
ในที่สุดศึกฟุตบอลรายการที่พวกเรารอคอยอย่าง พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ฤดูกาล 2018-19 ก็เปิดฉากขึ้นกันไปเป็นที่เรียบร้อย และคอบอลหลาย ๆ คนก็น่าจะสะใจที่ได้เห็นทีมรักของตัวเองโชว์ฟอร์มกันแบบเต็มสองตา โดยเฉพาะสาวกทีม หงส์แดง ลิเวอร์พูล
หลังจากที่ผ่านการหล่อหลอมมาเกือบ 3 ปีเต็มของ เจอร์เกน คล็อปป์ ทีมดังจากย่านเมอร์ซีย์ไซด์ ก็เข้าสู่ยุคที่ขุมกำลังแข็งแกร่งมากสุดเท่าที่เคยมีมาได้เสียที โดยเฉพาะในซีซั่นก่อนพวกเขาใกล้เคียงกับคำว่า “แชมป์ยุโรป” มากสุด ๆ แต่น่าเสียดายที่พ่ายไปในเกมนัดชิงกับ เรอัล มาดริด เสียก่อน
และนั่นก็เป็นบทเรียนสำคัญรวมถึงแรงบันดาลใจที่ผลักดันให้ เจอร์เกน คล็อปป์ เร่งยกระดับคุณภาพโดยรวมจนเชื่อว่าน่าจะประสบความสำเร็จได้เป็นรูปธรรมเสียที ไม่ว่าจะการคว้าแชมป์ในประเทศ หรือถ้วย ยูฟา แชมเปียนส์ลีก นักเตะทั้งโลกใฝ่ฝัน
แต่ก่อนจะถึงวันนั้น เรามาลองดูกันหน่อยดีกว่าว่าอะไรคือ 5 เหตุผลที่สนับสนุนให้ หงส์แดง ลิเวอร์พูล มีโอกาสขึ้นครองบัลลังก์แชมป์พรีเมียร์ลีกได้อย่างเต็มตัวในฤดูกาล 2018-19 นี้
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้https://wp.me/pa7hYH-46B
1. ลงทุนครั้งใหญ่เพื่อความสำเร็จ

สำหรับขอแรกนี้ เชื่อว่าเด็กหงส์หลายคนน่าจะยังมีความรู้สึกปลาบปลื้มยินดีติดอยู่ลึก ๆ ในใจมาจนถึงวันนี้ เพราะตลอดเวลานับตั้งแต่ ลีกลูกหนังอังกฤษเปลี่ยนมาใช้ชื่อ “พรีเมียร์ลีก” สโมสรแห่งนี้ก็ไม่เคยลงทุนใหญ่เพื่อความสำเร็จอีกเลย
ฉะนั้นการซื้อแข้งใหม่ 4 คนด้วยมูลค่ารวมเกือบ 170 ล้านปอนด์ในซัมเมอร์เดียว จึงถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่อาจนำมาซึ่งความเปลี่ยนแปลงหน้าประวัติศาสตร์ได้อย่างแท้จริง
นาบี เกอิต้า คือคนแรกที่ คล็อปป์ ยอมจ่ายเงิน 52 ล้านปอนด์ให้กับ อาร์บี ไลป์ซิก ล่วงหน้า 1 ปีเพื่อการันตีว่าจะไม่โดนใครฉกไประหว่างรอ และเขาก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเป็นตัวท็อปของทีมได้อย่างแท้จริง
ฟาบินโญ มิดฟิลด์ตัวรับที่เด็กหงส์ต้องเซอร์ไพรส์ เพราะเจ้าตัวมีข่าวหนักมากกับ แมนฯ ยูไนเต็ด แต่สุดท้าย โมนาโก กลับยอมปล่อยให้ ลิเวอร์พูล ในราคา 40 ล้านปอนด์ ทำเอาเด็กผีหงายเงิบกันเป็นแถว
อลิสสัน เบคเกอร์ นายทวารมือหนึ่งของทีมชาติบราซิล ที่ คล็อปป์ ยอมควัก 62 ล้านปอนด์ให้ โรมา เพื่อแก้จุดอ่อนสำคัญที่เรื้อรังมานานตั้งแต่สมัยอดีต ซึ่งดูทรงแล้วก็เชื่อได้ว่าดีกว่า คาริอุส และ มินโญเลต์ มัดรวมกันเสียอีก
สุดท้าย เซอร์ดาน ชากิรี ปีกตัวกลั่นชาวสวิตเซอร์แลนด์ ราคา 13.5 ล้านปอนด์ ที่มีชื่อเสียงโด่งดังคับโลกมายาวนาน เข้ามารับหน้าที่เป็นผู้เล่นหมุนเวียนให้กับ 3 ประสานแดนหน้าที่มีศักยภาพสูงไม่แพ้กัน
และด้วยความที่ คล็อปป์ เดินเกมในตลาดซื้อ-ขายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ฤดูกาลนี้ ลิเวอร์พูล ไม่เสียผู้เล่นสำคัญ ๆ ออกไปให้กับเหล่ามหาอำนาจเลยแม้แต่คนเดียว พอเอามารวมกับแข้งใหม่ ก็กลายเป็นว่าขุมกำลังของพวกเขาดูดีมีความแข็งแกร่งทั้ง 11 ตัวจริง ลึกยันไปถึงกลุ่มตัวสำรองโน่นเลยทีเดียว
2. ทีเด็ดสามประสานแดนหน้า

สาวกหงส์แดงทุกคนคงรู้กันดีอยู่แล้วว่าอาวุธร้ายที่จะพาทีมประสบความสำเร็จได้นั้นคือ ความอันตรายของสามประสานแดนหน้า ซาดิโอ มาเน, โรแบร์โต เฟอร์มิโน และ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ นั่นเอง
ในฤดูกาล 2017-18 พวกเขาช่วยกันทำประตูรวมกันได้มากถึง 91 ลูก หากนับรวมทุกรายการ ซึ่งถือว่าเป็นตัวเลขที่โหดสุด ๆ แต่นอกจากความสามารถในจบสกอร์แล้วการสอดประสานกันของสามคนนี้ยังเข้าขารู้ใจกันอย่างน่าเหลือเชื่ออีกต่างหาก
และคนที่เป็นหัวใจหลักผู้คอยเชื่อมการเล่นของพวกเขาออกมาให้มีประสิทธิภาพมากที่สุดก็คือ โรแบร์โต เฟอร์มิโน ที่ได้รับบทบาทเป็น False 9 หรือหน้าเป้าผู้คอยลงต่ำมาปั้นเกมได้ด้วยตัวเอง เพื่อสนับสนุนคนอื่น ๆ นั่นเอง
ทำให้ ซาลาห์ กับ มาเน ได้รับประโยชน์ในการเข้าโจมตีพื้นที่สุดท้ายแบบเต็ม ๆ และหากสามคนนี้ยังรักษาฟอร์มการเล่นเอาไว้ได้ต่อเนื่อง รวมถึงไม่เจ็บยาว ไม่ป่วยไข้ รับรองว่าจะพา หงส์แดง สยายปีกทะยานขึ้นคว้าแชมป์ได้แน่นอน
สำคัญกว่านั้น เชื่อว่า เดอะ ค็อป ทั้งโลกเองก็น่าจะอยากเห็น คิงออฟอียิปต์ หรือ โม ซาลาห์ คว้ารางวัลดาวซัลโวต่อเนื่องอีกปี มาช่วยลุ้นกันว่าจะมีโอกาสทำได้มากน้อยแค่ไหน
3.แกร่งกล้ายิ่งขึ้นในเกมรับ

อีกจุดอ่อนหนึ่งที่เคยสร้างปัญหาให้กับ ลิเวอร์พูล เป็นอย่างมากมาตั้งแต่อดีต ก็คือความอ่อนยวบยาบของเกมรับนี่แหละ เพราะไม่ว่าจะใช้กุนซือกี่คน ผู้เล่นใหม่เทพ ๆ แค่ไหน ก็มักจะเสียประตูจากความผิดพลาดง่าย ๆ ทุกที โดยเฉพาะยามเจอบอมบ์ด้วยลูกกลางอากาศ
แต่หลังจากที่ คล็อปป์ ยอมทุ่มม 75 ล้านปอนด์ เพื่อซื้อ เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค มาจาก เซาธ์แฮมป์ตัน เข้ามาเมื่อเดือนมกราคม ปัญหาทุกอย่างที่เคยมีกับแผงแบ็คโฟร์ กลับถูกแก้ไขจนหายไปหมดสิ้นภายในชั่วเวลาข้ามคืน
เรียกได้ว่าแม้จะเอาใครลงมาเล่นเป็นเซ็นเตอร์ฮาล์ฟเคียงข้าง พี่ VVD ก็ช่วยเหลือให้เค้นฟอร์มออกมาได้อย่างน่าทึ่ง ไม่เชื่อลองถาม ลอฟเรน กับ โกเมซ ดูแล้วกันว่าพวกเเจ๋งแค่ไหนเวลาได้เล่นคู่กับอดีตแข้งนักบุญคนนี้
แถมฟูลแบ็คสองข้างอย่าง แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน ยังทำผลงานโดดเด่นทุกเกมโดยเฉพาะเกมรุกที่มักจะแอสซิสต์สวย ๆ ได้บ่อยครั้ง แถมยังมีแรงวิ่งขึ้น-ลง ช่วยเกมรุก-รับได้อย่างไม่มีหมดพลังด้วย ซึ่งนั่นทำให้คู่แข่งมักจะไม่บุกเจาะทางกราบซ้ายของ ลิเวอร์พูล แล้วไปลุยเอากับอีกฝั่งที่มี เทรนท์ อเล็กซานเดอร์ อาร์โนลด์ ประจำการอยู่แทน แต่ดาวรุ่งคนนี้ก็ไม่ใช่หมูที่จะให้เคี้ยวได้ง่าย ๆ เช่นกัน
และยิ่งมี อลิสสัน คอยยืนเฝ้าเสาอยู่ด้วยแล้ว ยิ่งทำให้คนอื่น ๆ รู้สึกอุ่นใจจนเล่นกันได้แบบไม่ต้องเป็นกังวลอีกต่อไป
4. คล็อปป์กับสูตร “เกเก้น-เพรสซิ่ง”

นอกจากตัวผู้เล่นที่เราพูดถึงกันมา 3 ข้อก่อนหน้านี้แล้ว อีกหนึ่งกุญแจสำคัญที่จะทำให้เกมของ ลิเวอร์พูล ขับเคลื่อนไปสู่หนทางข้างหน้าอย่างมั่นคงและสวยงามก็คือ “สไตล์การเล่น” ที่ เจอร์เกน คล็อปป์ ติดตั้งให้นั่นเอง
และนับตั้งแต่วันแรกที่กุนซือชาวเยอรมันคนนี้มาอยู่กับหงส์แดง เขาก็ประกาศชัดว่าจะดึงเอาแท็คติก “เกเก้น-เพรสซิ่ง” ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงกับ ดอร์ทมุนด์ มาใช้ที่ แอนฟิลด์ ด้วย
รูปแบบการเล่นที่ว่านี้ ถือเป็นปรัชญาที่มีความเป็นปัจเจกมากของ เจอร์เกน คล็อปป์ เพราะไม่ใช่ว่าจะเอาไปใช้กันได้ง่าย ๆ นอกเสียจากจะเข้าใจอย่างถ่องแท้จริง ๆ จนมีระบบการฝึกเฉพาะแบบเพื่อให้ดึงศักยภาพของแท็คติกออกมาจนถึงขีดสุด
ด้วยสปีดบอลที่เร็ว-แรงทะลุนรกของ ลิเวอร์พูล ในตอนนี้ บวกกับการไล่เพรสซิ่งสูงตั้งแต่แดนของฝ่ายตรงข้าม ทำให้พวกเขาได้รับประโยชน์อย่างมาก โดยเฉพาะเมื่อมี “พี่ย่างไก่” เฟอร์มิโน คอยช่วยแย่งบอลมาให้โต้กลับไวด้วยแล้ว บอกเลยว่าอันตรายสุด ๆ
แถมผู้เล่นใหม่ที่ คล็อปป์ ดึงเข้ามาเสริมทัพแต่ละคนนั้นยังเหมาะสมกับแผนการเล่นของตัวเองเป็นอย่างดี เรียกว่าซื้อใครเข้ามาสามารถใช้งานได้อย่างตรงจุดตรงใจกันทันทีเลยอย่างไรอย่างนั้น”
5. สิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้คือ JK

ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าสำหรับ ลิเวอร์พูล ณ เวลานี้ ผู้จัดการทีมคือองค์ประกอบที่สำคัญมากสุด เหนือกว่า 4 ข้อที่กล่าวมาก่อนหน้าแบบคนละเลเวลเลยด้วยซ้ำ
เพราะนับตั้งแต่วันที่ คล็อปป์ เข้ามารับงานกุนซือเมื่อเดือนตุลาคม 2015 เขาก็เปลี่ยนแปลง ลิเวอร์พูล ให้ดูดีขึ้นได้ทีละน้อยอย่างมีทิศทางที่ดีเวอร์
ที่สำคัญคือ ไม่มีใครอยากเชื่อว่า ทีมอย่าง ลิเวอร์พูล ที่มีวัฒนธรรมอะไรต่าง ๆ เกี่ยวกับเมือง เกี่ยวกับสปิริตแฟนบอล รวมไปถึงขนบต่าง ๆ ลึกซึ้งเหนียวแน่น จะได้ตัวกุนซือที่เข้าใจในวัฒนธรรมต่าง ๆ เหล่านั้นเป็นอย่างดี ราวกับว่ามีบ้านเกิดอยู่ที่เมืองเดียวกันเลยทีเดียว
และนั่นก็ทำให้ คล็อปป์ กลายเป็นที่รักของทุกฝ่ายได้อย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะ เดอะ ค็อป, ชาวเมือง, บอร์ดบริหาร, ทีมงานในสโมสร, นักเตะ ฯลฯ ถึงขนาดที่ว่าอยากให้อยู่ด้วยกันไปทั้งชีวิตเลยด้วยซ้ำหากเป็นไปได้
หลังจากเคี่ยวกรำหล่อหลอมทีมของตัวเองมาได้พักใหญ่ ๆ วันนี้เขาสร้าง ลิเวอร์พูล จนแข็งแกร่งมากพอที่จะต่อสู้เพื่อลุ้นแชมป์ได้อย่างจริงจังแล้ว
ฉะนั้นหากใครยังจำภาพที่ กุนซือเฮฟวีเมทัลสวมหมวกแก๊ปสีเหลืองชูถาดแชมป์บุนเดสลีกากันได้อยู่ คราวนี้เราอาจได้เห็น คล็อปป์ สวมหมวกทรงเดียวกันแต่เปลี่ยนเป็นสีแดงชูถ้วยพรีเมียร์ลีกบ้างก็เป็นได้ ใครจะไปรู้
........ท้ายสุดอยากจะรู้ว่าเพื่อนๆคิดว่า ปีนีลอเวอร์พูล จะมีแชมป์ติดมือบ้างหรือไม่ ?......
5 เหตุผลกับโอกาสเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีกของ “ลิเวอร์พูล”
ในที่สุดศึกฟุตบอลรายการที่พวกเรารอคอยอย่าง พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ฤดูกาล 2018-19 ก็เปิดฉากขึ้นกันไปเป็นที่เรียบร้อย และคอบอลหลาย ๆ คนก็น่าจะสะใจที่ได้เห็นทีมรักของตัวเองโชว์ฟอร์มกันแบบเต็มสองตา โดยเฉพาะสาวกทีม หงส์แดง ลิเวอร์พูล
หลังจากที่ผ่านการหล่อหลอมมาเกือบ 3 ปีเต็มของ เจอร์เกน คล็อปป์ ทีมดังจากย่านเมอร์ซีย์ไซด์ ก็เข้าสู่ยุคที่ขุมกำลังแข็งแกร่งมากสุดเท่าที่เคยมีมาได้เสียที โดยเฉพาะในซีซั่นก่อนพวกเขาใกล้เคียงกับคำว่า “แชมป์ยุโรป” มากสุด ๆ แต่น่าเสียดายที่พ่ายไปในเกมนัดชิงกับ เรอัล มาดริด เสียก่อน
และนั่นก็เป็นบทเรียนสำคัญรวมถึงแรงบันดาลใจที่ผลักดันให้ เจอร์เกน คล็อปป์ เร่งยกระดับคุณภาพโดยรวมจนเชื่อว่าน่าจะประสบความสำเร็จได้เป็นรูปธรรมเสียที ไม่ว่าจะการคว้าแชมป์ในประเทศ หรือถ้วย ยูฟา แชมเปียนส์ลีก นักเตะทั้งโลกใฝ่ฝัน
แต่ก่อนจะถึงวันนั้น เรามาลองดูกันหน่อยดีกว่าว่าอะไรคือ 5 เหตุผลที่สนับสนุนให้ หงส์แดง ลิเวอร์พูล มีโอกาสขึ้นครองบัลลังก์แชมป์พรีเมียร์ลีกได้อย่างเต็มตัวในฤดูกาล 2018-19 นี้[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
1. ลงทุนครั้งใหญ่เพื่อความสำเร็จ
ฉะนั้นการซื้อแข้งใหม่ 4 คนด้วยมูลค่ารวมเกือบ 170 ล้านปอนด์ในซัมเมอร์เดียว จึงถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่อาจนำมาซึ่งความเปลี่ยนแปลงหน้าประวัติศาสตร์ได้อย่างแท้จริง
นาบี เกอิต้า คือคนแรกที่ คล็อปป์ ยอมจ่ายเงิน 52 ล้านปอนด์ให้กับ อาร์บี ไลป์ซิก ล่วงหน้า 1 ปีเพื่อการันตีว่าจะไม่โดนใครฉกไประหว่างรอ และเขาก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเป็นตัวท็อปของทีมได้อย่างแท้จริง
ฟาบินโญ มิดฟิลด์ตัวรับที่เด็กหงส์ต้องเซอร์ไพรส์ เพราะเจ้าตัวมีข่าวหนักมากกับ แมนฯ ยูไนเต็ด แต่สุดท้าย โมนาโก กลับยอมปล่อยให้ ลิเวอร์พูล ในราคา 40 ล้านปอนด์ ทำเอาเด็กผีหงายเงิบกันเป็นแถว
อลิสสัน เบคเกอร์ นายทวารมือหนึ่งของทีมชาติบราซิล ที่ คล็อปป์ ยอมควัก 62 ล้านปอนด์ให้ โรมา เพื่อแก้จุดอ่อนสำคัญที่เรื้อรังมานานตั้งแต่สมัยอดีต ซึ่งดูทรงแล้วก็เชื่อได้ว่าดีกว่า คาริอุส และ มินโญเลต์ มัดรวมกันเสียอีก
สุดท้าย เซอร์ดาน ชากิรี ปีกตัวกลั่นชาวสวิตเซอร์แลนด์ ราคา 13.5 ล้านปอนด์ ที่มีชื่อเสียงโด่งดังคับโลกมายาวนาน เข้ามารับหน้าที่เป็นผู้เล่นหมุนเวียนให้กับ 3 ประสานแดนหน้าที่มีศักยภาพสูงไม่แพ้กัน
และด้วยความที่ คล็อปป์ เดินเกมในตลาดซื้อ-ขายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ฤดูกาลนี้ ลิเวอร์พูล ไม่เสียผู้เล่นสำคัญ ๆ ออกไปให้กับเหล่ามหาอำนาจเลยแม้แต่คนเดียว พอเอามารวมกับแข้งใหม่ ก็กลายเป็นว่าขุมกำลังของพวกเขาดูดีมีความแข็งแกร่งทั้ง 11 ตัวจริง ลึกยันไปถึงกลุ่มตัวสำรองโน่นเลยทีเดียว
2. ทีเด็ดสามประสานแดนหน้า
ในฤดูกาล 2017-18 พวกเขาช่วยกันทำประตูรวมกันได้มากถึง 91 ลูก หากนับรวมทุกรายการ ซึ่งถือว่าเป็นตัวเลขที่โหดสุด ๆ แต่นอกจากความสามารถในจบสกอร์แล้วการสอดประสานกันของสามคนนี้ยังเข้าขารู้ใจกันอย่างน่าเหลือเชื่ออีกต่างหาก
และคนที่เป็นหัวใจหลักผู้คอยเชื่อมการเล่นของพวกเขาออกมาให้มีประสิทธิภาพมากที่สุดก็คือ โรแบร์โต เฟอร์มิโน ที่ได้รับบทบาทเป็น False 9 หรือหน้าเป้าผู้คอยลงต่ำมาปั้นเกมได้ด้วยตัวเอง เพื่อสนับสนุนคนอื่น ๆ นั่นเอง
ทำให้ ซาลาห์ กับ มาเน ได้รับประโยชน์ในการเข้าโจมตีพื้นที่สุดท้ายแบบเต็ม ๆ และหากสามคนนี้ยังรักษาฟอร์มการเล่นเอาไว้ได้ต่อเนื่อง รวมถึงไม่เจ็บยาว ไม่ป่วยไข้ รับรองว่าจะพา หงส์แดง สยายปีกทะยานขึ้นคว้าแชมป์ได้แน่นอน
สำคัญกว่านั้น เชื่อว่า เดอะ ค็อป ทั้งโลกเองก็น่าจะอยากเห็น คิงออฟอียิปต์ หรือ โม ซาลาห์ คว้ารางวัลดาวซัลโวต่อเนื่องอีกปี มาช่วยลุ้นกันว่าจะมีโอกาสทำได้มากน้อยแค่ไหน
3.แกร่งกล้ายิ่งขึ้นในเกมรับ
แต่หลังจากที่ คล็อปป์ ยอมทุ่มม 75 ล้านปอนด์ เพื่อซื้อ เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค มาจาก เซาธ์แฮมป์ตัน เข้ามาเมื่อเดือนมกราคม ปัญหาทุกอย่างที่เคยมีกับแผงแบ็คโฟร์ กลับถูกแก้ไขจนหายไปหมดสิ้นภายในชั่วเวลาข้ามคืน
เรียกได้ว่าแม้จะเอาใครลงมาเล่นเป็นเซ็นเตอร์ฮาล์ฟเคียงข้าง พี่ VVD ก็ช่วยเหลือให้เค้นฟอร์มออกมาได้อย่างน่าทึ่ง ไม่เชื่อลองถาม ลอฟเรน กับ โกเมซ ดูแล้วกันว่าพวกเเจ๋งแค่ไหนเวลาได้เล่นคู่กับอดีตแข้งนักบุญคนนี้
แถมฟูลแบ็คสองข้างอย่าง แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน ยังทำผลงานโดดเด่นทุกเกมโดยเฉพาะเกมรุกที่มักจะแอสซิสต์สวย ๆ ได้บ่อยครั้ง แถมยังมีแรงวิ่งขึ้น-ลง ช่วยเกมรุก-รับได้อย่างไม่มีหมดพลังด้วย ซึ่งนั่นทำให้คู่แข่งมักจะไม่บุกเจาะทางกราบซ้ายของ ลิเวอร์พูล แล้วไปลุยเอากับอีกฝั่งที่มี เทรนท์ อเล็กซานเดอร์ อาร์โนลด์ ประจำการอยู่แทน แต่ดาวรุ่งคนนี้ก็ไม่ใช่หมูที่จะให้เคี้ยวได้ง่าย ๆ เช่นกัน
และยิ่งมี อลิสสัน คอยยืนเฝ้าเสาอยู่ด้วยแล้ว ยิ่งทำให้คนอื่น ๆ รู้สึกอุ่นใจจนเล่นกันได้แบบไม่ต้องเป็นกังวลอีกต่อไป
4. คล็อปป์กับสูตร “เกเก้น-เพรสซิ่ง”
และนับตั้งแต่วันแรกที่กุนซือชาวเยอรมันคนนี้มาอยู่กับหงส์แดง เขาก็ประกาศชัดว่าจะดึงเอาแท็คติก “เกเก้น-เพรสซิ่ง” ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงกับ ดอร์ทมุนด์ มาใช้ที่ แอนฟิลด์ ด้วย
รูปแบบการเล่นที่ว่านี้ ถือเป็นปรัชญาที่มีความเป็นปัจเจกมากของ เจอร์เกน คล็อปป์ เพราะไม่ใช่ว่าจะเอาไปใช้กันได้ง่าย ๆ นอกเสียจากจะเข้าใจอย่างถ่องแท้จริง ๆ จนมีระบบการฝึกเฉพาะแบบเพื่อให้ดึงศักยภาพของแท็คติกออกมาจนถึงขีดสุด
ด้วยสปีดบอลที่เร็ว-แรงทะลุนรกของ ลิเวอร์พูล ในตอนนี้ บวกกับการไล่เพรสซิ่งสูงตั้งแต่แดนของฝ่ายตรงข้าม ทำให้พวกเขาได้รับประโยชน์อย่างมาก โดยเฉพาะเมื่อมี “พี่ย่างไก่” เฟอร์มิโน คอยช่วยแย่งบอลมาให้โต้กลับไวด้วยแล้ว บอกเลยว่าอันตรายสุด ๆ
แถมผู้เล่นใหม่ที่ คล็อปป์ ดึงเข้ามาเสริมทัพแต่ละคนนั้นยังเหมาะสมกับแผนการเล่นของตัวเองเป็นอย่างดี เรียกว่าซื้อใครเข้ามาสามารถใช้งานได้อย่างตรงจุดตรงใจกันทันทีเลยอย่างไรอย่างนั้น”
5. สิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้คือ JK
เพราะนับตั้งแต่วันที่ คล็อปป์ เข้ามารับงานกุนซือเมื่อเดือนตุลาคม 2015 เขาก็เปลี่ยนแปลง ลิเวอร์พูล ให้ดูดีขึ้นได้ทีละน้อยอย่างมีทิศทางที่ดีเวอร์
ที่สำคัญคือ ไม่มีใครอยากเชื่อว่า ทีมอย่าง ลิเวอร์พูล ที่มีวัฒนธรรมอะไรต่าง ๆ เกี่ยวกับเมือง เกี่ยวกับสปิริตแฟนบอล รวมไปถึงขนบต่าง ๆ ลึกซึ้งเหนียวแน่น จะได้ตัวกุนซือที่เข้าใจในวัฒนธรรมต่าง ๆ เหล่านั้นเป็นอย่างดี ราวกับว่ามีบ้านเกิดอยู่ที่เมืองเดียวกันเลยทีเดียว
และนั่นก็ทำให้ คล็อปป์ กลายเป็นที่รักของทุกฝ่ายได้อย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะ เดอะ ค็อป, ชาวเมือง, บอร์ดบริหาร, ทีมงานในสโมสร, นักเตะ ฯลฯ ถึงขนาดที่ว่าอยากให้อยู่ด้วยกันไปทั้งชีวิตเลยด้วยซ้ำหากเป็นไปได้
หลังจากเคี่ยวกรำหล่อหลอมทีมของตัวเองมาได้พักใหญ่ ๆ วันนี้เขาสร้าง ลิเวอร์พูล จนแข็งแกร่งมากพอที่จะต่อสู้เพื่อลุ้นแชมป์ได้อย่างจริงจังแล้ว
ฉะนั้นหากใครยังจำภาพที่ กุนซือเฮฟวีเมทัลสวมหมวกแก๊ปสีเหลืองชูถาดแชมป์บุนเดสลีกากันได้อยู่ คราวนี้เราอาจได้เห็น คล็อปป์ สวมหมวกทรงเดียวกันแต่เปลี่ยนเป็นสีแดงชูถ้วยพรีเมียร์ลีกบ้างก็เป็นได้ ใครจะไปรู้
........ท้ายสุดอยากจะรู้ว่าเพื่อนๆคิดว่า ปีนีลอเวอร์พูล จะมีแชมป์ติดมือบ้างหรือไม่ ?......