จากเด็กลี้ภัยสงครามสู่แข้ง บัลลง ดอร์ ลูก้า โมดริช

หลังจาก ลูก้า โมดริช มิดฟิลด์จาก เรอัล มาดริด สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่กลายเป็นนักเตะโครแอตคนแรกที่คว้ารางวัล "บัลลงดอร์" มาครองได้สำเร็จ ซึ่งเป็นครั้งแรกในรอบ 10 ปี ที่ไม่ใช่ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ และ ลิโอเนล เมสซี่ ที่ผลัดกันเป็นเจ้าของรางวัลอันทรงเกียรติดังกล่าว


จากผลงานอันยอดเยี่ยมของ มิดฟิลด์วัย 33 ปี ที่พา เรอัล มาดริด ต้นสังกัด คว้าแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ในฤดูกาลที่ผ่านมา และพาทีมชาติโครเอเชียทะลุเข้าชิงชนะเลิศฟุตบอลโลก 2018 ที่ประเทศรัสเซีย ทำให้เจ้าตัวได้คะแนนโหวตสูงถึง 753 คะแนน ชนะอดีตเพื่อนร่วมทีมชุดขาว คริสเตียโน่ โรนัลโด้ แชมป์เก่าบัลลง ดอร์ 5 สมัย ที่ได้ไป 476 คะแนน อย่างขาดลอย

แต่ใครจะรู้ว่ากว่าจะถึงวันนี้เขาต้องผ่านเหตุการณ์อันโหดร้ายอะไรบ้างในวัยเยาว์ เราจะพาไปย้อนดูเส้นทางสู่ความสำเร็จของเขากัน..

เกิดท่ามกลางสงคราม


โมดริช เกิดวันที่ 9 กันยายน 1985 ในหมู่บ้านโมดริชี่ ประเทศโครเอเชีย เขาเกิดมาในครอบครัวผู้ลี้ภัยจากเซอร์เบียในช่วงสงคราม แม่ของเขาเป็นคนงานทอผ้า และมีพ่อเป็นทหารช่างซ่อมเครื่องยนต์ให้กองทัพโครเอเชีย

ด้วยวัยเพียง 6 ขวบเขาต้องประสบกับเหตุการณ์ที่แสนเจ็บปวด หลังในปี 1991 เกิดสงครามระหว่าง ยูโกสลาเวีย และโครเชียที่ต้องการแยกตัวเป็นอิสระ ซึ่งหมู่บ้านของพวกเขาโดนโจมตีอย่างหนักจากชาวเซิร์บ และต้องมาสูญเสียคุณปู่จากความรุนแรงในครั้งนั้น ทำให้ครอบครัวต้องกลายเป็นผู้ลี้ภัยและต้องอพยพหนีตายไปอยู่ที่โรงแรมโคโลแวร์ ในเมืองซาดาร์ เป็นเวลา 7 ปี ซึ่งที่นี่เองกลายเป็นสถานที่ โมดริช เริ่มหัดเล่นฟุตบอลเป็นครั้งแรก    

ตลอดระยะเวลาหลายปีมีระเบิดถูกทิ้งมาในเมืองนับไม่ถ้วน พวกเขาต้องอยู่ในฐานะยากจน ขาดทั้งบ้านและเสื้อผ้าแต่ยังมีฟุตบอลกลายเป็นสิ่งที่ทำให้เขาลืมความเจ็บปวดจากสงครามได้ เขาฝึกซ้อมมันทุกวันอยู่ที่ลานจอดรถของโรงแรมและฉายแววเด่นขึ้นเรื่อยๆ

เริ่มเล่นฟุตบอลจริงจัง


หลังจากหมดยุคสงครามเขาก็หันมาเล่นฟุตบอลอย่างจริงจัง จากการสนับสนุนจากพ่ออย่างเต็มที่ โดยริ่มต้นจากการเข้าไปอยู่กับอะคาเดมี่ของ เอ็นเค ซาดาร์ สโมสรฟุตบอลท้องถิ่น ก่อนเข้าไปคัดเลือดกับทีมเยาวชนของ ไฮย์ดุ๊ค สปลิท แต่พระเจ้ากลับไม่เข้าข้างเนื่องจากสโมสรให้เหตุผลว่าเขาตัวเล็กเกินไปและถูกปฏิเสธในที่สุด

อย่างไรก็ตามด้วยฝีเท้าที่โดดเด่นเกินวัยทำให้เขาได้เซ็นสัญญากับ ดินาโม ซาเกร็บ ในปี 2003 ก่อนจะถูกปล่อยไปเก็บประสบการณ์กับ ซรินสกี้ มอสตาร์ สโมสรของบอสเนียฯด้วยสัญญายืมตัว ต่อด้วย อินเตอร์ ซาเปรชิช สโมสรลีกบ้านเกิดในปีต่อมาและกลับสู่ต้นสังกัดแท้จริงในปี 2005 พร้อมกับสัญญาระยะยาว 10 ปี และนี่คือจุดเริ่มต้นที่นำพาไปสู่ความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิต

จุดเปลี่ยนสำคัญ


จากฟอร์มอันยอดเยี่ยมทำให้ใน ปี 2008 เขาได้รับความสนใจจาก ท็อตแนม ฮ็อทสเปอร์ และถูกดึงตัวไปร่วมทีมด้วยค่าตัว 16.5 ล้านปอนด์ ในยุคของกุนซือ ฆวนเด้ รามอส อย่างไรก็ตาม โมดริช เจอสถานการณ์ที่ยากลำบากในการปรับตัวในลีกอังกฤษ ซ้ำร้ายยังเจออาการบาดเจ็บเล่นงานอยู่เรื่อยๆ ทำให้ซีซั่นแรกของเขายังทำผลงานได้ไม่เป็นชิ้นเป็นอัน

หลังจากฤดูกาลนั้นเขาเริ่มปรับตัวเข้ากับทีมได้จนยึดตัวหลักและกลายเป็นกำลังสำคัญของทีม พร้อมสถาปนาตัวเองขึ้นมาเป็นมิดฟิลด์ระดับท็อปในพรีเมียร์ลีก อังกฤษ แม้จะมีรูปร่างที่เล็กหากเทียบกับนักเตะในตำแหน่งมิดฟลิด์ที่ต้องใช้พละกำลังในการปะทะกับคู่ต่อสู้ แต่ โมดริช ก็แสดงให้เห็นว่ารูปร่างไม่ใช่อุปสรรคของเขาแม้แต่น้อย แค่มีทักษะ ความคล่องตัว และความทุ่มเท

ฤดูกาล 2009-10 เขาพาต้นสังกัดจบด้วยการคว้าตั๋วไปเล่นฟุตบอลยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีกเป็นครั้งแรกในรอบเกือบ 50 ปีของสโมสร หลังจบอันดับ 4 บนตารางคะแนน และกลายเป็นหนึ่งในผู้เล่นที่ได้รับการจัดอันดับสุดยอดกองกลางร่วมกับผู้เล่นระดับโลกอย่าง ชาบี อลอนโซ่, อันเดรีย ปีร์โล่, บาสเตียน ชไวน์สไตเกอร์ และชาบี

สร้างประวัติศาสตร์กับ เรอัล มาดริด


จากผลงานอันร้อนแรงที่เขาทำไว้กับไก่เดือยทองทำให้ได้รับความสนใจจากหลายสโมสรยักษ์ใหญ่ทั่วยุโรป ก่อนที่จะตกลงปลงใจไปอยู่กับเรอัล มาดริด ด้วยค่าตัว 30 ล้านปอนด์ ในปี 2012 พร้อมกลายเป็นส่วนสำคัญพาต้นสังกัดคว้าแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ได้ถึง 4 สมัย  

จนมาถึงฟุตบอลโลก 2018 ที่รัสเซีย กลายเป็นเวทีที่ทำให้เขาเฉิดฉายแบบเต็มตัว แม้สุดท้ายจะไม่สามารถพาโครเอเชียไปถึงฝั่งฝันด้วยการคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกที่รัสเซียได้ หลังแพ้ฝรั่งเศสในนัดชิงชนะเลิศ 1-4 แต่จากฟอร์มการเล่นส่วนตัวที่โดดเด่นสุดๆ มีความทุ่มเทเกินร้อยวิ่งแบบลืมตายจนสิ้นเสียงนกหวีดในทุกๆเกม ทำให้เขาคว้ารางวัลนักเตะยอดเยี่ยมของฟุตบอลโลก 2018 หรือ "โกลเด้น บอล" เป็นรางวัลปลอบใจ

จากผลงานในนามทีมชาติและความสำเร็จกับสโสมสรในปีนี้ของเจ้าตัวจึงไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจที่เขาได้รับคะแนนโหวตแซงหน้า คริสเตียโน่ โรนัลโด้ และ ลิโอเนล เมสซี่ ที่ผลัดกันได้ตลอด 10 ปีหลังสุด รวมถึงความทุ่มเท่ ความพยายาม ตลอด 90 นาทีในทุกๆเกมที่ได้ลงเล่น "บัลลง ดอร์" จึงเหมาะสมกับเขาทุกประการ..  

คลิปโมดริชตอนอายุ 5 ขวบในบ้านเกิด : Youtube - Sportium

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
credit : www.siamsport.co.th
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่