จบลงกันไปแล้วกับรอบแรกของฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติอาเซียน หรือ AFF Suzuki Cup 2018 ที่แชมป์เก่าอย่างไทยแลนด์ ผงาดคว้าแชมป์กลุ่ม B มาครองได้สำเร็จด้วยสไตค์เน้นรับแล้วโต้กลับประหยัดแรงงาน จนแฟนบอลบางกลุ่มออกอาการไม่สะใจในผลงานของทีมชาติไทยในยุค ราเยวัช สไตค์
การทำบอลของ ราเยวัช นั้นหากมองกันให้ลึกแล้วใส่ใจในรายละเอียดของเกมส์ฟุตบอล นอกจากอารมณ์การดูบอลที่เน้นบุกแหลก เดินใส่ตลอด 90 นาที ก็คงต้องเบื่อหน่ายกันเป็นธรรมดา ฟุตบอลไทยในรูปแบบ ฟุตบอลยุโรปตะวันออก นั้นกำลังจะเริ่มปรากฏผลให้เห็น การทำเกมส์เล่นบอลด้วยสมอง เน้นแท็คติคเป็นสำคัญ และอาศัยความสามารถเฉพาะตัวในบ้างครั้งในการเข้าทำประตู
ไม่ต่างอะไรกับแฟนบอลยุค 90 ที่หากจำกันได้ ยูโกสลาเวีย ก่อนแตกประเทศพวกเข้าได้ชื่อว่าเป็น บราซิล ยุโรป เลยก็ว่าได้ นำโดยนักเตะดังๆ อย่าง ดราแกน สตอยโควิช, โรเบิร์ต โปรซิเนคสกี,อัลแลน บอคซิค, ดาวอร์ ซูเคอร์, ซินิซา มิไฮโลวิช กองหลังจามปั่นฟรีคิก ซึ่งจะเน้นการตั้งรับที่เหนี่ยวแน่น เน้นโต้กลับที่แน่นอน และอาศัยความสามารถเฉพาะตัวในการเข้าทำประตู จากสิ่งเหล่านี้แม้ ยูโกสลาเวีย จะแยกประเทศออกมาเป็นหลายประเทศแต่รูปแบบการเล่นของพวกเขาในแต่ละชาติที่แยกตัวออกมาก็ไม่ต่างอะไรจากนี้เลย จนบ้างครั้งมีแฟนบอลได้กล่าวไว้ว่า บอลทางยุโรปตะวันออกเกิดมาฆ่าบอลสไตค์เยอรมันชัดๆ
ฟุตบอลในแบบฉบับของชาว เซิร์บ จะเน้นระเบียบวินัยเป็นหลัก รวมไปถึงการใส่ใจรายละเอียดทุกเม็ดในการซ้อมแท็คติคในแต่ละครั้งเรียกได้ว่าพลาดไม่ได้เด็ดขาด เพราะหากพลาดนั้นหมายถึงการเสียประตู ซึ่งสอดคล้องกับบทสัมภาษณ์ของ มาริโอ้ ยูรอฟสกี้ อดีตนักเตะทีมชาติมาเซโดเนียที่มาค้าแข้งในประเทศไทยได้กล่าวไว้
“ฟุตบอลในยุโรปตะวันออก จะเน้นเรื่องของแท็คติก และต้องคุมเกมให้ได้ รวมถึงเรื่องจังหวะเกม ทุกคนต้องรู้ว่า ตอนไหนเล่นช้า-เร็ว ตอนไหน นั่นคือสิ่งที่เราถูกปลูกฝังมา “ มาริโอ้ กล่าว
หากจำกันได้ในการคัดเลือกหาโค้ชทีมชาติไทยชุดใหญ่ "โค้ชเฮง" วิทยา เลาหกุล ประธานเทคนิคของสมาคมฟุตบอลไทยฯ ในตอนนั้นได้กล่าวถึงเหตุผลว่าทำไมถึงเลือก ราเยวัช เข้ามาคุมทัพ ก็เพราะ ราเยวัช เข้าใจถึงจุดอ่อนแบบชัดเจนของทีมชาติไทยนั้นคือเกมส์รับ เขาจึงนำจุดนี้มาเป็นจุดแข็งในการเสนองานกับทางทีมชาติไทยด้วยการอาศัยปรับเกมส์รับของไทยเป็นจุดแรก
หลังจาก ราเยวัช ได้รับการแต่งตั้งเป็นโค้ชทีมชาติไทย ก็ได้จัดการเรียก เฉลิมพงษ์ เกิดแก้ว , พรรษา เหมวิบูลย์ 2 กองหลังที่เรียกได้ว่าเป็นกองหลังโนเนมเลยก็ว่าได้ในตอนนั้นเข้ามาสู่ทีม ซึ่งทั้งคู่เป็นแผงหลังที่รูปร่างสูงใหญ่นั้นคือการเฟ้นหาคนให้เหมาะกับงานของเขาในการสร้างเกมรับที่แข็งแกร่ง ร่วมไปถึงนักเตะเชิงเทคนิคที่จ่ายบอลดีอย่าง สรรวัชญ์ เดชมิตร, ฐิติพันธ์ พ่วงจันทร์ แม้กระทั้ง ปกรณ์ เปรมภักดิ์ ในทีมชุดนี้ เข้ามาเติมเต็มในรูปแบบแท็คติคที่เขาต้องการ
ทั้งหมดนี้กำลังเริ่มแสดงให้เห็นถึงรูปแบบที่ทางกุนซือจากยุโรปตะวันออกต้องการให้เป็นแล้วจากทัวร์นาเม้น ซูซูกิ คัพ 2018 ว่ากันว่าเหมือนเป็นการซ้อมระบบแท็คติคไว้ใช้งานจริงในรายการชิงแชมป์เอเชีย ที่สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ในมกราคมปีหน้าที่ใกล้จะถึงนี้
มันอาจจะดูน่าเบื่อไม่สะใจไปบ้าง แต่การหวังผลในชัยชนะได้นั้นก็น่าจะเป็นคำตอบทีดี รวมไปถึงสถิติที่กำลังจะเกิดขึ้นใหม่อีกมากมายในบอลไตค์น่าเบื่อแบบยุโรปตะวันออก ไม่ว่าจะเป็นการยิงประตูได้ถึง 15 ประตูจากรอบแรก ซูซูกิ คัพ 2018 ถือว่ายิงได้มากสุดนับตั้งแต่ทีมชาติไทยได้ลงแข่งขันรายการนี้มา
ฟุตบอลของ ลุงเรวัช กำลังจะเข้ามาถึงหัวใจแฟนบอลไทยได้เรื่อยๆ หากวันเสาร์นี้บุกไปชนะ "เสือเหลือง" มาเลเซีย ได้ถึงสนามบูกิตจารีล ต่อหน้าแฟนบอลเจ้าถิ่นเลือนแสนได้ แม้ว่าสถิติเราไม่เคยบุกไปชนะเข้าได้มากหลายสิบปีแล้วก็ตามในสนามแห่งนี้ เชื่อได้เลยว่าลุงราเยวัช จะทำลายกำแพงความคิดของแฟนบอลได้อีกมากโขเลยทีเดียว
"อาจจะไม่โดนใจ แต่ผลลัพธ์ก็น่าพอใจจริงไหม"
ปลาทู...สีมะขาม
เครดิตเนื้อหาข้อมุลบ้างส่วน : Fourfourtwo
ต้นฉบับ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้https://bit.ly/2BG3D8x
ปรัชญาแนวทางบอลอุดสไตค์ ราเยวัช
การทำบอลของ ราเยวัช นั้นหากมองกันให้ลึกแล้วใส่ใจในรายละเอียดของเกมส์ฟุตบอล นอกจากอารมณ์การดูบอลที่เน้นบุกแหลก เดินใส่ตลอด 90 นาที ก็คงต้องเบื่อหน่ายกันเป็นธรรมดา ฟุตบอลไทยในรูปแบบ ฟุตบอลยุโรปตะวันออก นั้นกำลังจะเริ่มปรากฏผลให้เห็น การทำเกมส์เล่นบอลด้วยสมอง เน้นแท็คติคเป็นสำคัญ และอาศัยความสามารถเฉพาะตัวในบ้างครั้งในการเข้าทำประตู
ไม่ต่างอะไรกับแฟนบอลยุค 90 ที่หากจำกันได้ ยูโกสลาเวีย ก่อนแตกประเทศพวกเข้าได้ชื่อว่าเป็น บราซิล ยุโรป เลยก็ว่าได้ นำโดยนักเตะดังๆ อย่าง ดราแกน สตอยโควิช, โรเบิร์ต โปรซิเนคสกี,อัลแลน บอคซิค, ดาวอร์ ซูเคอร์, ซินิซา มิไฮโลวิช กองหลังจามปั่นฟรีคิก ซึ่งจะเน้นการตั้งรับที่เหนี่ยวแน่น เน้นโต้กลับที่แน่นอน และอาศัยความสามารถเฉพาะตัวในการเข้าทำประตู จากสิ่งเหล่านี้แม้ ยูโกสลาเวีย จะแยกประเทศออกมาเป็นหลายประเทศแต่รูปแบบการเล่นของพวกเขาในแต่ละชาติที่แยกตัวออกมาก็ไม่ต่างอะไรจากนี้เลย จนบ้างครั้งมีแฟนบอลได้กล่าวไว้ว่า บอลทางยุโรปตะวันออกเกิดมาฆ่าบอลสไตค์เยอรมันชัดๆ
ฟุตบอลในแบบฉบับของชาว เซิร์บ จะเน้นระเบียบวินัยเป็นหลัก รวมไปถึงการใส่ใจรายละเอียดทุกเม็ดในการซ้อมแท็คติคในแต่ละครั้งเรียกได้ว่าพลาดไม่ได้เด็ดขาด เพราะหากพลาดนั้นหมายถึงการเสียประตู ซึ่งสอดคล้องกับบทสัมภาษณ์ของ มาริโอ้ ยูรอฟสกี้ อดีตนักเตะทีมชาติมาเซโดเนียที่มาค้าแข้งในประเทศไทยได้กล่าวไว้
“ฟุตบอลในยุโรปตะวันออก จะเน้นเรื่องของแท็คติก และต้องคุมเกมให้ได้ รวมถึงเรื่องจังหวะเกม ทุกคนต้องรู้ว่า ตอนไหนเล่นช้า-เร็ว ตอนไหน นั่นคือสิ่งที่เราถูกปลูกฝังมา “ มาริโอ้ กล่าว
หากจำกันได้ในการคัดเลือกหาโค้ชทีมชาติไทยชุดใหญ่ "โค้ชเฮง" วิทยา เลาหกุล ประธานเทคนิคของสมาคมฟุตบอลไทยฯ ในตอนนั้นได้กล่าวถึงเหตุผลว่าทำไมถึงเลือก ราเยวัช เข้ามาคุมทัพ ก็เพราะ ราเยวัช เข้าใจถึงจุดอ่อนแบบชัดเจนของทีมชาติไทยนั้นคือเกมส์รับ เขาจึงนำจุดนี้มาเป็นจุดแข็งในการเสนองานกับทางทีมชาติไทยด้วยการอาศัยปรับเกมส์รับของไทยเป็นจุดแรก
หลังจาก ราเยวัช ได้รับการแต่งตั้งเป็นโค้ชทีมชาติไทย ก็ได้จัดการเรียก เฉลิมพงษ์ เกิดแก้ว , พรรษา เหมวิบูลย์ 2 กองหลังที่เรียกได้ว่าเป็นกองหลังโนเนมเลยก็ว่าได้ในตอนนั้นเข้ามาสู่ทีม ซึ่งทั้งคู่เป็นแผงหลังที่รูปร่างสูงใหญ่นั้นคือการเฟ้นหาคนให้เหมาะกับงานของเขาในการสร้างเกมรับที่แข็งแกร่ง ร่วมไปถึงนักเตะเชิงเทคนิคที่จ่ายบอลดีอย่าง สรรวัชญ์ เดชมิตร, ฐิติพันธ์ พ่วงจันทร์ แม้กระทั้ง ปกรณ์ เปรมภักดิ์ ในทีมชุดนี้ เข้ามาเติมเต็มในรูปแบบแท็คติคที่เขาต้องการ
ทั้งหมดนี้กำลังเริ่มแสดงให้เห็นถึงรูปแบบที่ทางกุนซือจากยุโรปตะวันออกต้องการให้เป็นแล้วจากทัวร์นาเม้น ซูซูกิ คัพ 2018 ว่ากันว่าเหมือนเป็นการซ้อมระบบแท็คติคไว้ใช้งานจริงในรายการชิงแชมป์เอเชีย ที่สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ในมกราคมปีหน้าที่ใกล้จะถึงนี้
มันอาจจะดูน่าเบื่อไม่สะใจไปบ้าง แต่การหวังผลในชัยชนะได้นั้นก็น่าจะเป็นคำตอบทีดี รวมไปถึงสถิติที่กำลังจะเกิดขึ้นใหม่อีกมากมายในบอลไตค์น่าเบื่อแบบยุโรปตะวันออก ไม่ว่าจะเป็นการยิงประตูได้ถึง 15 ประตูจากรอบแรก ซูซูกิ คัพ 2018 ถือว่ายิงได้มากสุดนับตั้งแต่ทีมชาติไทยได้ลงแข่งขันรายการนี้มา
ฟุตบอลของ ลุงเรวัช กำลังจะเข้ามาถึงหัวใจแฟนบอลไทยได้เรื่อยๆ หากวันเสาร์นี้บุกไปชนะ "เสือเหลือง" มาเลเซีย ได้ถึงสนามบูกิตจารีล ต่อหน้าแฟนบอลเจ้าถิ่นเลือนแสนได้ แม้ว่าสถิติเราไม่เคยบุกไปชนะเข้าได้มากหลายสิบปีแล้วก็ตามในสนามแห่งนี้ เชื่อได้เลยว่าลุงราเยวัช จะทำลายกำแพงความคิดของแฟนบอลได้อีกมากโขเลยทีเดียว
"อาจจะไม่โดนใจ แต่ผลลัพธ์ก็น่าพอใจจริงไหม"
ปลาทู...สีมะขาม
เครดิตเนื้อหาข้อมุลบ้างส่วน : Fourfourtwo
ต้นฉบับ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้