ช่วงนี้เห็นเพื่อนๆและคนรอบตัวผมหลายคนเริ่มบ่น
เรื่องอาการเจ็บป่วยและความเครียดจากการทำงานหนัก
ทำให้หลายคนที่ร่างกายเคยแข็งแรงก็กลับเจ็บป่วย
หลายคนที่เคยสดใสร่าเริง มีความสุขกับทุกเรื่อง กลับกลายเป็นซึมเศร้า
วันนี้ผมเลยอยากมาเล่าเพื่อแบ่งปันเรื่องราวของผม
ในฐานะคนที่เคยบ้างานจนพังทั้งสุขภาพกาย สุขภาพจิต
ไม่รู้ว่าจะมีคนอ่านมากน้อยแค่ไหน แต่ก็หวังว่าจะเป็นประโยชน์กับใครซักคนที่บังเอิญเข้ามาอ่าน
บอกอีกอย่างว่าผมเขียนไม่เก่ง และไม่แน่ใจว่าจะถ่ายทอดออกมาได้ดีแค่ไหน
แต่ก็หวังอีกว่าจะมีซักบรรทัด ซักประโยค ที่จะมีประโยชน์กับใครซักคนนะครับ
.
.
.
ก่อนอื่น ผมขอเล่าเรื่องที่จุดประกายให้ผมทุ่มเทกับงานนี้ก่อนครับ
ตั้งแต่จำความได้ ถ้าใครถามว่าโตขึ้นอยากเป็นอะไร
ผมก็จะตอบเหมือนเดิมทุกครั้งว่าอยากเป็น “ครู”
ด้วยความที่พ่อและแม่ผมเป็นครูทั้งคู่
สำหรับผมในวัยเด็กก็แค่คิดว่าอาชีพนี้ดูเท่ดี
จนวันนึง ผมไปออกค่ายกับม.ที่ต่างจังหวัด ในหมู่บ้านที่แทบไม่มีอะไรเลย
ไปที่โรงเรียนเล็กๆ แต่ใหญ่ที่สุดในหมู่บ้าน มีเด็ก 30 กว่าคน กับครู 2-3 คน
ทุกอย่างแตกต่างจากโรงเรียนในเมืองที่ผมเคยสัมผัส
ห้องเรียนเล็กๆ หนังสือที่เวียนกันใช้ไม่รู้กี่รุ่น เช่นเดียวกับชุดนักเรียนและอุปกรณ์ต่างๆ
ผมเห็นความตั้งใจ อยากรู้อยากเรียนของเด็กๆที่มีมากมาย
สวนทางกับโอกาสที่เค้าได้รับ ทั้งสิ่งแวดล้อม อุปกรณ์ ครู
ทุกอย่างไม่เพียงพอ ไม่พร้อมที่จะให้เค้าซักอย่าง
มันมีความเหลื่อมล้ำ มีช่องว่างที่ใหญ่มากๆ ระหว่างโรงเรียนในเมืองกับชนบท
ผมอยากเข้าไปเติมเต็ม ไปให้สิ่งที่เด็กๆเหล่านี้ต้องการ
ผมคนเดียวอาจไม่ได้สร้างความเปลี่ยนแปลงอะไรมากมาย
แต่ผมเชื่อว่าเด็กๆเหล่านี้จะสามารถเปลี่ยนโลกได้จริงๆ
ถ้าเรามอบโอกาสให้เค้า
ผมเชื่อว่าการศึกษา จะสร้างความเจริญงอกงาม ในทุกๆด้านให้กับทุกสังคม
และวันนั้นก็ทำให้ผมตั้งใจและบอกตัวเองมาตลอดว่า
คนอย่างผมเนี่ยแหละ จะเป็นครูที่ดีให้ได้
ผมตั้งใจเรียนจนจบจากรั้วเทาแดง
และได้บรรจุเข้าเป็นข้าราชการครูที่โรงเรียนแห่งหนึ่ง
เหมือนฝันที่เป็นจริง
ผมบอกกับตัวเองในใจทุกเช้า
ว่าผมจะตั้งใจทำหน้าที่ครูให้ดีที่สุด
อาจไม่ดีเท่าหรืออาจมีวิธีที่ไม่เหมือนกับที่พ่อกับแม่ผมเป็น
แต่ผมก็ตั้งใจทำให้ดีที่สุดในแบบของผม
บอกเลยว่าช่วงนั้นไฟแรงมากๆ
ทั้งวิชาที่ตัวเองสอน ไปช่วยคนอื่นสอน ดูแลเด็ก ทำกิจกรรมต่างๆนานา
เรียกได้ว่าเค้าให้ทำอะไรก็ทำหมด ไม่เคยรู้สึกเหน็ดเหนื่อย
ก็ยอมรับว่ามีเครียดบ้างนิดๆหน่อยๆระหว่างวัน
เวลาที่เด็กไม่เชื่อฟังบ้าง มีปัญหาเล็กๆน้อยๆในระบบงานหรือเอกสารบ้าง
แต่ผมก็สนุกกับการทำงาน สนุกอยู่กับความฝันของตัวเองสุดๆ
ผมแค่คิดว่า ผมมีความสุขที่ได้ทำทุกอย่างเหล่านี้
ได้สอนหนังสือ สอนการใช้ชีวิต สอนสิ่งต่างๆให้กับเด็กๆ
เห็นเค้ายิ้ม มีความสุขกับการเรียน เห็นการพัฒนาของพวกเค้า
นั่นคือสิ่งที่ผมต้องการที่สุดแล้ว




ผมใช้แรงใจและ passion ทั้งหมดที่มีเพื่อขับเคลื่อนความฝันมาเรื่อยๆ
จนผ่านมาประมาณปีกว่า ร่างกายเริ่มฟ้องว่าไม่ไหว
จากที่ผมสุขภาพแข็งแรงมาตลอด
ออกกำลังกายประจำ บุหรี่ไม่สูบ แอลกอฮอลล์มีบ้างบางโอกาส ไม่เคยมีโรคประจำตัว
ผมก็เริ่มป่วย บ่อยขึ้น และนานขึ้น
เริ่มเหนื่อยง่ายขึ้น หายใจยากขึ้น เหมือนหายใจลึกเท่าไหร่ก็ไม่พอ
หน้าเริ่มโทรม หมองคล้ำเหมือนคนโดนของ (เพื่อนชอบทักแบบนี้)
ท้องเริ่มผูกจนลงพุงไม่รู้เพราะเครียดหรือไม่ค่อยกินผัก
จากที่แค่เป็นคนตัวใหญ่ ก็เริ่มกลายเป็นคนอ้วน เริ่มบวมจนพุงนำนม (แฟนผมชอบว่าแบบนี้)
แขนขาบางครั้งก็ไม่มีแรงขึ้นมาเฉยๆ ทั้งที่ผมก็ออกกำลังกายปกติ (แต่จริงๆก็น้อยลง)
แต่น่าจะเพราะช่วงนั้นผมกินข้าวไม่เป็นเวลา และข้าวที่กินก็ไม่ค่อยมีสารอาหารเท่าไหร่
ด้านสุขภาพจิตเริ่มแย่ลง
ผมเริ่มหงุดหงิดง่ายขึ้น ไม่ถึงกับกลายเป็นคนโมโหร้าย
แต่บางทีกับเรื่องเล็กๆผมกลับหงุดหงิดจนแฟนเริ่มผิดสังเกต
ผมนอนหลับยากขึ้น พยายามข่มตา ข่มใจให้หลับ จนเหนื่อย
จนหลังๆกลายเป็นว่า ไม่มีความรู้สึกง่วงนอน หรืออยากหลับ
แต่ต้องนอนให้หลับ เพราะมันถึงเวลานอน แค่นั้น
แฟนบอกว่าช่วงนี้ผมดูเครียดๆ ผมบอกเค้าว่า ผมไม่เครียด
จนวันนึงที่ผมเหนื่อยมากๆ กลับมาถึงบ้าน นั่งดูทีวีพูดคุยกับแฟนเหมือนทุกวัน
อยู่ดีๆผมก็รู้สึกสั่นไปทั้งตัว มือไม้เริ่มชา หัวใจเต้นเร็วขึ้น
แล้วอยู่ดีๆผมก็ร้องไห้ออกมา
ทั้งที่ผมไม่ได้รู้สึกเศร้าซักนิด ตอนนั้นมันก็แค่ร้องไห้ออกมาเอง
แฟนพาผมไปตรวจร่างกายทุกอย่าง ปกติ
หมอสันนิษฐานว่าผมอาจจะทำงานหนักจนเครียด
และก็เริ่มเตือนให้ผมดูแลตัวเองให้มากขึ้น
แต่ผมก็ยังเลือกที่จะทำงานและใช้ชีวิตแบบเดิมต่อไป
เมื่อร่างกายแย่ลง ก็ทำให้ประสิทธิการทำงานของผมลดลง
แต่ผมก็ไม่อยากลางาน เพราะถ้าผมขาดงานไปเด็กๆก็จะเรียนไม่ต่อเนื่อง
บางทีต้องไปรบกวนเพื่อนครูคนอื่นให้มาสอนคาบผมแทน ซึ่งก็ไม่ใช่อะไรที่ดีเท่าไหร่
ผมเริ่มป่วยบ่อยขึ้น และดูมีความสุขน้อยลง
จนแม่ก็เริ่มเป็นห่วง และเฝ้าถามผมบ่อยครั้ง
ว่า “อยากจะลาออกมั้ย?”
วันนั้นผมเลยได้หยุด คิด ทบทวน ผมคิดเรื่องนี้อยู่พักใหญ่
ผมยังอยากอยู่ตรงนี้ ผมคิดแค่ว่า ณ เวลาที่ทำนั้นผมมีความสุข
ผมลองคิดว่าจะเปลี่ยนมาทำอาชีพอื่นก็นึกไม่ออก ว่าทำอะไรแล้วจะมีความสุขเท่าการเป็นครูอีก
ผมคิดว่าไม่ว่างานอะไร ก็เหนื่อยด้วยกันทั้งนั้น ไม่มีงานไหนหรอก ที่ไม่เหนื่อย
และมีอีกหลายคนที่เหนื่อยกว่าผม ทำงานหนักกว่าผม
แต่อะไรที่ทำให้เค้ายังอยู่ตรงนั้นได้ เค้าทำอะไรที่ผมยังไม่ได้ทำรึป่าว
ผมนึกถึงคำพูดที่หมอเคยบอกผมตอนไปตรวจร่างกายครั้งล่าสุด
ว่าให้เริ่มดูแลสุขภาพอย่างจริงจัง
เพราะร่างกายมีแค่ 1 ร่างกาย และชีวิตก็มีแค่ 1 ชีวิต
ถ้าผมอยากอยู่ทำสิ่งที่ผมรักไปนานๆ อย่างแรกผมควรจะเริ่มรักตัวเอง
ผมใช้เวลาอยู่สักพักในการทบทวนตัวเอง
ทำให้รู้ว่า การที่ผมทุ่มเทแรงกาย แรงใจ และเวลาเกือบทั้งหมดในชีวิตช่วงนั้น
ให้กับความฝันและการทำงานที่ผมรัก
มันทำให้ผมละเลย อีกหนึ่งสิ่งที่สำคัญไม่แพ้ความฝัน ก็คือ “ร่างกาย”
ผมรู้แล้วว่าการจะเดินทางตามความฝันไปให้ไกลที่สุด
ก็ต้องเริ่มจากดูแล “ร่างกาย” ที่เป็นพาหนะที่จะพาเราไปจนสุดทางให้ดีที่สุด
ผมรู้แล้วว่าการเดินทางในชีวิตของคนเรา
ไม่ใช่การวิ่งแข่ง 4x100 เพื่อหาคนที่วิ่งเร็วที่สุด
ไม่ใช่การวิ่งมาราธอน เพื่อหาคนที่อึดที่สุด
แต่มันคือการค่อยๆเดินเล่นไปตามจังหวะที่ไม่ช้า ไม่เร็วจนเกินไป
และคอยมองซ้ายมองขวาอย่างมีสติ
พร้อมเก็บเกี่ยวความสวยงามระหว่างทางเดินนั้นต่างหาก
ถ้าสุขภาพดี ร่างกายแข็งแรง จิตใจเข้มแข็ง
ก็จะสามารถเดินไปบนถนนที่อยากไปได้นานๆ แล้วก็มีความสุขด้วย
ผมตัดสินใจกลับไปหาหมออีกครั้ง คราวนี้ไปปรึกษาเรื่องความเครียดโดยเฉพาะ
เหมือนได้ไปปรับทุกข์ ไปพูดคุยกับคนที่พร้อมจะรับฟังสิ่งที่เราเป็นจริงๆ
ทำให้เราเข้าใจตัวเอง และรับมือกับสิ่งที่เป็นอยู่ได้ดีขึ้น
แล้วก็ได้ยามากิน พวกยาคลายเครียด คลายกังวลครับ
จากวันนั้นผมเลยกลับมาวางแผนการใช้ชีวิตของตัวเองใหม่
เริ่มจากการพยายามปล่อยวางมากขึ้น
ปล่อยวางไม่ใช่การไม่ตั้งใจหรือใส่ใจกับงานน้อยลง แต่พยายามมองความจริงมากขึ้น
ผมยังทำหน้าที่ของตัวเองอย่างดีที่สุด แต่มีการจัดระเบียบตัวเองมากขึ้น
อะไรควรทำทันที อะไรที่สามารถรอได้ อะไรที่ต้องทำด้วยตัวเอง อะไรที่ควรให้คนอื่นช่วยบ้าง
ไม่เคร่งครัดกับตัวเองมากเกินไป
เริ่มกินอาหารให้เป็นเวลา
กินมื้อเช้าทุกวัน มื้อกลางวันถ้าไม่ใช่งานด่วนจริงๆก็จะวางงานไว้แล้วไปกินข้าว มื้อเย็นกินพออิ่ม
ออกกำลังตามปกติ ไม่ได้หักโหมมากขึ้น แต่ทำให้สม่ำเสมอ
ผักผลไม้เริ่มกินบ้างแต่ด้วยความที่ไม่ได้ชอบกินเท่าไหร่ก็ต้องหาวิตามินเสริมให้ร่างกาย
ผมกินไม่เยอะ เลือกกินเฉพาะที่จำเป็นกับตัวเองจริงๆ ดูว่าเราขาดอะไรก็เสริมตรงนั้น
วิตามินบี ผมกินของ NAT B อันนี้แม่เอามาให้กิน บำรุงร่างกายสำหรับคนทำงานหนัก เครียด พักผ่อนน้อย
วิตามินซี เปลี่ยนยี่ห้อไปเรื่อยตอนนี้กินของ CC Nano กระปุกที่แล้วกิน Blackmores
อันนี้กินให้ร่างกายสดชื่นขึ้น แข็งแรงขึ้น จะได้ไม่ป่วยนาน
น้ำมันรำข้าว กับ งาดำสกัด หรืออื่นๆที่ช่วยลดไขมันในเลือด ลดความเสี่ยงโรคหัวใจ ลดความเครียด
พวกนี้กินของ Giffarine กับ Vital Star ครับ แม่หามาให้กิน
ใยอาหาร แก้ท้องผูก กระตุ้นการขับถ่าย ลดพุง ดีท็อกซ์ ทำให้สุขภาพโดยรวมดีขึ้น
กินของ Fiberrary แฟนสั่งจากเพจมาให้ เพราะผมไม่ค่อยกินผักก็ต้องกินพวกนี้ช่วย
ผมพยายามนอนให้พอและเป็นเวลามากขึ้น จากที่เคยนอนไม่หลับ นอนดึก ก็พยายามเข้านอนเร็วขึ้น
อ่านเจอมาว่าทำให้ห้องมืดสนิทแล้วจะหลับง่ายและลึกขึ้น
แรกๆคือปิดไฟนอนหลับตา ดิ้นไปดิ้นมาไม่หลับซักที ถึงหลับก็ไม่สนิท ยังมีหลับๆตื่นๆบ้าง
แต่ซักพักร่างกายเริ่มชินก็หลับง่ายขึ้น จนเดี๋ยวนี้ 4 ทุ่มก็เริ่มง่วงเองแล้ว
พอร่างกายดีขึ้น กินอิ่ม นอนหลับ สภาพจิตใจดีขึ้น ทุกอย่างก็เริ่มกลับมาเป็นปกติ

ยิ่งพอหายท้องผูกพุงเริ่มยุบ ผมเลยเริ่มฮึดมาออกกำลังกาย ดูแลตัวเองอย่างจริงจังขึ้น
จากที่แค่จะให้สุขภาพแข็งแรง กลายเป็นเริ่มมีไฟฟิตหุ่นกับเค้าบ้าง



ตอนนี้ผมกลับมามีสุขภาพแข็งแรงเหมือนเดิม อาจจะมากกว่าเดิม
จากการบริหารเวลาชีวิตและการทำงานให้พอดี และลงตัวมากขึ้น
ดูแลและใส่ใจกับสุขภาพร่างกายของตัวเองให้มากพอๆกับเรื่องงาน
สุขภาพจิตใจ และอารมณ์ต่างๆก็ดีขึ้น ไม่รู้ว่าอะไรดีขึ้นก่อน แต่ผมว่ามันเกี่ยวข้องกันหมดเลยจริงๆ


ที่สำคัญคือผมรู้สึกว่าตัวเองกลับมามีไฟอีกครั้ง
หลังจากช่วงที่ผ่านมาเหมือนคนหมดไฟ หมดแรง
เพียงแค่ผมปรับเปลี่ยนรูปแบบการใช้ชีวิต และมุมมองบางอย่างในการทำงาน
ผมยังคงเชื่อว่า งานหนัก จะไม่ทำร้ายใคร ถ้าเราหาวิธีรับมือกับมันให้เจอ
ผมไม่ได้บอกว่าวิธีของผมถูกต้องหรือดีที่สุด เพราะปัญหาของแต่ละคนไม่เหมือนกัน
และผมอาจจะโชคดีที่เจอวิธีแก้ปัญหาที่เหมาะกับตัวเองเร็ว
กับบางคน ปัญหานั้นอาจต้องแก้ด้วยการเปลี่ยนวิธีการทำงาน, เปลี่ยนวิธีคิด, เปลี่ยนวิถีชีวิต
หรือแม้แต่เปลี่ยนงาน ผมว่ามันไม่มีสูตรตายตัว
แต่ขั้นแรกที่เราต้องทำคือ หยุด คิด เพื่อเข้าใจปัญหาที่เกิดขึ้น
และเริ่มหาวิธีที่เหมาะกับตัวเองคือ ตอบตัวเองให้ได้ว่า
“ทุกวันนี้เราทำงานหนักเพื่ออะไร”
และอะไรคือเส้นทางที่เหมาะที่สุด ที่จะเดินไปหาปลายทางที่เราต้องการ
โจทย์ครั้งนี้ของผมคือ
“งานนี้คืองานที่ผมรัก แล้วจะทำยังไง ให้สามารถทำงานที่รักได้นานๆ”
และผมเลือกตอบคำถามครั้งนี้ด้วยการ
“เปลี่ยนวิถีชีวิต และวิธีการทำงาน เพื่อให้สอดคล้องกันโดยไม่ทำร้ายสุขภาพตัวเอง”
เป็นกำลังใจให้กับคนที่กำลังรู้สึกเหนื่อยกับการทำงานทุกคนนะครับ
งานหนัก ไม่เคยทำร้ายใคร? จากคนที่เคยทุ่มเทให้กับงานในฝัน จนลืมหันมามองชีวิตจริง
เรื่องอาการเจ็บป่วยและความเครียดจากการทำงานหนัก
ทำให้หลายคนที่ร่างกายเคยแข็งแรงก็กลับเจ็บป่วย
หลายคนที่เคยสดใสร่าเริง มีความสุขกับทุกเรื่อง กลับกลายเป็นซึมเศร้า
วันนี้ผมเลยอยากมาเล่าเพื่อแบ่งปันเรื่องราวของผม
ในฐานะคนที่เคยบ้างานจนพังทั้งสุขภาพกาย สุขภาพจิต
ไม่รู้ว่าจะมีคนอ่านมากน้อยแค่ไหน แต่ก็หวังว่าจะเป็นประโยชน์กับใครซักคนที่บังเอิญเข้ามาอ่าน
บอกอีกอย่างว่าผมเขียนไม่เก่ง และไม่แน่ใจว่าจะถ่ายทอดออกมาได้ดีแค่ไหน
แต่ก็หวังอีกว่าจะมีซักบรรทัด ซักประโยค ที่จะมีประโยชน์กับใครซักคนนะครับ
.
.
.
ก่อนอื่น ผมขอเล่าเรื่องที่จุดประกายให้ผมทุ่มเทกับงานนี้ก่อนครับ
ตั้งแต่จำความได้ ถ้าใครถามว่าโตขึ้นอยากเป็นอะไร
ผมก็จะตอบเหมือนเดิมทุกครั้งว่าอยากเป็น “ครู”
ด้วยความที่พ่อและแม่ผมเป็นครูทั้งคู่
สำหรับผมในวัยเด็กก็แค่คิดว่าอาชีพนี้ดูเท่ดี
จนวันนึง ผมไปออกค่ายกับม.ที่ต่างจังหวัด ในหมู่บ้านที่แทบไม่มีอะไรเลย
ไปที่โรงเรียนเล็กๆ แต่ใหญ่ที่สุดในหมู่บ้าน มีเด็ก 30 กว่าคน กับครู 2-3 คน
ทุกอย่างแตกต่างจากโรงเรียนในเมืองที่ผมเคยสัมผัส
ห้องเรียนเล็กๆ หนังสือที่เวียนกันใช้ไม่รู้กี่รุ่น เช่นเดียวกับชุดนักเรียนและอุปกรณ์ต่างๆ
ผมเห็นความตั้งใจ อยากรู้อยากเรียนของเด็กๆที่มีมากมาย
สวนทางกับโอกาสที่เค้าได้รับ ทั้งสิ่งแวดล้อม อุปกรณ์ ครู
ทุกอย่างไม่เพียงพอ ไม่พร้อมที่จะให้เค้าซักอย่าง
มันมีความเหลื่อมล้ำ มีช่องว่างที่ใหญ่มากๆ ระหว่างโรงเรียนในเมืองกับชนบท
ผมอยากเข้าไปเติมเต็ม ไปให้สิ่งที่เด็กๆเหล่านี้ต้องการ
ผมคนเดียวอาจไม่ได้สร้างความเปลี่ยนแปลงอะไรมากมาย
แต่ผมเชื่อว่าเด็กๆเหล่านี้จะสามารถเปลี่ยนโลกได้จริงๆ
ถ้าเรามอบโอกาสให้เค้า
ผมเชื่อว่าการศึกษา จะสร้างความเจริญงอกงาม ในทุกๆด้านให้กับทุกสังคม
และวันนั้นก็ทำให้ผมตั้งใจและบอกตัวเองมาตลอดว่า
คนอย่างผมเนี่ยแหละ จะเป็นครูที่ดีให้ได้
ผมตั้งใจเรียนจนจบจากรั้วเทาแดง
และได้บรรจุเข้าเป็นข้าราชการครูที่โรงเรียนแห่งหนึ่ง
เหมือนฝันที่เป็นจริง
ผมบอกกับตัวเองในใจทุกเช้า
ว่าผมจะตั้งใจทำหน้าที่ครูให้ดีที่สุด
อาจไม่ดีเท่าหรืออาจมีวิธีที่ไม่เหมือนกับที่พ่อกับแม่ผมเป็น
แต่ผมก็ตั้งใจทำให้ดีที่สุดในแบบของผม
บอกเลยว่าช่วงนั้นไฟแรงมากๆ
ทั้งวิชาที่ตัวเองสอน ไปช่วยคนอื่นสอน ดูแลเด็ก ทำกิจกรรมต่างๆนานา
เรียกได้ว่าเค้าให้ทำอะไรก็ทำหมด ไม่เคยรู้สึกเหน็ดเหนื่อย
ก็ยอมรับว่ามีเครียดบ้างนิดๆหน่อยๆระหว่างวัน
เวลาที่เด็กไม่เชื่อฟังบ้าง มีปัญหาเล็กๆน้อยๆในระบบงานหรือเอกสารบ้าง
แต่ผมก็สนุกกับการทำงาน สนุกอยู่กับความฝันของตัวเองสุดๆ
ผมแค่คิดว่า ผมมีความสุขที่ได้ทำทุกอย่างเหล่านี้
ได้สอนหนังสือ สอนการใช้ชีวิต สอนสิ่งต่างๆให้กับเด็กๆ
เห็นเค้ายิ้ม มีความสุขกับการเรียน เห็นการพัฒนาของพวกเค้า
นั่นคือสิ่งที่ผมต้องการที่สุดแล้ว
ผมใช้แรงใจและ passion ทั้งหมดที่มีเพื่อขับเคลื่อนความฝันมาเรื่อยๆ
จนผ่านมาประมาณปีกว่า ร่างกายเริ่มฟ้องว่าไม่ไหว
จากที่ผมสุขภาพแข็งแรงมาตลอด
ออกกำลังกายประจำ บุหรี่ไม่สูบ แอลกอฮอลล์มีบ้างบางโอกาส ไม่เคยมีโรคประจำตัว
ผมก็เริ่มป่วย บ่อยขึ้น และนานขึ้น
เริ่มเหนื่อยง่ายขึ้น หายใจยากขึ้น เหมือนหายใจลึกเท่าไหร่ก็ไม่พอ
หน้าเริ่มโทรม หมองคล้ำเหมือนคนโดนของ (เพื่อนชอบทักแบบนี้)
ท้องเริ่มผูกจนลงพุงไม่รู้เพราะเครียดหรือไม่ค่อยกินผัก
จากที่แค่เป็นคนตัวใหญ่ ก็เริ่มกลายเป็นคนอ้วน เริ่มบวมจนพุงนำนม (แฟนผมชอบว่าแบบนี้)
แขนขาบางครั้งก็ไม่มีแรงขึ้นมาเฉยๆ ทั้งที่ผมก็ออกกำลังกายปกติ (แต่จริงๆก็น้อยลง)
แต่น่าจะเพราะช่วงนั้นผมกินข้าวไม่เป็นเวลา และข้าวที่กินก็ไม่ค่อยมีสารอาหารเท่าไหร่
ด้านสุขภาพจิตเริ่มแย่ลง
ผมเริ่มหงุดหงิดง่ายขึ้น ไม่ถึงกับกลายเป็นคนโมโหร้าย
แต่บางทีกับเรื่องเล็กๆผมกลับหงุดหงิดจนแฟนเริ่มผิดสังเกต
ผมนอนหลับยากขึ้น พยายามข่มตา ข่มใจให้หลับ จนเหนื่อย
จนหลังๆกลายเป็นว่า ไม่มีความรู้สึกง่วงนอน หรืออยากหลับ
แต่ต้องนอนให้หลับ เพราะมันถึงเวลานอน แค่นั้น
แฟนบอกว่าช่วงนี้ผมดูเครียดๆ ผมบอกเค้าว่า ผมไม่เครียด
จนวันนึงที่ผมเหนื่อยมากๆ กลับมาถึงบ้าน นั่งดูทีวีพูดคุยกับแฟนเหมือนทุกวัน
อยู่ดีๆผมก็รู้สึกสั่นไปทั้งตัว มือไม้เริ่มชา หัวใจเต้นเร็วขึ้น
แล้วอยู่ดีๆผมก็ร้องไห้ออกมา
ทั้งที่ผมไม่ได้รู้สึกเศร้าซักนิด ตอนนั้นมันก็แค่ร้องไห้ออกมาเอง
แฟนพาผมไปตรวจร่างกายทุกอย่าง ปกติ
หมอสันนิษฐานว่าผมอาจจะทำงานหนักจนเครียด
และก็เริ่มเตือนให้ผมดูแลตัวเองให้มากขึ้น
แต่ผมก็ยังเลือกที่จะทำงานและใช้ชีวิตแบบเดิมต่อไป
เมื่อร่างกายแย่ลง ก็ทำให้ประสิทธิการทำงานของผมลดลง
แต่ผมก็ไม่อยากลางาน เพราะถ้าผมขาดงานไปเด็กๆก็จะเรียนไม่ต่อเนื่อง
บางทีต้องไปรบกวนเพื่อนครูคนอื่นให้มาสอนคาบผมแทน ซึ่งก็ไม่ใช่อะไรที่ดีเท่าไหร่
ผมเริ่มป่วยบ่อยขึ้น และดูมีความสุขน้อยลง
จนแม่ก็เริ่มเป็นห่วง และเฝ้าถามผมบ่อยครั้ง
ว่า “อยากจะลาออกมั้ย?”
วันนั้นผมเลยได้หยุด คิด ทบทวน ผมคิดเรื่องนี้อยู่พักใหญ่
ผมยังอยากอยู่ตรงนี้ ผมคิดแค่ว่า ณ เวลาที่ทำนั้นผมมีความสุข
ผมลองคิดว่าจะเปลี่ยนมาทำอาชีพอื่นก็นึกไม่ออก ว่าทำอะไรแล้วจะมีความสุขเท่าการเป็นครูอีก
ผมคิดว่าไม่ว่างานอะไร ก็เหนื่อยด้วยกันทั้งนั้น ไม่มีงานไหนหรอก ที่ไม่เหนื่อย
และมีอีกหลายคนที่เหนื่อยกว่าผม ทำงานหนักกว่าผม
แต่อะไรที่ทำให้เค้ายังอยู่ตรงนั้นได้ เค้าทำอะไรที่ผมยังไม่ได้ทำรึป่าว
ผมนึกถึงคำพูดที่หมอเคยบอกผมตอนไปตรวจร่างกายครั้งล่าสุด
ว่าให้เริ่มดูแลสุขภาพอย่างจริงจัง
เพราะร่างกายมีแค่ 1 ร่างกาย และชีวิตก็มีแค่ 1 ชีวิต
ถ้าผมอยากอยู่ทำสิ่งที่ผมรักไปนานๆ อย่างแรกผมควรจะเริ่มรักตัวเอง
ผมใช้เวลาอยู่สักพักในการทบทวนตัวเอง
ทำให้รู้ว่า การที่ผมทุ่มเทแรงกาย แรงใจ และเวลาเกือบทั้งหมดในชีวิตช่วงนั้น
ให้กับความฝันและการทำงานที่ผมรัก
มันทำให้ผมละเลย อีกหนึ่งสิ่งที่สำคัญไม่แพ้ความฝัน ก็คือ “ร่างกาย”
ผมรู้แล้วว่าการจะเดินทางตามความฝันไปให้ไกลที่สุด
ก็ต้องเริ่มจากดูแล “ร่างกาย” ที่เป็นพาหนะที่จะพาเราไปจนสุดทางให้ดีที่สุด
ผมรู้แล้วว่าการเดินทางในชีวิตของคนเรา
ไม่ใช่การวิ่งแข่ง 4x100 เพื่อหาคนที่วิ่งเร็วที่สุด
ไม่ใช่การวิ่งมาราธอน เพื่อหาคนที่อึดที่สุด
แต่มันคือการค่อยๆเดินเล่นไปตามจังหวะที่ไม่ช้า ไม่เร็วจนเกินไป
และคอยมองซ้ายมองขวาอย่างมีสติ
พร้อมเก็บเกี่ยวความสวยงามระหว่างทางเดินนั้นต่างหาก
ถ้าสุขภาพดี ร่างกายแข็งแรง จิตใจเข้มแข็ง
ก็จะสามารถเดินไปบนถนนที่อยากไปได้นานๆ แล้วก็มีความสุขด้วย
ผมตัดสินใจกลับไปหาหมออีกครั้ง คราวนี้ไปปรึกษาเรื่องความเครียดโดยเฉพาะ
เหมือนได้ไปปรับทุกข์ ไปพูดคุยกับคนที่พร้อมจะรับฟังสิ่งที่เราเป็นจริงๆ
ทำให้เราเข้าใจตัวเอง และรับมือกับสิ่งที่เป็นอยู่ได้ดีขึ้น
แล้วก็ได้ยามากิน พวกยาคลายเครียด คลายกังวลครับ
จากวันนั้นผมเลยกลับมาวางแผนการใช้ชีวิตของตัวเองใหม่
เริ่มจากการพยายามปล่อยวางมากขึ้น
ปล่อยวางไม่ใช่การไม่ตั้งใจหรือใส่ใจกับงานน้อยลง แต่พยายามมองความจริงมากขึ้น
ผมยังทำหน้าที่ของตัวเองอย่างดีที่สุด แต่มีการจัดระเบียบตัวเองมากขึ้น
อะไรควรทำทันที อะไรที่สามารถรอได้ อะไรที่ต้องทำด้วยตัวเอง อะไรที่ควรให้คนอื่นช่วยบ้าง
ไม่เคร่งครัดกับตัวเองมากเกินไป
เริ่มกินอาหารให้เป็นเวลา
กินมื้อเช้าทุกวัน มื้อกลางวันถ้าไม่ใช่งานด่วนจริงๆก็จะวางงานไว้แล้วไปกินข้าว มื้อเย็นกินพออิ่ม
ออกกำลังตามปกติ ไม่ได้หักโหมมากขึ้น แต่ทำให้สม่ำเสมอ
ผักผลไม้เริ่มกินบ้างแต่ด้วยความที่ไม่ได้ชอบกินเท่าไหร่ก็ต้องหาวิตามินเสริมให้ร่างกาย
ผมกินไม่เยอะ เลือกกินเฉพาะที่จำเป็นกับตัวเองจริงๆ ดูว่าเราขาดอะไรก็เสริมตรงนั้น
วิตามินบี ผมกินของ NAT B อันนี้แม่เอามาให้กิน บำรุงร่างกายสำหรับคนทำงานหนัก เครียด พักผ่อนน้อย
วิตามินซี เปลี่ยนยี่ห้อไปเรื่อยตอนนี้กินของ CC Nano กระปุกที่แล้วกิน Blackmores
อันนี้กินให้ร่างกายสดชื่นขึ้น แข็งแรงขึ้น จะได้ไม่ป่วยนาน
น้ำมันรำข้าว กับ งาดำสกัด หรืออื่นๆที่ช่วยลดไขมันในเลือด ลดความเสี่ยงโรคหัวใจ ลดความเครียด
พวกนี้กินของ Giffarine กับ Vital Star ครับ แม่หามาให้กิน
ใยอาหาร แก้ท้องผูก กระตุ้นการขับถ่าย ลดพุง ดีท็อกซ์ ทำให้สุขภาพโดยรวมดีขึ้น
กินของ Fiberrary แฟนสั่งจากเพจมาให้ เพราะผมไม่ค่อยกินผักก็ต้องกินพวกนี้ช่วย
ผมพยายามนอนให้พอและเป็นเวลามากขึ้น จากที่เคยนอนไม่หลับ นอนดึก ก็พยายามเข้านอนเร็วขึ้น
อ่านเจอมาว่าทำให้ห้องมืดสนิทแล้วจะหลับง่ายและลึกขึ้น
แรกๆคือปิดไฟนอนหลับตา ดิ้นไปดิ้นมาไม่หลับซักที ถึงหลับก็ไม่สนิท ยังมีหลับๆตื่นๆบ้าง
แต่ซักพักร่างกายเริ่มชินก็หลับง่ายขึ้น จนเดี๋ยวนี้ 4 ทุ่มก็เริ่มง่วงเองแล้ว
พอร่างกายดีขึ้น กินอิ่ม นอนหลับ สภาพจิตใจดีขึ้น ทุกอย่างก็เริ่มกลับมาเป็นปกติ
ยิ่งพอหายท้องผูกพุงเริ่มยุบ ผมเลยเริ่มฮึดมาออกกำลังกาย ดูแลตัวเองอย่างจริงจังขึ้น
จากที่แค่จะให้สุขภาพแข็งแรง กลายเป็นเริ่มมีไฟฟิตหุ่นกับเค้าบ้าง
ตอนนี้ผมกลับมามีสุขภาพแข็งแรงเหมือนเดิม อาจจะมากกว่าเดิม
จากการบริหารเวลาชีวิตและการทำงานให้พอดี และลงตัวมากขึ้น
ดูแลและใส่ใจกับสุขภาพร่างกายของตัวเองให้มากพอๆกับเรื่องงาน
สุขภาพจิตใจ และอารมณ์ต่างๆก็ดีขึ้น ไม่รู้ว่าอะไรดีขึ้นก่อน แต่ผมว่ามันเกี่ยวข้องกันหมดเลยจริงๆ
ที่สำคัญคือผมรู้สึกว่าตัวเองกลับมามีไฟอีกครั้ง
หลังจากช่วงที่ผ่านมาเหมือนคนหมดไฟ หมดแรง
เพียงแค่ผมปรับเปลี่ยนรูปแบบการใช้ชีวิต และมุมมองบางอย่างในการทำงาน
ผมยังคงเชื่อว่า งานหนัก จะไม่ทำร้ายใคร ถ้าเราหาวิธีรับมือกับมันให้เจอ
ผมไม่ได้บอกว่าวิธีของผมถูกต้องหรือดีที่สุด เพราะปัญหาของแต่ละคนไม่เหมือนกัน
และผมอาจจะโชคดีที่เจอวิธีแก้ปัญหาที่เหมาะกับตัวเองเร็ว
กับบางคน ปัญหานั้นอาจต้องแก้ด้วยการเปลี่ยนวิธีการทำงาน, เปลี่ยนวิธีคิด, เปลี่ยนวิถีชีวิต
หรือแม้แต่เปลี่ยนงาน ผมว่ามันไม่มีสูตรตายตัว
แต่ขั้นแรกที่เราต้องทำคือ หยุด คิด เพื่อเข้าใจปัญหาที่เกิดขึ้น
และเริ่มหาวิธีที่เหมาะกับตัวเองคือ ตอบตัวเองให้ได้ว่า
“ทุกวันนี้เราทำงานหนักเพื่ออะไร”
และอะไรคือเส้นทางที่เหมาะที่สุด ที่จะเดินไปหาปลายทางที่เราต้องการ
โจทย์ครั้งนี้ของผมคือ
“งานนี้คืองานที่ผมรัก แล้วจะทำยังไง ให้สามารถทำงานที่รักได้นานๆ”
และผมเลือกตอบคำถามครั้งนี้ด้วยการ
“เปลี่ยนวิถีชีวิต และวิธีการทำงาน เพื่อให้สอดคล้องกันโดยไม่ทำร้ายสุขภาพตัวเอง”
เป็นกำลังใจให้กับคนที่กำลังรู้สึกเหนื่อยกับการทำงานทุกคนนะครับ