[BR] เลี้ยงลูกเหนื้อย..เหนื่อย ลูกเลี้ยงย๊าก..ยาก อยากได้ผู้ช่วยที่รู้ใจเข้ามาทางนี้ค่ะ

กระทู้ผู้สนับสนุน
ปุ้ยเชื่อว่ามีคุณแม่มือใหม่จำนวนไม่น้อย ที่กังวลเรื่องเลี้ยงลูก จริงๆ ความกังวล มีตั้งแต่จะเตรียมตัวคลอดยังไงดี จะมีนมพอให้ลูกดูดมั้ย ลูกร้องโยเยไม่มีเหตุผล จะทำยังไง เราจะเลี้ยงลูกยังไงดี ถ้าลูกดื้อจะตีดีมั้ย หรือจะค่อยๆ อธิบาย ลูกจะเข้าใจมั้ย

ปุ้ยก็เป็นหนึ่งในคนที่เตรียมความพร้อมล่วงหน้าก่อนมีลูกเยอะมากๆๆ จนวันนี้ลูกสาว 2 ขวบพอดิบพอดี ได้พิสูจน์แล้วว่า การเตรียมความพร้อมที่ดีนั้น ช่วยให้เราเลี้ยงลูกได้ราบลื่นและก็มีพัฒนาการที่ดีกว่าเด็กวัยเดียวกันมากค่ะ

ใครๆ ก็มักจะชมว่า ลูกสาวเป็นเด็กอารมณ์ดี เลี้ยงง่าย น่ารัก คุยเก่ง จริงๆ ปุ้ยแค่นำเทคนิคดีๆ ที่ได้อ่าน ทั้งจากหนังสือเลี้ยงลูกต่างๆ บทความออนไลน์ เพจคุณหมอ เพจแม่และเด็ก และที่ดีที่สุดก็คือ การคอยสังเกตและรับฟังประสบการณ์จากคนใกล้ชิด ก่อนหน้าที่จะมีลูกปุ้ยมีโอกาสทำงานในวงการเด็กมา 2-3 ปี ปุ้ยชอบแอบดูเวลาที่แม่ๆ สอนลูก ดูเทคนิคของแต่ละบ้าน แล้วก็นึกภาพตามว่า ถ้าเกิดสถานการณ์แบบเดียวกัน เมื่อเป็นลูกของเรา เราจะเลี้ยงจะสอนเค้ายังไง

ทั้งการอ่านและประสบการณ์ที่สะสมมาเรื่อยๆ พอมีลูกเองจริงๆ ปุ้ยก็นำมาปรับใช้ให้ถูกในทางของเราเอง หลักสำคัญง่ายๆ ที่ปุ้ยยึดมากตลอด
คือ “พยายามเข้าใจอารมณ์ของลูกและพยายามสื่อสารกับเค้าให้มากๆ” นอกจากนั้น ก็ต้องคอยเก็บเกี่ยวเทคนิควิธีการเลี้ยงลูกเพิ่มไปเรื่อยๆ และก็ทบทวนตัวเองว่า เลี้ยงเค้าได้ดีพอแล้วหรือยัง เราทุ่มเทให้เค้ามากกว่านี้ได้อีกมั้ย

วันนี้ปุ้ยมีแหล่งข้อมูลสำหรับคุณพ่อคณแม่ ที่ปุ้ยอ่านแล้วรู้สึกว่ามีสาระประโยชน์ดีๆ อยู่มากมาย อย่าง Nestlé Mom Club มาแนะนำกัน สำหรับว่าที่คุณพ่อคุณแม่ที่กำลังวางแผนตั้งครรภ์ จนถึงลูกวัยสองขวบ ซึ่งจะครอบคลุมเนื้อหาทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็น บทความเชิงวิชาการ โภชนาการ พัฒนาการด้านร่างกายและ จิตใจของลูกน้อยในแต่ละช่วงวัย การเปลี่ยนแปลงด้าน ร่างกายและอารมณ์ของคุณแม่ รวมถึงเรื่องราวน่ารู้สําหรับคุณพ่อคุณแม่และลูกน้อย

เด็กในช่วง 1,000 วันแรก หรือตั้งแต่ตั้งครรภ์ จนถึง 2  ปีเนี่ย ถือว่าเป็นโอกาสทองสำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่จะช่วยส่งเสริมและพัฒนาทักษะการเคลื่อนไหว และเรียนรู้โลกที่สดใสรอบๆ ตัวลูกน้อย ตัวอย่างวิธีส่งเสริมพัฒนาการให้ลูกน้อย ที่ปุ้ยได้จาก Nestlé Mom Club ซึ่งพอนำไปประยุกต์ใช้ในการเลี้ยงลูก และก็ได้ผลดีจริงๆ เลยอยากนำมาแชร์กันค่ะ

• อ่านหนังสือให้ฟัง ปลูกฝังให้ลูกมีความสนใจในหนังสือ
ปุ้ยสังเกตได้เลยว่า การอ่านหนังสือนอกจากจะเป็นการฝึกสมาธิ เสริมสร้างจิตนาการแล้ว ในช่วงปีแรกเค้าก็จะฝึกสังเกต พอเริ่มพูดได้ในช่วง 1 ขวบ เค้าก็จะเรียนรู้คำศัทพ์ต่างๆ ทั้งสีสันและรูปทรงของสิ่งต่างๆ พอเข้า 2 ขวบ เค้าจะเริ่มเชื่อมโยงความสัมพันธ์ของสิ่งต่างๆ ที่เห็นทั้งในหนังสือและจากประสบกาณ์จริง เริ่มเรียงประโยค และแต่งประโยคเองได้ เป็นการกระตุ้นการสื่อสาร อีกทั้งเพิ่มความแน่นแฟ้นของสายสัมพันธ์กับคุณพ่อคุณแม่ที่อ่านนิทานให้เค้าฟังทุกวันด้วยค่ะ

• ส่งเสริมให้ลูกเล่นกับคนอื่นๆ ซึ่งจะช่วยสอนทักษะการแบ่งปัน
น้องมิลลี่ นอกจากชอบพูดคุยและเล่นกับคุณน้าคุณอา แล้วยังชอบเล่นกับสัตว์เลี้ยงด้วยค่ะ เป็นตัวช่วยฝึกให้เค้าเข้าสังคม เล่นอย่างมีกติกา รู้จักเมตตาและเข้าใจผู้อื่นด้วย

• พูดคุยกับลูกด้วยประโยคที่สมบูรณ์อย่างที่คุณแม่สื่อสารกับคนอื่นๆ ตามปกติ เพื่อช่วยพัฒนาทักษะด้านภาษาให้ลูกน้อย
ทำให้เค้าพูดและสื่อสารได้ดีและมีพัฒนาการที่ไวมากๆ ตอนนี้หนูมิลลี่ 2 ขวบก็สามารถสื่อสารและแสดงความต้องการของตัวเองได้อย่างชัดเจนแล้วค่ะ
• สอนลูกด้วยจังหวะหรือเพลงง่ายๆ เพื่อส่งเสริมการพูด และการจดจำคำศัพท์ที่แตกต่างกัน
ปุ้ยร้องเพลงและเปิดเพลงให้เค้าฟังทุกวัน สังเกตได้เลยว่าพัฒนาการด้านคำศัพท์ของเค้าจะเรียนรู้ไวมาก และก็จะเป็นเด็กอารมณ์ดีทั้งวัน เพราะว่าเพลงช่วยผ่อนคลายด้วยค่ะ ถ้าวันไหนไม่ร้องเพลง ไม่เปิดเพลงให้เค้าฟัง เค้าก็จะร้องเพลงเอง ฮัมเพลงไปทั้งวันเลยค่ะ
• ชมเชยลูกเมื่อเขามีพฤติกรรมที่เหมาะสม และไม่ให้ความสนใจมากเกินไปเมื่อลูกมีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม
ข้อนี้ปุ้ยลองทำดู เห็นผลดีมากๆ ค่ะ อะไรที่รู้ว่าทำแล้วดี เค้าจะขยันทำด้วยนะคะ นอกจากทำให้ลูกมีวินัย รู้อะไรควร/ไม่ควรทำ แล้วยังช่วยให้เค้าฝึกสังเกตและเรียนรู้อารมณ์ของผู้อื่นด้วย

• ส่งเสริมทักษะการเคลื่อนไหวให้ลูกน้อย โดยไม่ควรดุหรือขัดขวางกิจกรรมการเคลื่อนไหวร่างกายของลูกน้อย
(แต่ต้องมีกฏเพื่อให้รู้ขีดจำกัดและความเหมาะสม) เด็กๆ จะพัฒนาการรับรู้ต่างๆ ทั้งภาษา ความคิด และอารมณ์ ผ่านกระบวนการการเคลื่อนไหวของร่างกาย

ที่บ้านเนี่ย ปุ้ยจะให้เค้ามีอิสระเต็มที่ ไม่กั้นคอกเล็กๆ แต่สร้างพื้นที่เล่นให้เค้า กว้างพอที่จะวิ่งเล่น กระโดด โลดเต้น และมีจินตนาการได้เต็มที่ ไม่ค่อยห้าม ไม่ค่อยดุ อยากทำอะไรปล่อยเค้าทำ เราดูอยู่ห่างๆ แต่ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ยากมากสำหรับเด็กเล็กในแง่ของความปลอดภัย ดังนั้นจึงต้องสร้างสภาพแวดล้อมที่สะอาดและปราศจากสิ่งที่เป็นอันตราย เพื่อสนับสนุนให้เค้าได้เล่นได้เรียนรู้แบบอิสระเต็มที่ ที่เหลือเราก็แค่เชื่อมั่นในศักยภาพของเค้า เค้าจะค้นพบเองว่าตัวเองพร้อมที่จะเรียนรู้ ฝึกฝนการเคลื่อนไหว และทำกิจกรรมอะไรได้บ้าง

• คุณพ่อคุณแม่จำเป็นต้องฝึกเรื่องระเบียบวินัยให้ลูกด้วย
โดยส่งเสริมให้ลูกน้อยรู้จักช่วยคุณแม่ทำงานบ้านง่ายๆ เช่น เก็บของเล่นหลังจากเล่นเสร็จแล้ว ทำความสะอาดโต๊ะ ซึ่งจะช่วยให้เด็กๆ ภูมิใจ และเห็นคุณค่าของตัวเองอีกด้วย
การฝึกวินัยไม่ยากนะคะ แค่ “ทำให้เค้าดู ทำด้วยกัน และปล่อยให้เค้าทำเอง” แรกๆ ก็อาจจะขรุขระนิดหน่อย แต่ให้เค้าฝึกไปซักพัก คุณแม่จะพบว่าลูกเก่งกว่าที่เราคิด ที่เหลือก็แค่นั่งยิ้มและชมเค้าให้เยอะๆ

• ฝึกให้ลูกล้างมือ ผูกเชือกรองเท้า และติดกระดุมเอง สิ่งเหล่านี้ช่วยให้เด็กสามารถพึ่งพาตัวเองได้
เมื่อเขาสามารถทำได้ เขาจะมีความมั่นใจในสิ่งต่างๆ ที่เขาทำ ความมั่นใจนี้จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และเขาจะสามารถทำสิ่งต่างๆ ได้มากขึ้น เรียนรู้หน้าที่ความรับผิดชอบ และการใช้ชีวิตได้โดยไม่ต้องพึ่งพาผู้อื่น ปุ้ยลองฝึกวินัยแบบค่อยๆ เป็นค่อยไปไม่เร่งรัด แรกๆ ก็ทำให้เค้าเห็นทุกวันจนเป็นภาพชิน แล้วก็ลองชวนเค้าทำ ทำให้เหมือนเป็นเรื่องสนุกที่เราทำด้วยกัน และคอยสังเกตวันนึงถ้าเค้าพร้อมจะเริ่มอยากทำอะไรต่างๆ ด้วยตัวเอง ตอนนั้นเราก็ “ทำให้เค้าดู ทำด้วยกัน และปล่อยให้เค้าทำเอง” วิธีนี้เค้าจะรู้สึกสบายใจและภูมิใจเมื่อทำได้สำเร็จค่ะ

• คุณแม่ควรพาเด็กๆ ไปเดินเล่นในสวนสาธารณะหรือไปว่ายน้ำ
ซึ่งจะช่วยให้ลูกรู้สึกกระปรี้กระเปร่า และช่วยให้เขารู้จักโลกภายนอกมากขึ้น รวมทั้งช่วยปลูกฝังทักษะต่างๆ
จริงๆ คนที่ชวนจะออกไปเล่นข้างนอกทุกวัน ก็ลูกเนี่ยแหละ จะดีใจดี๊ด๊ามากๆ ได้เห็นพี่ๆ เพื่อนๆ เล่นเตะบอล เล่นสไลเดอร์ ชิงช้า บางทีแค่ได้เห็นท้องฟ้า เห็นนกบ้าง ก็ดีใจมากๆ แล้ว ที่บ้านให้เล่นทราย เล่นบ่อปลาอยู่กับบ้าน แค่วันละ 20 - 30 นาที เค้าก็สนุกสุดๆ แล้วค่ะ

นอกจากการกระตุ้นพัฒนาการแล้ว ก็ยังมีเทคนิคดีๆ ในการเลี้ยงลูกอีก เช่น เทคนิคช่วยให้ลูกนอนหลับช่วงกลางวัน
• ใช้คำว่า “พักผ่อน” แทนคำว่า “นอน”
• ให้ลูกนอนพักบนเบาะนุ่มๆ ที่ทำขึ้น หรือในเต้นท์ของเล่น โดยไม่จำเป็นต้องพานอนบนเตียงของตัวเอง
• ให้หนังสืออ่านเล่นในช่วงนอนพักผ่อน
• กินอาหารที่เหมาะสม หลีกเลี่ยงน้ำตาลขัดขาว สีผสมอาหาร และสารปรุงแต่งรสชาติต่างๆ
• กำหนดเวลาพักผ่อนให้ตรงกันในทุกๆ วัน
• ให้ลูกนอนพักผ่อนอย่างเต็มที่ เพื่อจะได้มีกิจกรรมการเล่นช่วงเย็นอีกครั้ง ก่อนเริ่มทำกิจวัตรเข้านอนในช่วงกลางคืนต่อไป

เทคนิครับมือกับปัญหา “ลูกกินยาก” ด้วยความเข้าใจ
1. อย่ากดดันลูกมากจนเกินไป นั่งลงกินด้วยกันข้างๆ ถ้าลูกกินดี ก็ยิ้มให้แล้วชมว่า “ดีจังเลย” “เก่งจังเลย”
2. ให้ลูกมีส่วนร่วมในการทำอาหาร ตั้งแต่พาไปซื้อวัตถุดิบด้วย ลูกก็ได้เรียนรู้คำศัพท์ผัก ผลไม้และอาหารไปด้วย สนุกที่ได้เห็นคุณแม่ทำอาหารให้ ก็เลยทำให้อยากกินอาหารที่คุณแม่ทำ
3. กำหนดสภาพแวดล้อมให้น่าสนุก ให้เค้าเลือกภาชนะและอุปกรณ์ที่เค้าชอบ ก็จะช่วยให้เค้าอยากกินมากขึ้น
4. จัดอาหารให้มีปริมาณที่เหมาะสม ค่อยๆ วางอาหารในปริมาณที่น้อยก่อน แล้วถ้าเค้ากินดี ค่อยเพิ่มปริมาณลงไปอีก
5. ใช้ความอดทนกับการหัดกินของเด็กวัยนี้ ให้เวลาเค้าอย่างเต็มที่ อาจจะมีเละเทะเลอะเทอะมาก แต่เดี๋ยวจะค่อยๆ ดีขึ้นเรื่อยๆ ค่ะ
หนูมิลลี่ ก็ฝึกกินข้าวเองตั้งแต่ 9 เดือนไม่ชอบให้ป้อน และชอบให้คุณแม่นั่งกินด้วยกันอยู่ข้างๆ แม้จะเป็นเด็กกินไม่เก่ง แต่ก็ชอบที่จะกินเอง ถ้ากินอิ่มแล้ว สังเกตจังหวะกินจะช้าลง เอาอาหารมาเล่น ปาหรือเทลงพื้น ส่วนความเลอะเทอะนั้นไม่ต้องพูดถึง 555
ฝึกไปเรื่อยๆ นะคะ ตอนนี้ 2 ขวบแล้วเลอะเทอะน้อยลงมาก พอกินเสร็จรู้จักล้างมือ และทำความสะอาดโต๊ะเองด้วยค่ะ

เทคนิคการฝึกลูกขับถ่าย
1. ให้ลูกรู้สึกว่าการเข้าห้องน้ำเป็นเรื่องสนุก
2. สร้างความคุ้นเคยให้ลูกกับสถานที่ในการขับถ่าย
3. อย่าแสดงความรังเกียจกลิ่นของเสียหรือกระโถนของลูก
4. กำหนดกิจวัตรในการขับถ่ายให้เป็นเวลา
5. หาหนังสือรูปภาพที่น่าสนใจให้ลูก และวางไว้ถัดจากโถส้วมในห้องน้ำ ให้ลูกสามารถหยิบมาดูได้สะดวกในขณะที่ใช้ห้องน้ำ
6. ให้รางวัลช่วยสร้างความรู้สึกอยากฝึกขับถ่ายให้ลูกได้
7. ให้ลูกเป็นคนตัดสินใจเมื่อเขาอยากเข้าห้องน้ำ และให้ใช้เวลาได้นานตามที่เขาต้องการ
8. ใส่เสื้อผ้าที่สะดวกถอดหรือเปิดได้ง่าย
9. อย่าเริ่มฝึกลูกเร็วเกินไป

นี่เป็นแค่บางตัวอย่างจากที่ปุ้ยนำมาปรับใช้ค่ะ ปุ้ยรู้สึกว่าเนื้อหาหลายๆ เรื่องน่าสนใจมาก มีหลักการที่น่าเชื่อถือ อีกทั้งยังตอบโจทย์ชีวิตยุคใหม่ มีเวลาว่างอันน้อยนิดหยิบสมาร์ทโฟน ก็แค่ตอนลูกหลับ

ดังนั้นการบริโภคสื่อออนไลน์จึงเป็นทางเลือกที่ดูเหมาะเจาะที่สุดที่สำคัญยังสามารถกดแชร์ หัวข้อเนื้อหาที่อ่านแล้วโดนใจ ไปแบ่งปันกับเพื่อนๆ ในสังคมออนไลน์ได้ง่ายด้วย

นอกจากจากเว็บไซต์แล้ว ปุ้ยก็ได้ติดตามข้อมมูลอื่นๆ ทาง FACEBOOK และ LINE แล้วรู้สึกดีมากๆ รู้สึกอบอุ่น เหมือนมีเพื่อนที่เข้าใจคนเป็นแม่ อยู่เคียงข้างและเดินไปพร้อมกับการเติบโตของลูกเรา เพราะมีข้อมูลที่เจาะจงกับพัฒนาการและช่วงวัยของลูก จึงอยากมาแนะนำแบ่งปันต่อให้ว่าที่กำลังวางแผนเป็นคุณพ่อคุณแม่และคุณพ่อคุณแม่ที่มีลูกน้อยวัย 1-3 ปีค่ะ

วันนี้ต้องไปก่อนแล้ว ในกระทู้หน้าสัญญาว่าจะมาแชร์เรื่องราวดีๆ กันต่อนะคะ

สำหรับท่านที่สนใจ สมัครเป็นสมาชิก Nestle Mom Club ตอนนี้เค้ามี Gifset ส่งให้ถึงบ้านสำหรับคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ด้วยนะคะ ติดตามรายละเอียดที่ http://www.nestlemomclub.in.th/ หรือ   https://www.facebook.com/NestleMomClub/
ชื่อสินค้า:   Nestle Mom Club
คะแนน:     

BR - Business Review : กระทู้นี้เป็นกระทู้รีวิวจากผู้สนับสนุน

แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่