DAY 10

17 พฤศจิกายน 2018
ไฟลท์ไปลาลิเบลาออกเดินทางตอนเที่ยงห้านาที มาถึงท่าอากาศยานอักสัมตอนแปดโมงครึ่ง เคาน์เตอร์ยังไม่เปิดให้เช็คอิน เกลียดความ OCD ของตัวเอง
บนเครื่องบินมีเอเชี่ยน 1 คนคือเรา เอธิโอเปียน 6 คน ที่เหลือเป็นคอเคเซียน เดาจากภาษาว่าน่าจะเป็นเยอรมันชนครึ่งนึง ชาติอื่นครึ่งนึง เอธิโอเปียน 4 ใน 6 คือมากับทัวร์ สงสัยเป็นไกด์ สรุปไฟลท์นี้เหมือนสร้างขึ้นมาเพื่อการท่องเที่ยวโดยเฉพาะ

ข้างหน้าสนามบินมีพลขับแท็กซี่มากมาย เหลือบเห็นคนถือป้ายชื่อเราจึงเดินเข้าไปหา ค่าแท็กซี่ 100 หน่วย แปลกใจมากที่ทางโรงแรมรู้ได้ไงว่าเราจะมา? สนามบินอยู่ห่างจากตัวเมืองประมาณ 10 กิโลเมตรเห็นจะได้ ต้องขับไต่เขาขึ้นไปเพราะตัวเมืองสร้างอยู่ข้างบน วิวสวยจริงๆ หากมาเอธิโอเปียแล้วต้องเลือกเพียง 1 เมือง แนะนำแบบไม่กลัวหน้าแหกให้มาลาลิเบลา เมืองมีชัยภูมิที่งามสุดๆ

.
Bet Giyorgis
Bet หมายถึงโบสถ์ส่วน Giyorgis น่าจะเป็นการ transliteration ภาษาอัมฮาริคให้เป็นภาษาอังกฤษซึ่งก็คือ George นั่นเอง ฉะนั้น Bet Giyorgis คือโบสถ์ที่สร้างอุทิศให้ St. George; ฐานโบสถ์อยู่ตำ่กว่าพื้นเพราะสถาปนิกได้ออกแบบให้สกัดเอาหินออกไปจนเหลือแต่ตัวเรือนธาตุที่มองจากด้านบนจักเห็นเป็นรูปกากบาทหรือไม้กางเขน สวยมากๆ ตัวโบสถ์สูง 15 เมตรหรืออีกนัยหนึ่งคือฐานบัวอยู่ตำ่ลงไป 15 เมตร เท่าท่ีศึกษาไม่มีโบสถ์ของวัฒนธรรมไหนที่สร้างแบบนี้ นี่คือ architectural wonder ควรค่าแก่การเยี่ยมชม
โบสถ์ทั้ง 13 แห่งในลาลิเบลาถูกสร้างโดยพระประสงค์ของพระเจ้าลาลิเบลา (ชื่อเดิมของเมืองคือโรหาหรือ Roha แต่เปลี่ยนเป็นลาลิเบลาเพื่อเป็นเกียรติแก่พระเจ้าลาลิเบลา) โดยตำนานเล่าว่าช่างสิบหมู่สกัดและสลักหินตอนกลางวันส่วนตอนกลางคืนมีเทวดามาช่วย! โบสถ์ทั้งหมดจึงเสร็จอย่างรวดเร็ว (ไม่รู้ว่าเทวดาเหล่านั้นคือ Watchers หรือเปล่า หากสนใจขอให้อ่าน Books of Enoch เป็นส่วนที่ไม่ได้รวมในไบเบิ้ลกระแสหลัก แต่อยู่ใน Ethiopian Tawahedo Orthodox Bible) ส่วน Bet Giyorgis นั้นเกิดจากการที่ St. George โกรธที่ไม่มีใครสร้างโบสถ์ในนามแก แกจึงขี่ม้ามาหาพระเจ้าลาลิเบลาเพื่อถามว่าทำไม? พระเจ้าลาลิเบลาเลยบอกว่าพระองค์จะสร้างโบสถ์ที่สวยที่สุดให้ วันตัดลูกนิมิต St. George มาดูด้วยตัวเองและชอบความงามของตัวโบสถ์มากถึงกับควบม้าเข้าไป ทุกวันนี้รอยเกือกม้าของ St. George ยังคงอยู่
*โปรดใช้วิจารณญาณในการรับชม
ในบรรดาโบสถ์ทั้งหมด Bet Giyorgis อยู่แยกจากเพื่อน ต้องเดินลงใต้ไปจากกลุ่มโบสถ์ทิศเหนืออีกประมาณ 300 เมตร เป็นโบสถ์เดียวที่ยังไม่มีหลังคาคลุมเพราะถ้าคลุมแล้วความ photogenic จะหายไป
รวมรูป

.
เกร็ดความรู้
หลังจากพระเยซูเสด็จสู่สววรคาลัยได้ไม่นาน นักบวชและคริสตศาสนิกชนสมัยนั้นก็เริ่มถกเถียงถึงสภาวะของพระเยซูว่าเป็นเทพคือไม่มีจุดเริ่มต้นและสิ้นสุดเหมือนพระเจ้า (God the Father) หรือเป็นมนุษย์ที่พระเจ้าสร้าง; เอเรียส (Arius) พระแห่งเมืองอเล็กซานเดรีย (Alexandria) เชื่อว่าพระเยซูกับพระเจ้าเป็นคนละสภาวะกัน (Dyophysitism) หรืออีกนัยหนึ่งพระเยซูไม่ใช่พระเจ้าและไม่มีสถานะเป็นเทพเป็นเพียงแค่มนุษย์ที่ถูกเลือกให้มาไถ่บาปแก่มวลมนุษยโลก แต่ความคิดของเอเรียส (Arianism) ไม่ได้รับความนิยมในหมู่ชาวคริสต์และตัวเอเรียสเองก็ถูกก่นด่าจากพระและนักบวชท่านอื่น เซนต์อเล็กซานเดอร์ (St. Alexander) และเซนต์อธานาเซียส (St. Athanasius) แห่งเมืองอเล็กซานเดรียจึงตัดสินใจจัดสังคายนาครั้งที่ 1 ที่เมืองไนเซีย (The Council of Nicaea) ในปีค.ศ. 325 โดยเชิญจักรพรรดิคอนสแตนติน (Emperor Constantine) เป็นองค์ประธาน ผลลัพธ์จากการสังคายนาทำให้เอเรียสกลายเป็นคนบาปและถูกห้ามไม่ให้สอน Arianism แก่คนทั่วไป (สังคายนาครั้งที่ 2 ที่เมืองคอนสแตนติโนเปิลหรือ The First Council of Constantinople ในปีค.ศ. 381 ก็แบน Arianism เช่นกัน)
หลังจาก The Council of Nicaea ชาวคริสต์และนักบวชส่วนใหญ่ก็เชื่อหรือถูกทำให้เชื่อว่าพระเยซูกับพระเจ้าเป็น 2 สภาวะเทพที่รวมอยู่ในร่างเดียวกัน แต่ “ความเป็นร่างเดียวกัน” ยังแบ่งย่อยออกเป็น 2 กลุ่มโดยฝั่งโรมันตะวันตกและตะวันออกกับ Eastern Orthodox Church (สาย A) เชื่อว่าความเป็นพระเยซูแม้จะเป็นสภาวะเทพที่แยกออกมาจากพระเจ้ากลับถูกดูดกลืนให้กลายเป็นหนึ่งเดียวกัน (Monophysitism) อุปรมาเหมือนเอาน้ำจืดหยดลงไปในทะเล แต่ฝั่ง Oriental Orthodox Church (สาย B) นำโดยกลุ่ม Copts ในอียิปต์และกลุ่มชาวคริสต์ในซีเรียรวมทั้ง Ethiopian Tawahedo Orthodox Church เชื่อว่าทั้งสภาวะพระเยซูและพระเจ้าแยกจากกันชัดเจนแต่อาศัยอยู่ร่วมกันในร่างเดียว (Miaphysitism) คงเหมือนไลเคนที่เราไม่สามารถแยกเห็ดราออกจากสาหร่ายได้ ทีนี้ฝ่าย Monophysitism ก็ชนะ Miaphysitism ในการสังคายนาที่เมืองแคลซิโดน (The Council of Chalcedon) ในปีค.ศ. 451 และ Monophysitism ก็ถูกทำให้เป็นคำสอนกระแสหลัก ผลพวงจากการสังคายนาในครั้งนั้นยังทำให้สาย A กับสาย B แตกกันจนถึงทุกวันนี้
...
ภาคผนวก ข
Bet Giyorgis สวยมาก สวยจนต้องกลับมาโรงแรมแต่งฉันท์อุทิศถวาย
@อีทิสังฉันท์
งามศิลาสลักสล้างอรัญ ประดิษฐ์ประดอยประกวดประชัน
ประชิดชม
สวยสง่าพิลาสพิไลภิรมย์ พิจารณาก็สุขก็สม
เสมอไหน
สูงตระการตระหง่านชะง่อนไศล มิพอจะกล่าวและจาระไน แถลงคำ
เหมือนชะลอวิมานพระวิศุกรรม ประสิทธิดล ธ ทรงกระทำ
ประทานมา
จิตรกรรมประณีตประดับศิลา ระเบียบระบายก็งามอะร้า
อร่ามเรือง
แสงตะวันกระทบประทินประเทือง ระยิบระยับมลังเมลือง
วะวับวาว
เปรียบประทีบจรูญจรัสสกาว สว่างกระจ่างอบายและก้าว
เสนอนำ
ในสถานสถิตพระคริสตธรรม สละสลายโลกียกรรม
กระทำดี
จึงประพันธ์วิพากษ์สลักวจี ประนามประณตต่างอัญชลี
อุทิศเทอญ
🙏❤️🙏
To be continued
#EthiopiaDiary Part 5.1 โบสถ์สลักหินในลาลิเบลา (Lalibela)
17 พฤศจิกายน 2018
ไฟลท์ไปลาลิเบลาออกเดินทางตอนเที่ยงห้านาที มาถึงท่าอากาศยานอักสัมตอนแปดโมงครึ่ง เคาน์เตอร์ยังไม่เปิดให้เช็คอิน เกลียดความ OCD ของตัวเอง
บนเครื่องบินมีเอเชี่ยน 1 คนคือเรา เอธิโอเปียน 6 คน ที่เหลือเป็นคอเคเซียน เดาจากภาษาว่าน่าจะเป็นเยอรมันชนครึ่งนึง ชาติอื่นครึ่งนึง เอธิโอเปียน 4 ใน 6 คือมากับทัวร์ สงสัยเป็นไกด์ สรุปไฟลท์นี้เหมือนสร้างขึ้นมาเพื่อการท่องเที่ยวโดยเฉพาะ
ข้างหน้าสนามบินมีพลขับแท็กซี่มากมาย เหลือบเห็นคนถือป้ายชื่อเราจึงเดินเข้าไปหา ค่าแท็กซี่ 100 หน่วย แปลกใจมากที่ทางโรงแรมรู้ได้ไงว่าเราจะมา? สนามบินอยู่ห่างจากตัวเมืองประมาณ 10 กิโลเมตรเห็นจะได้ ต้องขับไต่เขาขึ้นไปเพราะตัวเมืองสร้างอยู่ข้างบน วิวสวยจริงๆ หากมาเอธิโอเปียแล้วต้องเลือกเพียง 1 เมือง แนะนำแบบไม่กลัวหน้าแหกให้มาลาลิเบลา เมืองมีชัยภูมิที่งามสุดๆ
Bet Giyorgis
Bet หมายถึงโบสถ์ส่วน Giyorgis น่าจะเป็นการ transliteration ภาษาอัมฮาริคให้เป็นภาษาอังกฤษซึ่งก็คือ George นั่นเอง ฉะนั้น Bet Giyorgis คือโบสถ์ที่สร้างอุทิศให้ St. George; ฐานโบสถ์อยู่ตำ่กว่าพื้นเพราะสถาปนิกได้ออกแบบให้สกัดเอาหินออกไปจนเหลือแต่ตัวเรือนธาตุที่มองจากด้านบนจักเห็นเป็นรูปกากบาทหรือไม้กางเขน สวยมากๆ ตัวโบสถ์สูง 15 เมตรหรืออีกนัยหนึ่งคือฐานบัวอยู่ตำ่ลงไป 15 เมตร เท่าท่ีศึกษาไม่มีโบสถ์ของวัฒนธรรมไหนที่สร้างแบบนี้ นี่คือ architectural wonder ควรค่าแก่การเยี่ยมชม
โบสถ์ทั้ง 13 แห่งในลาลิเบลาถูกสร้างโดยพระประสงค์ของพระเจ้าลาลิเบลา (ชื่อเดิมของเมืองคือโรหาหรือ Roha แต่เปลี่ยนเป็นลาลิเบลาเพื่อเป็นเกียรติแก่พระเจ้าลาลิเบลา) โดยตำนานเล่าว่าช่างสิบหมู่สกัดและสลักหินตอนกลางวันส่วนตอนกลางคืนมีเทวดามาช่วย! โบสถ์ทั้งหมดจึงเสร็จอย่างรวดเร็ว (ไม่รู้ว่าเทวดาเหล่านั้นคือ Watchers หรือเปล่า หากสนใจขอให้อ่าน Books of Enoch เป็นส่วนที่ไม่ได้รวมในไบเบิ้ลกระแสหลัก แต่อยู่ใน Ethiopian Tawahedo Orthodox Bible) ส่วน Bet Giyorgis นั้นเกิดจากการที่ St. George โกรธที่ไม่มีใครสร้างโบสถ์ในนามแก แกจึงขี่ม้ามาหาพระเจ้าลาลิเบลาเพื่อถามว่าทำไม? พระเจ้าลาลิเบลาเลยบอกว่าพระองค์จะสร้างโบสถ์ที่สวยที่สุดให้ วันตัดลูกนิมิต St. George มาดูด้วยตัวเองและชอบความงามของตัวโบสถ์มากถึงกับควบม้าเข้าไป ทุกวันนี้รอยเกือกม้าของ St. George ยังคงอยู่
*โปรดใช้วิจารณญาณในการรับชม
ในบรรดาโบสถ์ทั้งหมด Bet Giyorgis อยู่แยกจากเพื่อน ต้องเดินลงใต้ไปจากกลุ่มโบสถ์ทิศเหนืออีกประมาณ 300 เมตร เป็นโบสถ์เดียวที่ยังไม่มีหลังคาคลุมเพราะถ้าคลุมแล้วความ photogenic จะหายไป
รวมรูป
เกร็ดความรู้
หลังจากพระเยซูเสด็จสู่สววรคาลัยได้ไม่นาน นักบวชและคริสตศาสนิกชนสมัยนั้นก็เริ่มถกเถียงถึงสภาวะของพระเยซูว่าเป็นเทพคือไม่มีจุดเริ่มต้นและสิ้นสุดเหมือนพระเจ้า (God the Father) หรือเป็นมนุษย์ที่พระเจ้าสร้าง; เอเรียส (Arius) พระแห่งเมืองอเล็กซานเดรีย (Alexandria) เชื่อว่าพระเยซูกับพระเจ้าเป็นคนละสภาวะกัน (Dyophysitism) หรืออีกนัยหนึ่งพระเยซูไม่ใช่พระเจ้าและไม่มีสถานะเป็นเทพเป็นเพียงแค่มนุษย์ที่ถูกเลือกให้มาไถ่บาปแก่มวลมนุษยโลก แต่ความคิดของเอเรียส (Arianism) ไม่ได้รับความนิยมในหมู่ชาวคริสต์และตัวเอเรียสเองก็ถูกก่นด่าจากพระและนักบวชท่านอื่น เซนต์อเล็กซานเดอร์ (St. Alexander) และเซนต์อธานาเซียส (St. Athanasius) แห่งเมืองอเล็กซานเดรียจึงตัดสินใจจัดสังคายนาครั้งที่ 1 ที่เมืองไนเซีย (The Council of Nicaea) ในปีค.ศ. 325 โดยเชิญจักรพรรดิคอนสแตนติน (Emperor Constantine) เป็นองค์ประธาน ผลลัพธ์จากการสังคายนาทำให้เอเรียสกลายเป็นคนบาปและถูกห้ามไม่ให้สอน Arianism แก่คนทั่วไป (สังคายนาครั้งที่ 2 ที่เมืองคอนสแตนติโนเปิลหรือ The First Council of Constantinople ในปีค.ศ. 381 ก็แบน Arianism เช่นกัน)
หลังจาก The Council of Nicaea ชาวคริสต์และนักบวชส่วนใหญ่ก็เชื่อหรือถูกทำให้เชื่อว่าพระเยซูกับพระเจ้าเป็น 2 สภาวะเทพที่รวมอยู่ในร่างเดียวกัน แต่ “ความเป็นร่างเดียวกัน” ยังแบ่งย่อยออกเป็น 2 กลุ่มโดยฝั่งโรมันตะวันตกและตะวันออกกับ Eastern Orthodox Church (สาย A) เชื่อว่าความเป็นพระเยซูแม้จะเป็นสภาวะเทพที่แยกออกมาจากพระเจ้ากลับถูกดูดกลืนให้กลายเป็นหนึ่งเดียวกัน (Monophysitism) อุปรมาเหมือนเอาน้ำจืดหยดลงไปในทะเล แต่ฝั่ง Oriental Orthodox Church (สาย B) นำโดยกลุ่ม Copts ในอียิปต์และกลุ่มชาวคริสต์ในซีเรียรวมทั้ง Ethiopian Tawahedo Orthodox Church เชื่อว่าทั้งสภาวะพระเยซูและพระเจ้าแยกจากกันชัดเจนแต่อาศัยอยู่ร่วมกันในร่างเดียว (Miaphysitism) คงเหมือนไลเคนที่เราไม่สามารถแยกเห็ดราออกจากสาหร่ายได้ ทีนี้ฝ่าย Monophysitism ก็ชนะ Miaphysitism ในการสังคายนาที่เมืองแคลซิโดน (The Council of Chalcedon) ในปีค.ศ. 451 และ Monophysitism ก็ถูกทำให้เป็นคำสอนกระแสหลัก ผลพวงจากการสังคายนาในครั้งนั้นยังทำให้สาย A กับสาย B แตกกันจนถึงทุกวันนี้
...
ภาคผนวก ข
Bet Giyorgis สวยมาก สวยจนต้องกลับมาโรงแรมแต่งฉันท์อุทิศถวาย
@อีทิสังฉันท์
งามศิลาสลักสล้างอรัญ ประดิษฐ์ประดอยประกวดประชัน
ประชิดชม
สวยสง่าพิลาสพิไลภิรมย์ พิจารณาก็สุขก็สม
เสมอไหน
สูงตระการตระหง่านชะง่อนไศล มิพอจะกล่าวและจาระไน แถลงคำ
เหมือนชะลอวิมานพระวิศุกรรม ประสิทธิดล ธ ทรงกระทำ
ประทานมา
จิตรกรรมประณีตประดับศิลา ระเบียบระบายก็งามอะร้า
อร่ามเรือง
แสงตะวันกระทบประทินประเทือง ระยิบระยับมลังเมลือง
วะวับวาว
เปรียบประทีบจรูญจรัสสกาว สว่างกระจ่างอบายและก้าว
เสนอนำ
ในสถานสถิตพระคริสตธรรม สละสลายโลกียกรรม
กระทำดี
จึงประพันธ์วิพากษ์สลักวจี ประนามประณตต่างอัญชลี
อุทิศเทอญ
🙏❤️🙏
To be continued