[CR] เที่ยวบ้านยิปซีทะเล และเส้นทางหนีสึนามิที่สั้นที่สุดในโลก


ร่มมะพร้าวทิ้งใบยาวตัดกับหาดทรายสีขาวและท้องฟ้าสีจัดจ้านแต้มเมฆขนแกะลอยปุย ๆ ในอากาศอาจเคยปรากฏเพียงในสมุดวาดภาพระบายสีและจินตนาการของคู่รักหลายคน จนหลงลืมไปว่าความจริงแล้วในประเทศไทยยังหลงเหลือพื้นที่ชายหาดติดทะเลอันดามันให้น่าค้นหาอยู่มาก

หากแต่ความเป็นจริงของยิปซีทะเลชาว “อูรักลาโว้ย” นั้น การปลูกต้นมะพร้าวเป็นเครื่องหมายของหลักแหล่งแห่งที่ฝังศพคนตาย หนึ่งต้นคือหนึ่งศพที่วิญาณจะยังอยู่ยืนยาวกับลูกหลานตราบต้นมะพร้าวยังคงคู่หาดทราย หากค้นหาคำว่า “เกาะพีพี” ในอินเตอร์เน็ตและกดใช้เครื่องมือ Google Map แบบภาพจากดาวเทียมจะพบเกาะขนาดกลางสีครึ้มเขียวบนหน้าจอ ล้อมรอบด้วยน้ำทะเลสีครามเข้ม เมื่อมองหาภาพถ่ายเพื่อค้นหาที่พัก สถานที่ท่องเที่ยว เราจะพบข้อมูลมากมายให้เลือกชม ผมตัดสินใจอย่างไม่ลังเลที่จะเดินทางไปเยือน “บ้านแหลมตง” มุมเล็ก ๆ ของเกาะพีพีที่ดูจะไม่พลุกพล่าน ส่วนที่พักคะเนว่าไปหาเอาข้างหน้าคงได้
    

จากสนามบินใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงในการโดยสารรถตู้มายังท่าเรือคลองจิหลาดจังหวัดกระบี่ สำหรับคนไทยแนะนำให้เดินตรงเข้าไปซื้อตั๋วเรือด้านใน ซึ่งเป็นจุดขายตั๋วก่อนเรือออกจากฝั่งสู่เกาะราว 15 นาที ท่านจะได้ตั๋วสนนราคาสำหรับคนท้องถิ่น เกือบสองชั่วโมงจากผืนแผ่นดิน เรือเฟอร์รี่ลำใหญ่จะพาคุณไปถึงท่าเทียบเรืออ่าวต้นไทรเกาะพีพี หากจะไปยังบ้านแหลมตง จุดหมายปลายทางของเราในวันนี้ จำเป็นต้องต่อเรืออีกทอดซึ่งจะใช้เวลาราวครึ่งชั่วโมง (หากนักท่องเที่ยวสำรองที่พักมาแล้วจะมีบริการรับจากหน้าหาดมายังโรงแรมของท่าน)

ทันทีที่สองเท้าสัมผัสหาดทรายของบ้านแหลมตง ภาพแรกแทนที่จะพบกับความสงบ กลับปรากฏเห็นป้าย “หมู่บ้านไทยใหม่พัฒนา”
มีหมู่บ้านอยู่บนหาด ?


ป้ายไม้ลงแล็คเกอร์ยังดูเงาห้อยพวงมาลัยสองข้าง วางเรียบไปกับทรายไม่ถูกปักไว้เหนือศีรษะเหมือนหมู่บ้านอื่น จากการสอบถามพูดคุยพบว่า หมู่บ้านไทยใหม่พัฒนาเป็นชุมชนเก่าแก่ที่อาศัยของชาว “ยิปซีทะเล” กลุ่มชาติพันธุ์อูรักลาโว้ย ...เป็นชุมชนซึ่งไม่ปรากฏนามในแผนที่ของการพัฒนาและเทคโนโลยีกูเกิลแม็พ!


(ทางเข้าหมู่บ้านทางที่ 1 ตรอกแคบ ๆ ข้างร้านอาหารนี่แหละ)

(ทางเข้าหมู่บ้านทางที่ 2 ข้างกำเเพงร้านอาหารของโรงเเรมแห่งหนึ่ง)

การเดินสำรวจโดยรอบชุมชนทำให้พบว่า ภายในพื้นที่ 2 ไร่แห่งนี้เป็นที่อาศัยของพี่น้องชาวอูรักลาโว้ยกว่า 130 คน ซึ่งทั้งหมดมีอาชีพประมงและหาปลาชายฝั่งโดยใช้เรือเล็ก เมื่อได้พูดคุยกับสมหมาย ทะเลลึก หรือลุงอนุวัติ เขาเล่าให้ฟังว่า

“เดิมทีพื้นที่ตรงนี้ยังไม่ได้เป็นสถานที่ท่องเที่ยว แต่เป็นที่อาศัยของชาวอูรักลาโว้ย มอร์แกน และมอแกลน ที่มาจับจองพื้นที่ให้ครอบครัวอาศัยระหว่างรอพวกเขาออกทะเล บางคนเกิดบนเรือและตายไปกับทะเล ที่สำคัญเกาะแห่งนี้ชาวเลเรียกว่า ‘บรีบี’ ที่แปลว่า ‘การให้’ ไม่ใช่พีพี เพราะเวลามีเรือจากภูเก็ต ราไวย์มาจอดหน้าอ่าว พวกเราก็จะเอามามะพร้าว เอาข้าวเปลือกมาแบ่งให้ตลอด ด้วยความที่ไม่ค่อยได้เห็นเรือเข้ามาหน้าอ่าวเท่าไหร่ในปีหนึ่ง...แต่วันนี้ทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้ว”

(ทะเลในตอนกลางวัน บางทีอาจทำได้แค่เฝ้ามอง)

จากเกาะบรีบีของชาวอูรักลาโว้ย ปัจจุบันยกระดับกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวเลื่องชื่อ เป็นจุดหมายปลายทางของผู้คนจากทุกมุมโลก และที่สำคัญได้กลายเป็นพื้นที่อุทยานแห่งชาติมานับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2525 การประกาศให้เป็นพื้นที่อุทยานกลายเป็นคลื่นยักษ์ระลอกแรกที่กระแทกหน้าชาวบ้าน สร้างความเปลี่ยนแปลงมหาศาลให้กับพวกยิปซีทะเล เพราะการหาปลาทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะด้วยวิธีดั้งเดิมคือตกเบ็ด วางลอบ ปักไซ ทอดแห กลายเป็นเรื่อง “ผิดกฎหมาย” ไม่สามารถทำได้อีกต่อไป จากเคยตอกบัตรทำงานเมื่อพระอาทิตย์ขึ้น และหวนคืนบ้านบนฝั่งเมื่อคลื่นหัวเดิ่งหอบลมพายุพัดมา กลายเป็นว่าเรือหาปลาของพวกเขาต้องดัดแปลงให้เป็นเรือบรรทุกคนท่องเที่ยว จากสองมือสาวอวนพูดจาประสาถิ่น ต้องเริ่มสปีคอิงลิช ถือใบรายการนำเที่ยวไปเร่ขายบริการรับส่งเพื่อหารายได้

“เมื่อก่อนบ้านพวกเราก็อยู่ตรงนี้แหละ แต่การหาอยู่หากินทำให้เราต้องออกเรือ กินนอนอยู่กับเรือ ผมเองก็เกิดบนเรือ ตอนนี้อายุจริงที่จำได้คือ 56 ปี แต่ในบัตรประชาชนบอกว่าอายุแค่ 49 เมื่อก่อนเราแล่นเรือหาหอยมือเสือเอามาตากแห้ง ออกเลไปไกลถึงอาดัง เกาะเต่า เราก็ไปด้วยเรือเล็ก ๆ ของเรา พวกคนแก่ไม่ได้ออกเลก็ทำสวนปลูกไม้หากินกันตายรออยู่นี่ แต่ตอนนี้ทำอะไรไม่ได้อีกต่อไปแล้ว ถามว่าพวกเราอยากหาปลาไหม ก็อยาก แต่ไม่กล้าฝ่าฝืนกฎหมาย ทั้งที่เราแน่ใจว่า เราเข้าใจและอยู่กับธรรมชาติ ไม่ได้เป็นคนทำลาย”

(เครื่องมือหาปลากลายเป็นของประดับหาดเก๋ไก๋ไว้ให้ถ่ายรูปเล่น)

เสียงลมหายใจทอดยาวพรูออกมาเป็นระลอกเหมือนเส้นบรรทัดคั่นบทสนทนาระหว่างเรากับลุงอนุวัติ เพียงไม่กี่ก้าวที่สาวเท้า เราก็เดินรอบหมู่บ้านชาวยิปซีทะเลได้อย่างรวดเร็ว นอกจากความแออัดเบียดเสียดในแบบสลัมริมหาดที่หลังคาสังกะสีแต่ละบ้านแทบจะติดกันแล้ว เราพบว่าท้องสองด้านซ้ายขวาของชาวยิปซีทะเลถูกปิดกั้นด้วยกำแพงสูงทะมึน

“ก็ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน อยู่ไปที่ดินก็ลดลง ความมั่นคงก็ไม่มี สองข้างที่เห็นนี่คือกำแพงของโรงแรม เขาคงไม่อยากให้แขกฝรั่งเห็นสลัมกลางหาด แต่มันก็ไม่แย่ไปกว่าด้านหลังที่เป็นเส้นทางอพยพหนีภัยสึนามิถูกล้อมรั้ว...ถ้าสึนามิมาอีกรอบ ทางรอดของพวกเราเหลือทางเดียวคือวิ่งลงทะเล”


(ที่ชายหาดจะมีป้ายเตือนภัยสึนามิเเจ้งอยู่เป็นระยะ)


นอกจากกำแพงกั้นสองด้านแล้ว พบว่าด้านหลังชุมชนซึ่งเป็นพื้นที่สูงขึ้นไป ซึ่งหน่วยงานรัฐมาปักป้าย ให้เป็นเส้นทางหนีภัยสึนามิ กลับพบว่ากลายเป็นถูกขวางโดยรั้วของผู้ประกอบการที่พัก จากบันทึกของชุมชนเมื่อคราวสึนามิเข้าฝั่งทะเลอันดามันในปี พ.ศ.2547 มีผู้เสียชีวิตรวมทั้งสิ้น 14 คน ทั้งหมดล้วนเป็นเด็กและชาวบ้านกลุ่มชาติพันธุ์ที่อาศัยอยู่หน้าหาดทั้งหมดนั่นเอง

จากการพูดคุยกลายเป็นน้ำใจที่มอบให้ เมื่อผู้คนในหมู่บ้านไทยใหม่พัฒนาเสนอให้เราพักค้างแรมในชุมชน บนบ้านลุงอนุวัตินั่นแหละ แทนที่จะไปเดินเตร่หาโรงแรม แม้จะไม่คุ้นเคย แต่ก็เป็นเรื่องน่ายินดี หากคืนวันที่เงียบเหงาของใครบางคนจะถูกถมทับด้วยเรื่องเล่าจากชาวยิปซีทะเล

มีช่วงหนึ่งก่อนดวงอาทิตย์จะจมหายไปตรงปลายขอบฟ้า ลุงอนุมัติชวนเราออกมาหน้าหาดเพื่ออวดเครื่องมือหาปลาโบราณของแก ตอนนั้นแกจ้องมองทะเลโล่งกว้างได้ตรึงตากว่าฉันทนาจ้องเข็มเย็บผ้าในโรงงานเสียอีก ...และหากได้สังเกต บริเวณหน้าหาดแหลมตงจะมีลำเรือลอยจอดซ้อนเรียงกันหลายแถว ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่อยากเกยเรือขึ้นหาด แต่ทำไม่ได้

“เชือกยาวตรงนี้ กับเรือสีเหลืองตรงนั้น เป็นเครื่องหมายว่าที่ชาวบ้านสามารถใช้จอดเรือได้มีแค่นี้ ห้ามล้ำเกินไปกว่าหน้าหาดของโรงแรม เช่นกัน การใช้ชีวิตก็จำกัดให้ทำได้แค่ในบริเวณนี้เท่านั้น บางวันเด็ก ๆ ไปวิ่งเล่นเสียงดังตามประสาก็จะถูกไล่กลับมา กลายเป็นว่าทั้งทะเลและผืนดินมีเจ้าของไปแล้ว แต่เจ้าของไม่ใช่พวกเรา”

(เรือใหญ่ไม่ได้ตั้งไว้ประดับแต่เอาไว้บอกเขตแดนของชาวบ้าน)

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ

จากจุดเริ่มต้นของการพักผ่อน กลายมาเป็นการบันทึกความอยากรู้อยากเห็นของชายคนหนึ่ง ซึ่งวันนี้เขาจะพาทุกคนไปรู้จักกับพื้นที่สำคัญ ๆ บนหาดแหลมตง แห่งเกาะบรีบี

1.โรงเรียนบ้านแหลมตง

เช้าตรู่หลังจากได้พักค้างบ้านลุงอนุมัติ เราได้รับคำแนะนำให้ลองไปติดตามชีวิตเด็กนักเรียนบนเกาะแห่งนี้ ซึ่งโชคดีว่านี่เป็นเช้าแรกของการเปิดเทอมใหม่  “โรงเรียนบ้านแหลมตง” มีเด็กนักเรียนอยู่ 30 คน และทั้งหมดเป็นลูกหลานของชาวเลบนเกาะ

ไม่ใช่ภาพแปลกตาของทุกวันบนหาด ถ้าจะมีลูกหลานนักเรียนตัวเล็ก ๆ เดินสวนทางกับนักท่องเที่ยวต่างชาตินุ่งบิกินี่ตัวจิ๋ว และก็ไม่แปลกเช่นกัน ถ้าจะเห็นภาพว่าทางเดินเข้าโรงเรียนของเด็ก ๆ ต้องอาศัยทางเดินเท้าของโรงแรม!


“เมื่อก่อนตรงนี้มีทั้งมะม่วง ขนุน ส้มโอ ส้มแป้น กล้วย และปลูกเป็นข้าวเหนียว(ข้าวไร่) แล้วก็สัปปะรดเต็มยาวไปจนถึงชายหาด ตอนนี้เหลือแค่ต้นมะม่วงกับมะขามนี่แหละ มันเป็นที่มรดกของนายมะเซ็นปลูกไว้ ตอนหลังมาเขาก็ยกให้โรงเรียนทั้งหมด 6 ไร่ ยาวลงไปถึงทะเล”คำบอกเล่าของคุณยายเดาะ ชาวน้ำ ที่อ้างตัวเป็นหลานสาวคนสุดท้ายของนายมะเซ็นเจ้าของพื้นที่ซึ่งปัจจุบันเป็นบริเวณของโรงเรียนบ้านแหลมตงเล่าให้ฟังอย่างกระท่อนกระแท่นในภาษาไทยกลาง จากการประเมินด้วยสายตาตอนนี้ พื้นที่ “6 ไร่ ยาวลงไปถึงทะเล” ในถ้อยคำของแกคงเหลือไม่เกิน 2 ไร่ เพราะจากรั้วไม้ของโรงเรียนฝั่งหนึ่งไปจรดอีกฝั่งซึ่งทาสีชมพู ดูยังไงก็ยาวลงไปไม่ถึงชายหาด เพราะที่ตรงนั้นแปลสภาพกลายเป็นที่ตั้งห้องพักของโรงแรมอยู่ทนโท่

ต่อเรื่องนี้ ลุงอนุมัติก็ช่วยทบทวนความทรงจำ พร้อมหน่วยตารื้นแดงให้ฟังเช่นกัน “ตอนที่ผมเรียน จะมีวิชาเกษตรให้นักเรียนไปทำแปลงเกษตร จำได้แม่นว่าเราปลูก น้ำเต้า ถั่วฝักยาว มะเขือ ปลูกกันคนละแปลงเลยล่ะ พื้นที่ของโรงเรียนจะยาวไปถึงชายหาดเลย ตอนนี้เดินเข้าไปยังไม่ได้เพราะเขาห้ามเด็ดขาด ตอนแรกโรงเรียนไม่มีรั้วกั้นแบบนี้นะ แต่โรงแรมพาคนมาช่วยสร้างรั้วให้ ผู้ปกครอง และนักเรียนเองก็เห็นว่าดี เด็ก ๆ จะได้ไม่ออกไปเล่นซนตามชายหาด เพราะถ้าหน้ามรสุมลมจะแรงมันอันตราย พอมีรั้ว เด็กจะได้อยู่ในพื้นที่ ครูเองก็ดูแลสะดวก แต่ตอนนี้กลายเป็นว่ารั้วคือเครื่องบอกอาณาเขตของโรงเรียน เด็ก ๆ ถูกขังอยู่ในที่แคบ ๆ แบบไม่รู้ตัวเลย พอมองออกไปนอกรั้วโรงเรียนก็จะเห็นรั้วโรงแรม”




(รั้วโรงเรียนและรั้วโรงแรมกับความห่างเพียงไม่กี่ก้าว)

จากการสอบถามกับครูอาจารย์และชาวบ้านบริเวณนั้นทำให้ได้ความว่า เดิมทีโรงแรมไม่อนุญาตให้เด็กนักเรียนเดินผ่านแบบในปัจจุบัน ปิดตายเส้นทางทะลุไปโรงเรียนด้วยรั้วไม้ทั้งหมด แต่เด็กนักเรียนซึ่งคุ้นชินกับทางเดินก็จะพากันมุด พากันปีนรั้วโรงแรมเพื่อข้ามมาเรียนหนังสือ จนกระทั่งบรรดาผู้ปกครองเห็นความยากลำบาก จึงพากันไปร้องเรียนกับผู้ว่าราชการจังหวัด เมื่อปี 2559 นำไปสู่การพูดคุยจนโรงแรมเมตตาเปิดช่องทางเดินให้


(ในคลิปเป็นตอนที่ชาวต่างชาติเดินผ่านโรงเรียน ซึ่งเกิดขึ้นทุก ๆ วัน)
คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
ชื่อสินค้า:   เที่ยวเกาะพีพี
คะแนน:     

CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้

  • - จ่ายเงินซื้อเอง หรือได้รับจากคนรู้จักที่ไม่ใช่เจ้าของสินค้า เช่น เพื่อนซื้อให้
  • - ไม่ได้รับค่าจ้างและผลประโยชน์ใดๆ
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่