใครที่สนใจแบ็คแพ็คสิงคโปร์ในราคาประหยัดผมขอแนะนำเป็นโฮสเทลดีกว่า ซึ่งผมเคยใช้บริการ Hotel 81 Cosy ในไชน่าทาวน์ตอนมาเที่ยวเอง ราคาไม่แรงแถมบรรยากาศน่ารักด้วยครับ
แผนการเดินทาง
และนี่คือแผนการเดินทางในทริปของผมครับ โดยผมจะซอยเวลาเป็นชั่วโมง ๆ และวางบล็อกไว้ว่าแต่ละที่เที่ยวและการเดินทางจะใช้เวลากี่ชั่วโมงบ้างคร่าว ๆ พร้อมเส้นทางการเดินทาง ซึ่งจะทำให้เราเห็นภาพและจัดทริปได้อย่างลงตัวได้ ตารางนี้ผมพิสูจน์มาแล้วทุกทริปนับว่าช่วยวางแผนได้ดีมาก ๆ เลยครับ แต่ในแผนไม่มีเมอร์ไลอ้อนเพราะช่วงที่ไปกำลังปิดปรับปรุงครับ
เตรียมตัวก่อนเดินทาง
1. หนังสือเดินทาง ต้องมีอายุ 6 เดือนขึ้นไปในวันเดินทาง ถ้าเป็นหนังสือหน้าขาว (ไม่เคยไปเที่ยวไหนเลย) ก็เตรียมพวกหนังสือรับรองเงินเดือนหรือการทำงานเป็นภาษาอังกฤษไปสักหน่อยก็ดีครับจะได้จบเรื่องกับ ตม. ง่าย ๆ
2. เสื้อผ้าอาภรณ์ สิงคโปร์มีแค่ 2 ฤดูกาลคือแล้งกับฝน และอากาศค่อนข้างอบอ้าวตลอดทั้งปี ดังนั้นเสื้อยืดกางเกงขาสั้นจึงเหมาะที่สุดครับ แต่สำหรับบนเรือคุณต้องมีชุดสุภาพสำหรับการดินเนอร์ในห้องอาหารสุดหรู (จะเข้าหรือไม่เข้าก็ได้) โดยบรีฟที่ผมได้มาคือชุดสูท-ชุดราตรี-ชุดไทยร่วมสมัย แบบอลังการไปเลย แต่สุดท้ายจะเป็นอย่างไรเดี๋ยวเล่าให้ฟังบนเรือนะ
3. เงินสด เนื่องจากทริปของผมมีผู้สนับสนุนค่าใช้จ่ายจึงเตรียมเงินไปแค่ 5,000 บาท (แลกเป็นเงินสิงคโปร์ได้ประมาณ 200 ดอลลาร์สิงคโปร์) แถมยังเหลือเงินกลับมาเกินครึ่ง แต่ทริปก่อนที่ผมไปเที่ยวสิงคโปร์เองผมเตรียมไป 10,000 บาทครับ เพราะค่าอาหารในสิงคโปร์ก็ดุพอสมควร แต่ถ้าไปล่องเรืออย่างเดียวก็ไม่ต้องเอาไปเยอะ และค่าใช้จ่ายส่วนเกินบนเรือทั้งหมดต้องจ่ายด้วยสกุลดอลลาร์สหรัฐเท่านั้น ถ้าคุณมีแผนจะช้อปปิ้ง กินอาหารหรูนอกเหนือจากแพ็คเกจ หรือจะเสี่ยงโชคกับคาสิโนบนเรือ ก็ต้องแลกเงิน USD ไปด้วยหรือจ่ายกับบัตรเครดิตก็ได้ครับ
4. เตรียมเอกสารการจองเรือที่ได้รับจากเอเจนซี, พิมพ์ใบจองตั๋วเครื่องบิน, ใบจองโรงแรม, (ถ้ามีนอนนอกจากเรือ) และแผนการเที่ยวแนบไปด้วย เพราะจากประสบการณ์ที่ผมเจอ ตม. สิงคโปร์ดูจะชอบซักไซ้มากกว่า ตม. ญี่ปุ่นอยู่พอสมควร อย่างที่ผมไปมาก็ถามว่าล่องเรือไปไหน กลับวันไหน กี่วัน อย่างไรบ้าง มากับใคร เป็นอะไรกัน แม้พาสสปอร์ตจะประทับตรามาหลายหน้าแล้วก็เถอะ (ส่วนพี่คนหนึ่งที่พวกเราเป็นห่วงมากที่สุดว่าจะติด ตม. กลับผ่านฉลุยแบบไม่มีสักคำถามเลยจ้า)
นอกจากนี้ผมยังมีรายละเอียดการขึ้นเรือ การใช้จ่ายบนเรือ และการเข้าออกระหว่างเรือกับประเทศสิงคโปร์และมาเลเซียอีกนะ แต่จะเล่าเป็นช่วง ๆ ตามวันที่เดินทางนะครับ จะได้ไม่ยืดยาวกับช่วงแรกจนเกินไป การกินอยู่นอนเที่ยวบินเรือ Voyager of the Seas จะเป็นอย่างไร ผมจะบอกเล่าประสบการณ์แบบละเอียดยิบเลยครับ!
[CR] ล่องเรือสำราญครั้งแรก! สิงคโปร์-ปีนัง ประสบการณ์ 4 วัน ณ ช่องแคบมะละกา
สวัสดีครับทุกท่าน สำหรับกระทู้นี้ผมจะขอพื้นที่เพื่อบอกเล่าประสบการณ์การนั่งเรือสำราญครั้งแรกที่สิงคโปร์พร้อมรีวิวการท่องเที่ยวบนฝั่งอีกนิดหน่อยครับ หลังจากได้มีโอกาสรีวิวแบ็คแพ็คเที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรกไปเมื่อปี 2558 โน้น! (กระทู้: pantip.com/topic/34497193) ห่างหายนานถึง 3 ปี ก็เพิ่งจะมีโอกาสได้นั่งเขียนรีวิวประสบการณ์ท่องเที่ยวลง Pantip อีกครั้งเป็นกระทู้ที่ 2 นี้ครับ และเช่นเคย...ด้วยความมือใหม่กระทู้เดียวใน Pantip ถ้ามีอะไรผิดพลาดรบกวนแนะนำติชมได้เลยนะครับผม ^_^
ก่อนอื่นต้องขอออกตัวเลยว่าแม้รีวิวนี้จะเป็น CR แต่ทริปนี้ผมไม่ได้เป็นคนออกเงินนะครับ เพราะมีผู้สนับสนุนคือผู้ใหญ่ใจดี (เจ้านาย) ของผมเอง ซึ่งพวกท่านมีทุนการเที่ยวพร้อมโจทย์สั้น ๆ ว่าพวกท่านอยากล่องเรือสำราญ + แบ็คแพ็คเที่ยวในสิงคโปร์สักวันสองวันและต้องมีข้าวมันไก่ 1 มื้อ โดยให้ผมหาตั๋วเครื่องบิน ที่พัก และแพ็คเกจล่องเรือไปให้เลือก แล้ววางแผนการทัวร์มาให้พร้อมสำหรับ 17 คน...เดี๋ยวนะครับ ผมหูไม่ฝาดใช่ไหม? พอรู้แบบนี้ก็ระทึกสิครับ! ทั้งจองตั๋วเครื่องบิน ที่พัก และการเดินทางที่รีเควสมาด้วยว่าอยากลองนั่งรถไฟฟ้าในสิงคโปร์ นี่จึงเป็นโจทย์ใหญ่ของผมที่ต้องวางแผนแบ็คแพ็คเที่ยวอย่างไรให้ยกโขยงเที่ยว 17 คนเสมือนไปเที่ยวแค่ไม่กี่คน โดยไม่เหมารถบัส ไม่จ้างบริษัททัวร์ แล้วผมจะจัดการกับทริปนี้อย่างไร แล้วจะเจออะไรบ้าง มาดูกันครับ
แพ็คเกจเรือสำราญ
สำหรับการล่องเรือ สิ่งแรกที่ผมต้องทำคือการหาแพ็คเกจเรือที่ว่างและพร้อมให้เที่ยวในช่วงเดือนที่ต้องการก่อนจะหาตั๋วเครื่องบิน เนื่องจากเรือสำราญเขาจะมีรอบออกเป็นรายสัปดาห์ในเส้นทางที่อาจจะไม่เหมือนกันในแต่ละช่วงเวลา ขึ้นอยู่กับว่าคุณสนใจเรือลำไหนในช่วงเวลาใดครับ ส่วนการหาเรือที่ชอบก็ไม่ยาก เพราะปัจจุบันในไทยมีเอเจนซีขายแพ็คเกจเรือสำราญอยู่หลายเจ้า ทั้งที่เดินทางจากท่าเรือในไทยและในต่างประเทศ และเลือกได้ระหว่างแพ็คเกจเรือพร้อมบริการรับ-ส่งจากสนามบิน หรือแพ็คเกจเรือเพียงอย่างเดียว ก็ขึ้นอยู่กับแพ็คเกจที่เขาขายหรือตามตกลงกันเลยครับ
นอกจากเอเจนซีจะมีหลายเจ้าแล้ว บริษัทผู้ให้บริการเรือสำราญ (เจ้าของเรือ) ก็มีหลายเจ้าด้วยครับ โดยสำหรับทริปนี้ทางผู้ใหญ่ตัดสินใจเลือกเรือของ Royal Caribbean ซึ่งถ้าไปดูในหน้าเว็บไซต์เขาก็จะพบว่าเป็นผู้ให้บริการเรือสำราญเจ้าใหญ่ที่มีเส้นทางเดินเรืออยู่ทั่วโลก และมีตัวแทนจำหน่ายแพ็คเกจเรือในไทย โดยผมติดต่อซื้อผ่าน Facebook (www.facebook.com/RoyalCaribbeanCruisesThailand/) เป็นตัวอย่างให้ดูนะครับว่าผมเลือกจองเรือกับเพจนี้ โดยจะต้องมีการมัดจำเงินก่อนเพื่อบุกกิ้งเรือ และจ่ายส่วนที่เหลือก่อนประมาณ 60 วัน โดยทางเอเจนซีจะส่งตั๋วเรือให้ล่วงหน้า 30 วันก่อนเดินทางครับ ซึ่งเอกสารที่ส่งมานั้นประกอบไปด้วย
- เอกสารการจองเรือ (ระบุชื่อสกุลผู้เข้าพักเป็นคู่ พร้อมชั้นและหมายเลขห้องที่จอง)
- เอกสารรับรองด้านสุขภาพ (ปกติก็ติ๊ก NO ทั้งหมดอยู่แล้ว ไว้การันตีสุขภาพเรา)
- คู่มือการท่องเที่ยวบนเรือภาษาไทย/อังกฤษ (ขึ้นอยู่กับผู้ให้บริการ)
- แท็กติดกระเป๋าโหลดขึ้นเรือคนละ 2 ใบ (ทางเอเจนซีพับพร้อมติดกระเป๋ามาให้เลย)
สำหรับแพ็คเกจเรือที่เลือกนั้นคือ เรือสำราญรอบวันที่ 16-19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561 เส้นทางสิงคโปร์ - ปีนัง (มาเลเซีย) - สิงคโปร์ โดยเดินทางไปกับเรือที่ชื่อว่า Voyager of the Seas จากนั้นก็เลือกห้องพักที่ต้องการครับ โดยมีตั้งแต่ห้องที่ไม่มีหน้าต่างเลย (ถูกสุด) ห้องที่มีหน้าต่างกลม ๆ หันออกทะเล ห้องที่มีหน้าต่างหันเข้าพลาซ่าในเรือ ไปจนถึงห้องที่มีระเบียงวิวทะเล และห้องสวีตขนาดใหญ่ (แพงสุด) โดยห้องถูกอยู่ชั้นล่าง ๆ ไล่ขึ้นมาจนแพงสุดจะอยู่ชั้นบน ๆ ซึ่งทริปของพวกผมได้เลือกห้องระเบียงวิวทะเลที่มีห้องติดกันทั้งหมดครับ อ้อ! แพ็คเกจเรือเขาขายเป็นคู่นะครับ 1 ห้อง 2 คน ถ้านอนคนเดียวจะลดราคาลงได้แค่นิดหน่อยซึ่งไม่คุ้มเท่าไหร่ ส่วนช่วงเวลาท่องเที่ยวบินเรือจะเป็นดังนี้ครับ
- วันที่ 16 ช่วงบ่ายเริ่มเช็คอินขึ้นเรือ และออกเดินทาง
- วันที่ 17 เดินทางถึงปีนังช่วงบ่าย และออกเดินทางต่อในช่วงกลางคืน
- วันที่ 18 ล่องเรือกลางทะเลตลอดวัน
- วันที่ 19 ถึงฝั่งสิงคโปร์ช่วงเช้าและเช็คเอาท์ออกจากเรือ
หน้าตาของเรือจากเว็บไซต์ www.royalcaribbeanincentives.com/ships/voyager-of-the-seas/ ถือว่าไม่ใช่เรือที่ใหญ่นักเมื่อเทียบกับเพื่อน ๆ ของมันในกลุ่ม Royal Caribbean ครับ (จุนักท่องเที่ยวได้ 3,114 คน)
ส่วนราคาของห้องกับเอเจนซีที่ผมจองเขาคิดเป็นเงินดอลลาร์สหรัฐครับ แต่ตอนเรียกเก็บเงินจะคิดเป็นเงินบาทโดยการคูณอัตราแลกเปลี่ยนในช่วงนั้น ๆ สรุปห้องระเบียงของผมโดนไปห้องละ 37,082 บาท (คนละ 18,541 บาท) ส่วนคนที่ 17 ที่นอนคนเดียวนั้นคิดเป็นเงินไทยคือ 34,353 บาทครับ แต่ถ้าคุณโอเคกับห้องที่มีแต่หน้าต่างหรือห้องที่ไม่มีหน้าต่างเลย ราคาก็จะถูกลงอีกนะครับ (ที่เช็คราคาตอนแรก ห้องที่มีหน้าต่างอย่างเดียวจะอยู่ที่ห้องละ 34,620 บาทครับ ราคา ณ ช่วงเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2561) โดยราคานี้ได้รวมทั้งที่พักและอาหารครบ 3 มื้อตั้งแต่เที่ยงวันที่ 16 ถึงเช้าวันที่ 19 เลยครับ
ตั๋วเครื่องบินและที่พัก
สำหรับทริปนี้พวกเราต้องไปขึ้นเรือกันที่ Marina South Pier ของประเทศสิงคโปร์ จึงต้องมีตั๋วเครื่องบินไปกลับสิงคโปร์ด้วย และผมก็ติดแต่จะบินกับของ AirAsia ไปซะหมด (เที่ยวเองที่ญี่ปุ่น 3 รอบสิงคโปร์ 1 รอบ ก็หางแดงเขาหมดเลย สนับสนุนรีวิวท่องเที่ยวผมได้นะครับ 555) จนค่อนข้างจะ Loyalty กับแบรนด์นี้นิดหน่อย แต่ถ้าใครไม่มักก็ยังมีตัวเลือกอื่น ๆ อีกนะครับ และเพื่อไม่ให้เป็นการเชียร์จนออกนอกหน้า ผมเลยต้องหาเที่ยวบินจากหลายสายการบินไปให้ผู้ใหญ่เลือกด้วย ส่วนทางผู้ใหญ่ก็เสนอว่าอยากนั่ง Singapore Airlines มา แต่สุดท้ายก็ต้องพ่ายให้ความถูกของหางแดงเขาล่ะ เพราะปัญหาหนึ่งของการจัดทัวร์แบ็คแพ็คแบบมากคนก็คือ คุณต้องรีบหาทุกสรรพสิ่งและจองให้จบพร้อม ๆ กันก่อนจะไม่เหลือที่ให้จอง ดังนั้นเห็นอะไรถูกสุดก็คว้าไว้ก่อนครับ แม้ว่าช่วงที่ซื้ออาจไม่ใช่โปรโมชั่นที่ถูกที่สุดในรอบปีก็ตามที่เถอะ
ผมจึงได้ตั๋วเครื่องบินไปกลับกรุงเทพฯ - สิงคโปร์ 17 ที่นั่ง โดยแบ่งจองทั้งหมด 4 บุกกิ้ง ได้ราคาถูกสุดคือไปกลับคนละ 5,175 บาท และแพงสุดคือ 5,815 บาท โดยบินช่วงวันที่ 16 เช้ากลับ 20 เย็นครับ โดยราคานี้ผมพ่วงแพ็คเกจกระเป๋า 20 กิโลกรัม + อาหารบนเครื่อง + เลือกที่นั่งด้วยนะ เพื่อจัดการให้ทุกคนให้นั่งเป็นกลุ่มและไม่ต้องห่วงเรื่องกระเป๋าเกินพร้อมของกินอิ่มหนำ ถ้าใครไม่เอาแพ็คเกจนี้ราคาตั๋วเครื่องบินก็จะถูกลงอีกประมาณคนละ 1,600 บาทเลยนะครับ แต่ยังไงก็ควรต้องซื้อน้ำหนักกระเป๋านะครับถ้าล่องเรือ เพราะหลายวันอยู่นะ
เรื่องต่อมาที่ต้องจัดการคือที่พักครับ จะเห็นได้ว่าผมจองตั๋วเครื่องบินเช้าวันที่ 16 และกลับวันที่ 20 แต่เรือสำราญล่องระหว่างวันที่ 16-19 เท่านั้น (และวันที่ 19 ช่วงเช้าก็ขึ้นฝั่งสิงคโปร์แล้ว) ดังนั้นทริปของผมจึงมีเวลาตั้งแต่ช่วงสายของวันที่ 19 ในสิงคโปร์จนถึงช่วงบ่ายของวันที่ 20 ก่อนไปสนามบินเพื่อเดินทางกลับ โดยที่พักทางผู้ใหญ่ได้จิ้มเลือกและจองให้พวกผมเลยคือโรงแรม Furama City Centre ซึ่งตั้งอยู่ใจกลางย่านไชน่าทาวน์ครับ สำหรับราคาค่อนไปทางสูงหน่อยเพราะเป็นโรงแรม 4 ดาว ใครที่สนใจแบ็คแพ็คสิงคโปร์ในราคาประหยัดผมขอแนะนำเป็นโฮสเทลดีกว่า ซึ่งผมเคยใช้บริการ Hotel 81 Cosy ในไชน่าทาวน์ตอนมาเที่ยวเอง ราคาไม่แรงแถมบรรยากาศน่ารักด้วยครับ
แผนการเดินทาง
และนี่คือแผนการเดินทางในทริปของผมครับ โดยผมจะซอยเวลาเป็นชั่วโมง ๆ และวางบล็อกไว้ว่าแต่ละที่เที่ยวและการเดินทางจะใช้เวลากี่ชั่วโมงบ้างคร่าว ๆ พร้อมเส้นทางการเดินทาง ซึ่งจะทำให้เราเห็นภาพและจัดทริปได้อย่างลงตัวได้ ตารางนี้ผมพิสูจน์มาแล้วทุกทริปนับว่าช่วยวางแผนได้ดีมาก ๆ เลยครับ แต่ในแผนไม่มีเมอร์ไลอ้อนเพราะช่วงที่ไปกำลังปิดปรับปรุงครับ
เตรียมตัวก่อนเดินทาง
1. หนังสือเดินทาง ต้องมีอายุ 6 เดือนขึ้นไปในวันเดินทาง ถ้าเป็นหนังสือหน้าขาว (ไม่เคยไปเที่ยวไหนเลย) ก็เตรียมพวกหนังสือรับรองเงินเดือนหรือการทำงานเป็นภาษาอังกฤษไปสักหน่อยก็ดีครับจะได้จบเรื่องกับ ตม. ง่าย ๆ
2. เสื้อผ้าอาภรณ์ สิงคโปร์มีแค่ 2 ฤดูกาลคือแล้งกับฝน และอากาศค่อนข้างอบอ้าวตลอดทั้งปี ดังนั้นเสื้อยืดกางเกงขาสั้นจึงเหมาะที่สุดครับ แต่สำหรับบนเรือคุณต้องมีชุดสุภาพสำหรับการดินเนอร์ในห้องอาหารสุดหรู (จะเข้าหรือไม่เข้าก็ได้) โดยบรีฟที่ผมได้มาคือชุดสูท-ชุดราตรี-ชุดไทยร่วมสมัย แบบอลังการไปเลย แต่สุดท้ายจะเป็นอย่างไรเดี๋ยวเล่าให้ฟังบนเรือนะ
3. เงินสด เนื่องจากทริปของผมมีผู้สนับสนุนค่าใช้จ่ายจึงเตรียมเงินไปแค่ 5,000 บาท (แลกเป็นเงินสิงคโปร์ได้ประมาณ 200 ดอลลาร์สิงคโปร์) แถมยังเหลือเงินกลับมาเกินครึ่ง แต่ทริปก่อนที่ผมไปเที่ยวสิงคโปร์เองผมเตรียมไป 10,000 บาทครับ เพราะค่าอาหารในสิงคโปร์ก็ดุพอสมควร แต่ถ้าไปล่องเรืออย่างเดียวก็ไม่ต้องเอาไปเยอะ และค่าใช้จ่ายส่วนเกินบนเรือทั้งหมดต้องจ่ายด้วยสกุลดอลลาร์สหรัฐเท่านั้น ถ้าคุณมีแผนจะช้อปปิ้ง กินอาหารหรูนอกเหนือจากแพ็คเกจ หรือจะเสี่ยงโชคกับคาสิโนบนเรือ ก็ต้องแลกเงิน USD ไปด้วยหรือจ่ายกับบัตรเครดิตก็ได้ครับ
4. เตรียมเอกสารการจองเรือที่ได้รับจากเอเจนซี, พิมพ์ใบจองตั๋วเครื่องบิน, ใบจองโรงแรม, (ถ้ามีนอนนอกจากเรือ) และแผนการเที่ยวแนบไปด้วย เพราะจากประสบการณ์ที่ผมเจอ ตม. สิงคโปร์ดูจะชอบซักไซ้มากกว่า ตม. ญี่ปุ่นอยู่พอสมควร อย่างที่ผมไปมาก็ถามว่าล่องเรือไปไหน กลับวันไหน กี่วัน อย่างไรบ้าง มากับใคร เป็นอะไรกัน แม้พาสสปอร์ตจะประทับตรามาหลายหน้าแล้วก็เถอะ (ส่วนพี่คนหนึ่งที่พวกเราเป็นห่วงมากที่สุดว่าจะติด ตม. กลับผ่านฉลุยแบบไม่มีสักคำถามเลยจ้า)
นอกจากนี้ผมยังมีรายละเอียดการขึ้นเรือ การใช้จ่ายบนเรือ และการเข้าออกระหว่างเรือกับประเทศสิงคโปร์และมาเลเซียอีกนะ แต่จะเล่าเป็นช่วง ๆ ตามวันที่เดินทางนะครับ จะได้ไม่ยืดยาวกับช่วงแรกจนเกินไป การกินอยู่นอนเที่ยวบินเรือ Voyager of the Seas จะเป็นอย่างไร ผมจะบอกเล่าประสบการณ์แบบละเอียดยิบเลยครับ!
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้