ย้อนตำนานฟุตบอลไทย ในซีเกมส์ 1985


เมื่อปี พ.ศ.2528  ได้มีโอกาสได้ติดตามคณะของทีมฟุตบอลชาติไทย ขุดซีเกมส์  ครั้งที่ 13 ซึ่งประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ ซึ่งชุดนั้น มีโค้ช โบการ์ด ซีเซ่ ชาวเยอรมัน เป็นหัวหน้าผู้ฝึกสอน โดยมี อ.หรั่ง ชาญวิทย์  ผลชีวิน  เป็นผู้ช่วยโดยการเลือกของโบการ์ดเอง  ทีมงานที่ร่วมคณะนอกจากนักฟุตบอล ก็มี แค่โค้ช กับผู้ช่วย หมอนวดประจำทีม (อดีตนักมวยไทยชื่อดัง เดชศักดา  ศรราม) ล่ามแปลภาษาและก็ทีมงาน 2 -3 คน  โดยมีแพทย์ประจำทีมมาดูแล อาการบาดเจ็บหรือเจ็บป่วยเป็นบางช่วง

ช่วงแรกของการเริ่มซ้อมในเดือนตุลาคม 2528 ที่สนามเทพหัสดิน สลับกับแคมป์ที่ปากช่อง สปอร์ตชูเล่ย์  ของสโมสรราชประชา โดยการอำนวยความสะดวกของ พล.ต.ต. เจตจันทน์  ประวิตร   เจ้าของสโมสร และเป็นประธานพัฒนาเทคนิคของสมาคมฯ สมัยนั้น (และได้ลงเลือกตั้งผู้ว่า กทม.ด้วย จำได้เพราะเคยไปช่วยแจกใบปลิวหาเสียง แต่แพ้มหาจำลอง)  และก็ได้แต่งตั้งให้ลูกชาย คือ หม่อมเป็ป  ร.ต.มล.สุปรีดี  ประวิตร  ให้เป็นผู้ช่วยผู้จัดการทีม ส่วนผู้จัดการทีม คือ คุณพรเทพ  เตชะไพบูลย์ ซึ่งตอนนั้นบริหาร บริษัท สุรามหาราษฎร์ (แม่โขง) ผู้ให้การสนับสนุนฟุตบอลไทยอยู่  จำนวนนักฟุตบอล  
ที่เรียกตัวมาฝึกซ้อประมาณ 30 กว่าคน คัดมาจากฟุตบอลถ้วย ก.  สุดท้ายก็ตัดตัวเหลือ 20 คน ตามระเบียบการแข่งขัน นักฟุตบอลที่หลุดไปที่มีชื่อดัง ๆ หน่อย ก็คือ  สมปอง นันทประภาศิลป์, ดาวยศ  ดารา,  และที่ติดมาแบบเซอร์ไพรส์ ก็คือ นาวี สุขยิ่ง ประทีป ปานขาว  และพิชิตพล  อุทัยกุล

การเก็บตัวก็พักอยู่ที่อาคารเมืองพล  ตรงข้ามอาคารนิมิบุตร สนามกีฬาแห่งชาติ ติดกับมาบุญครอง  เป็นห้องพักเล็ก ๆเป็นห้องเตียงคู่ กับห้องน้ำ
ไม่มีทีวี เอาไว้นอนได้อย่างเดียว  ใครจะดูทีวีก็ให้มาดูล็อบบี้ข้างล่าง ซึ่งนักกรีฑาทีมชาติก็ได้เก็บตัวอยู่ที่นี่เช่นเดียวกัน

อาหารการกิน มื้อเช้าก็กินน้ำหวานที่ร้านเจ๊จวง ซึ่งเป็นร้านประจำที่ในโรงอาหาร มศว.พลศึกษา แล้วก็มากินข้าวที่ร้านข้าวหมูแดง ตรงข้าง ๆ ที่พัก
ร้านนี้มีเอกลักษณ์คือ คิดราคาเกินความจริง คือ กิน 10 บาท ก็จะบอก 100 บาท แต่เวลาจ่ายเงินก็จ่ายแค่ 10 บาท นั่นแหละ ทั้งสองร้านนี้กินฟรี
เพราะสมาคมฯ ให้เงินกับทีมงานไว้แล้ว ก็จ่ายกันเมื่อกินเสร็จเลย แต่ไม่รู้ว่ามีการโกงบ้างหรือเปล่า เพราะเวลากิน 20-30 คน นับรวม ๆ กัน ไม่เคยคิดราคาตามไปด้วยเลย ส่วนมื้อกลางวันหากินกันเองเพราะบางคนไปเรียน บางคนไปทำงาน มื้อเย็นซ้อมบอลเสร็จก็มากินที่ทำการสมาคมฯ มีอาหารไว้เลี้ยงนักฟุตบอลอยู่แล้ว วันจันทร์ถึงวันเสาร์ หยุดวันอาทิตย์

การฝึกซ้อมที่สนามเทพหัสดินก็เป็นไปอย่างเข้มข้น น่าชื่นใจที่มีแฟนฟุตบอลเข้ามาชมการฝึกซ้อมกันเต็มอัฒจันทร์สนามเทพหัสดิน เพราะเปิดให้ชมฟรี

ช่วงแข่งขัน 8 – 17 ธันวาคม 2528  นักกีฬาไทยทุกประเภทต้องเข้าไปพักอยู่ที่เดียวกันหมดคือ โรงแรมเอเชีย ราชเทวี  ตอนนี้นักกีฬาทุกประเภทก็ได้มาเจอกันบ้าง เวลาเดินอยู่ในล็อบบี้โรงแรม หรือเวลารับประทานอาหารก็ทานที่เดียวกันทั้งหมด ซึ่งตอนนั้นนักกีฬาที่ดัง  ๆ ในยุคนั้นที่ได้เจอกัน อย่างโค้ชอ๊อด เกียรติพงศ์  รัชตเกรียงไกร ของวอลเล่บอล, สมพล  คูเกษมกิจ นักแบดมินตัน มือ 1 ,นักตะกร้อทีมชาย อย่างภักดี  วัฒนไพบูลย์, สุรัตน์  ณ เชียงใหม่, วีรัส  ณ หนองคาย  ซึ่งตอนนั้นขับเคี่ยวกับมาเลเซียอย่างสูสี, และนักกรีฑาชื่อดังหลายคน อย่างสุเมธ  พรมนะ, รัตน์ใจ ศรีเพชร หรือศศิธร จันทนุหงส์ (ผู้ล่วงลับ)

ผลการแข่งขันฟุตบอลก็เป็นไปตามที่ข่าวได้นำเสนอ ทีมชาติไทยโชว์ฟอร์มได้ดีเกินคาด มีแมทช์แรกที่เสมอมาเลเซีย 1-1 ฝืดเล็กน้อย หลังจากนั้นก็โชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยม ชนะฟิลิปปินส์ และมาเลเซีย 7-0,   ซึ่งแมทช์ชิงชนะเลิศเราสามารถเอาชนะจอมพลิกล็อค  อย่างสิงคโปร์ ไปได้อย่างส่วยงาม    
2 -0 จากการทำสองประตูของเฉลิมวุฒิ  สง่าพล ซึ่งยิงแทนปิยะพงษ์ ผิวอ่อน ที่โดนประกบตลอด ส่วนฟานดี้ อาหมัด ที่คุมทีมสิงคโปร์มาแพ้เราในซูซูกิคัพล่าสุด ก็โดนสมพงษ์ วัฒนา ประกบติดโชว์ฟอร์มไม่ออก ซึ่งเราก็คว้าแชมป์สมัยที่ 3 ไปได้อย่างส่วยงาม

ทุกแมทช์การแข่งขัน ช่วงเช้าก่อนแข่ง อ.หรั่งได้ไปตลาดเจริญผล  ซื้อดอกไม้ธูปเทียนมาไว้เจ้าที่เจ้าทางศาลหลวงศุภชลาศัย เพื่อเอาฤกษ์เอาชัย

การได้เข้าแข่งขันกีฬาที่เรียกว่ามหกรรมกีฬา คือ มีมากกว่ากีฬาชนิดเดียว ถือได้ว่าเป็นประสบการณ์อันล้ำค่า เพราะนอกจากจะได้แข่งกีฬาของตัวเองแล้ว ยังได้มีโอกาสไปชมกีฬาประเภทอื่น  ๆ หรือนักกีฬาคนอื่น ๆ ทั้งในและต่างประเทศ อาทิ ส่วนตัว ก็ได้รู้จักสนิทสนมกับ เดวิด ลี  ผู้รักษาประตูจอมเหนียวของทีมชาติสิงคโปร์  รวมถึงได้รู้จักกับ ชูชีพ  คงมีชนม์
มือฟาดตะกร้อทีมชาติไทยอีกด้วย

นักฟุตบอลชุดนี้ที่ได้ล่วงลับไปแล้ว มี 2 ท่าน คือ สุทิน  ไชยกิตติ และศุรวุฒิ  เลาหกาญจนศิริ[
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่