อัศวินเทเลอร์กับอาณาจักรแอตแลนติส...บทที่ 8 – ภาษาแอตแลนติส (Part 1)

กระทู้สนทนา
บทที่ 8 – ภาษาแอตแลนติส

          ผมนั่งอยู่ในรถม้าที่กำลังเคลื่อนตัวออกจากปราสาทหลังใหญ่ ปราสาทของเฮอร์มอส นักปราชญ์ที่ได้รับการยอมรับว่าเก่งที่สุดในแอตแลนติส หลังจากที่เฮอร์มอสเสียชีวิต เขาได้ทิ้งปัญหาระดับชาติไว้ให้ลูกศิษย์คนโปรดแบกรับ เจนีวาหรือท่านหญิงแอตลาส ราชนิกุลลำดับสุดท้ายในอาณาจักรแอตแลนติสเป็นผู้รับชะตากรรมนั้นโดยไม่ต้องส่งซองชิงโชค เธอหนีออกจากเมืองแอตแลนติสและซ่อนตัวอยู่ที่ปราสาทแห่งนี้เป็นเวลาหลายปี ด้วยมนตร์โบราณของเฮอร์มอสที่คุ้มครองปราสาท ทำให้เธอปลอดภัยจากครีโทเนียส ศิษย์ผู้พี่ที่ชิงบัลลังก์และปราบดาภิเษกขึ้นเป็นกษัตริย์แห่งแอตแลนติส และอย่างที่รู้ ๆ กันตอนนี้ผมอยู่ในอาณาจักรที่ว่านั่น อาณาจักรที่สูญหายไปเมื่อหนึ่งหมื่นปีก่อน ผมเดินทางมาที่นี่เมื่อสองวันก่อนโดยใช้ประตูกลที่ชาวแอตแลนติสสร้างขึ้นเพื่อเชื่อมโลกปัจจุบันและอาณาจักรของพวกเขา ประตูชัย อาร์ค เดอ ทริอง ในประเทศฝรั่งเศสคือหนึ่งในเส้นทางเหล่านั้น ดูมหัศจรรย์ใช่ไหมครับ แต่ถ้าคุณรู้ว่าคนบางกลุ่มของที่นี่ไม่จำเป็นต้องใช้อาวุธ เพียงแค่พวกเขาแล้วสะบัดมือ มันก็จะมีลำแสงพิฆาตจัดการคุณได้ทันที อย่างไรก็ตามถ้าไม่นับเรื่องพวกนี้ ผมว่าที่นี่ก็ไม่ได้แตกต่างจากที่ที่เราอยู่มากนักหรอก หลาย ๆ อย่างของที่นี่ดูคุ้นตาเหมือนกับโลกของเรา

          “ฮะแฮ้ม” หญิงกลางวัยในรถกำมือปิดปากและทำเสียงดังเรียกความสนใจจากผู้ร่วมเดินทาง สติผมกลับมายังรถม้าที่กำลังแล่นเข้าสู่ป่า เธอหันไปสบตาชายอีกคนก่อนจะพูดว่า
          “ข้าได้ยินมาว่าท่านหญิงแอตลาสใช้มนตร์สาปแช่งกับเจ้าเหรอ อัศวินเทเลอร์” เธอปราดตามองผมตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยท่าทางหยิ่งยะโส ราวกับว่าเธอเป็นผู้คุมที่กำลังนำตัวผมส่งเรือนจำอัลคาทราซ
          “ใช่” ผมตอบ
          “เจ้าไปทำอะไรนางเข้าล่ะ นางถึงไม่พอใจมากขนาดนั้น”
          “ผมเปล่าทำ”
          “แล้วเจ้า…”
          “พอเถอะ แซนเดรีย” ชายร่างเล็กอีกคนขัด “เจ้าอ่านใจเขาไม่ออกรึไงว่าเขาไม่อยากสนทนากับเจ้า”
          “ข้ารู้” เธอเชิดหน้าและจิกตาเสน่หามาทางผม ผมตะลึงด้วยความสนเท่ ผมแค่รู้มาว่าคนที่นี่อาจจะสามารถเข้าใจความคิดของคนอื่นผ่านสายตา แต่นี่พวกเขาสามารถอ่านใจคนได้ ผมนิ่งไปและคิดว่าถ้าพวกเขาอ่านใจผมออกอย่างนี้ อาจจะมีเรื่องยุ่ง ๆ เกิดขึ้น ผมต้องพยายามไม่คิดเรื่องของเจนีวาหรืออะไรต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับที่นี่ ผมมองออกไปนอกหน้าต่างรถม้า พยายามคิดถึงอะไรก็ตามที่มีความสุข
          แล้วการแข่งขันคณิตศาสตร์ระดับประเทศที่นิวยอร์คก็แวบเข้ามาที่หัว วันนั้นเป็นวันที่ตื่นเต้นมากที่สุดในช่วงเวลาหนึ่งของผม มีนักเรียนทุกช่วงชั้นจากห้าสิบสองรัฐเดินทางไปที่นั่น เรารายงานตัวและทำกิจกรรมกันเป็นเวลาสามวันก่อนที่การแข่งขันจริงจะเริ่มขึ้น และผมได้มีโอกาสพบเด็กเก่ง ๆ รุ่นพี่เจ๋ง ๆ จากทุกสารทิศ โดยเฉพาะรุ่นพี่จากสถาบันวิทยาศาสตร์วอชิงตัน เขาได้แนะนำทริคต่าง ๆ ของการเข้าเรียนที่นั่น โดยเฉพาะการทำคะแนนให้ดีสำหรับการแข่งขันในครั้งนี้ เพราะการแข่งขันระดับประเทศแบบนี้ ย่อมมีแมวมองของสถาบันต่าง ๆ มาร่วมด้วย มันจึงเป็นโอกาสที่เราจะเตะตาเขาและได้เข้าเรียนที่นั่นพร้อมทุน และมันก็เป็นแบบที่รุ่นพี่พวกนั้นบอกไว้ เหรียญเงินจากการแข่งขันทำให้สถาบันวอชิงตันและอีกหลายที่ประเคนทุนโดยไม่มีข้อผูกมัดมาให้ มาถึงตอนนี้ผมก็รู้สึกเสียดายกับความสำเร็จของผม มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่ทำได้ ผมต้องอาศัยความเพียรและตั้งใจสูงมาก แต่ทั้งหมดที่ทำมาก็มลายหายไปพร้อมกับแอตแลนติส ผมกลายเป็นอัศวินที่แม้แต่จับดาบมือยังสั่น แล้วนี่ผมจะเอาอะไรไปสู้กับครีโทเนียส นักรบที่เก่งกาจแห่งยุค

          ความคิดผมหยุดลงแค่นั้นเมื่อรถม้าที่นั่งถูกบางสิ่งพุ่งชนจนพลิกคว่ำหลายตลบ เชือกคล้องม้าที่มัดติดอยู่กับรถขาดออกจากกันและม้าก็ตกใจหนีหายเข้าไปในป่า ผมพยายามตั้งสติหลังจากที่ศีรษะกระแทกกับฝากระดานรถม้าอยู่หลายทีและพลิกตัวกลับเมื่อรถม้าคว่ำ ผมคว้ากระเป๋าสะพายหลัง คลานออกจากหน้าต่างอย่างว่องไวตามสัญชาตญานและลงไปนอนหมอบที่ขอบถนน ความเจ็บปวดที่มีจากเวทของเจนีวาหายไปชั่วขณะ
          แซนเดรียขยับตัวและเธอก็ระเบิดพื้นของรถม้าก็กระจุยออกจากกัน เธอยืนขึ้น พยายามทรงตัวบนเพลารถและยื่นมือฉุดชายอีกคนให้ลุกตาม เธอกวาดสายตามองหาผมสักครู่ เมื่อรู้ว่าผมกำลังซ่อนตัวอยู่แถว ๆ นั้น เธอก็ร่ายอาวุธจากเวทมนตร์เตรียมสู้กับแขกที่ไม่ได้รับเชิญ แซนเดรียกับชายร่างเล็กกระโดดม้วนตัวลงจากรถม้า เพียงเสี้ยวนาทีก่อนที่มันจะระเบิดด้วยประกายไฟสีแดง คลื่นอากาศเคลื่อนตัวไปมาระวังสองฝ่ายราวกับห่ากระสุน มันระเบิดเมื่อกระทบวัตถุ รถม้าหลายคันที่วิ่งมาก่อนหน้านี้ระเบิดออกเป็นเสี่ยง ๆ พวกที่รอดจากรถม้าทั้งหมดก็วิ่งเข้าสมทบกับแซนเดรีย กลุ่มคนติดเวทราว ๆ ยี่สิบคนกำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือด

          “มา แชล โล ดิอาส”
          ชายฉกรรจ์จากรถม้าคันหลังที่ตามมาสบถ มันเกิดเป็นโล่ใส ๆ ที่ทำจากเวทมนตร์ขึ้นที่แขนของเขา พวกเขาหยัดสู้กันอยู่พักใหญ่ มีคนของทั้งสองฝั่งล้มลงกับพื้นอยู่หลายคน ผมดูไม่ออกว่าพวกไหนเป็นพวกดีหรือพวกร้ายอยู่นาน แน่ละ ผมไม่ค่อยเชื่อว่าคนของเจนีวาจะเป็นคนดีนักหรอก แค่หวังไว้ในใจว่าคนที่ระเบิดรถม้าที่ทำให้ผมเกือบตาย คงจะไม่ใช่คนที่อันทิโนอุสส่งมาและก็เป็นอย่างที่คิดเมื่อผมเห็น พรีลีนัส ผู้หญิงที่ใช้เวทสาปแช่งกับผมที่โรงแรมในปารีสออกมาจากป่า เธอสมทบกับคนอีกฝั่ง ดูร้ายกาจกว่ากลอเรียหลายเท่าตัวเพราะเพียงแค่เธอสะบัดมืออย่างที่เคยทำกับเชนนิ่ง กลุ่มของแซนเดรียก็กระเด็นออกจากกันเป็นวงกว้าง เธอร่ายเวทออกมาอย่างชำนาญจนพวกของแซนเดรียเริ่มถอย

          “ลุกขึ้นมา อัศวินเทเลอร์”
          แซนเดรียตะโกนและผมรู้สึกอับอายที่ถูกเรียกด้วยชื่ออะไรแบบนั้น ผมจัดแจงลุกขึ้นตามที่เธอสั่งด้วยความรวดเร็ว ทันทีที่ผมลุกขึ้นยืนก็มีคลื่นอากาศวิ่งมาจากฝั่งตรงข้ามเฉียดหูไปเพียงไม่กี่เซน ผมหันไปมอง กลอเรียยืนอยู่ตรงนั้น เธอไม่ได้ยิ้มสแยะอย่างที่เคยทำ หน้าตาเธอมีความชิงชังในตัวผมมากโข เธอยังคงร่ายเวทอีกหลายครั้งมาที่ผม ดีที่แซนเดรียเห็นเหตุการณ์นี้ ก่อนที่หลายคำสาปของกลอเรียจะทำผมม่องเท่งไป เธอจึงจู่โจมเวทของเธอใส่กลอเรียบ้าง กลอเรียกระโจนเข้าไปหลบที่ต้นไม้
          “พาอัศวินหนีไปก่อน แฮฟฟิทัส” เธอตะโกนและชายร่างเล็กก็วิ่งเข้ามากระชากตัวผมออกไป ผมล้มลุกคลุกคลานหลังจากที่ถูกกระชากโดยที่ไม่ได้ตั้งตัว ชายร่างเล็กวิ่งนำผมเข้าไปในป่าและผมตามเขาไปติด ๆ หมอกหนาที่ปกคลุมรอบป่าเริ่มทำให้ผมเห็นทางข้างหน้าไม่ชัดและตอนนี้ความเร็วที่ผมได้จากการวิ่งก็กำลังจะทำให้ผมคลาดกับเขาด้วยเหมือนกัน
          “เดี๋ยว ๆ รอผมก่อน”
          ผมตะโกนไล่หลัง หวังว่าเขาคงจะได้ยินนะ แต่ชายร่างเล็กไม่ได้หยุดวิ่ง เขายังคงวิ่งต่อไปเรื่อย ๆ โดยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น ผมเข้าใจวินาทีนี้ ทุกคนก็คงอยากหนีตายแต่มันดูใจร้ายไปหน่อยไหมที่ทิ้งผมไว้กลางกลางป่าทึบที่ปกคลุมไปด้วยหมอกเพียงลำพัง ความหนาวเย็นเสียดกระดูกของที่นี่ทำให้ผมรู้สึกกลัวอย่างบอกไม่ถูก ผมเปลี่ยนจากวิ่งเยาะ ๆ มากลายเป็นเดินและหยุดในที่สุด อาการจุกท้องเริ่มคืบคลานเข้ามาจนผมต้องเอามือกุม หายใจถี่หอบ และนั่งพักลงกับพื้น ความเย็นของอากาศวิ่งผ่านเข้าสู่ปอดตามลมหายใจ ความเจ็บปวดจากบาดแผลเริ่มโถมใส่ แต่ในใจยังปรารถนาว่าชายร่างเล็กที่ชื่อแฮฟฟิทัสจะกลับมาหาผมเมื่อรู้ว่าเขากำลังวิ่งท่ามกลางป่านี้คนเดียว ผมหยิบขวดยาที่อันทิโนอุสให้ขึ้นมาจิบและความอบอุ่นก็แผ่ซ่านไปทั่วร่างกายอีกครั้ง หลังจากที่ผมเริ่มรู้สึกดีขึ้น ก็เริ่มมีเสียงฝีเท้าของอะไรบางอย่างกำลังวิ่งมาทางผมด้วยความรวดเร็ว เสียงของฝีเท้าที่ว่าดังมาจากรอบทิศ
          ผมลุกขึ้นยืนและกวาดสายตามองไปรอบ ๆ พยายามหาต้นตอของเสียงและมุมหลบภัยในคราเดียว เสียงนั้นเริ่มดังมากขึ้น และผมก็เริ่มเห็นบางอย่างวิ่งตรงมา บางอย่างที่เหมือนกับคนกำลังขี่ม้า ทันทีที่ความชัดเจนของภาพข้างหน้าปรากฏ ผมรีบวิ่งเข้าไปหลบหลังต้นไม้ใหญ่ และไถลตัวนอนราบกับพื้น อาศัยรากไม้ยักษ์พรางตัว ใจเต้นระรัว มือชุ่มไปด้วยเหงื่อด้วยความกลัว แต่ก็อยากดูใจแทบขาดเมื่อรู้ว่าเสียงวิ่งได้หยุดลง เสียงกีบเท้าของม้ากระทบไปมาบนพื้น

***ภาษาอังกฤษในตอนต่อไปนี้ นำมาแทนภาษาใหม่ที่ผมกำลังประดิษฐ์ ซึ่งใช้เวลานานมากครับ เพราะต้องพยายามทำให้สอดคล้องกับหลักภาษาศาสตร์ ผมเลยลงเป็นภาษาอังกฤษไว้พลาง ๆ ก่อน

          “I feel Athenian's smell” เสียงของชายคนหนึ่งพูดขึ้นเป็นภาษาแปลก ๆ
          “Athenian Here?”
          “Yes” เสียงของชายคนนั้นเงียบลงก่อนจะพูดภาษาอังกฤษสำเนียงแปร่ง ๆ ว่า “มนุษย์จากเอเธนส์ ข้ารู้ว่าเจ้าซ่อนตัวอยู่แถว ๆ นี้ ข้าได้กลิ่นของเจ้า” เขาเรียกผมว่ามนุษย์จากเอเธนส์และรับรู้ได้ด้วยกลิ่นตัว...วิเศษ
          “Athenian, if you don't show youself, we will kill you, and make you be our dinner.” ชายคนหนึ่งในกลุ่มนั้นพูดแทรกและที่เหลือก็ต่างหัวเราะเฮฮาสนุกสนานเหมือนกำลังล้อเลียนกันอยู่ เสียงของพวกเขารื่นเริงราวกับว่าตนเองเป็นเผ่ากินคนที่กำลังจะชำแระเนื้อมนุษย์สำหรับดินเนอร์
          “Silent” ชายคนเดิมตะเบ็งเสียง “You fear him”
          “He even doesn't understand this tongue.” ชายอีกคนเถียง ถึงผมไม่เข้าใจภาษาที่เขาพูดแต่อารมณ์มันก็สื่อออกมาแบบนั้น
          “มนุษย์จากเอเธนส์อย่ากังวลใจไป พวกข้าไม่ทำร้ายเจ้าหรอก” ชายคนเดิมพูดด้วยน้ำเสียงใจดี แต่ผมยังเงียบอยู่ ผมขยับมือจับกับรากไม้ใหญ่และค่อย ๆ โผล่หัวขึ้นไปทีละนิด ทันทีที่ผมเห็น ผมทรุดตัวลงกลับมานั่งที่เดิมอย่างไว พวกเขาไม่ใช่คน จริง ๆ แล้วจะว่าแบบนั้นก็ไม่ถูก ท่อนบนของพวกเขาก็เหมือนคนนั่นแหละ แต่ท่อนล่างกลับเป็นม้า ผมเคยเห็นคนพวกนี้ในภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์หลากเรื่อง ฮอลลิวู้ดสร้างให้พวกนั้นให้ดูน่าหลงใหลและใจดีแต่สำหรับสิ่งที่ผมเห็นตอนนี้ มันน่ากลัวพิลึก พวกเขามีใบหูที่กางและใหญ่เหมือนใบเรือจนผมอดคิดไม่ได้ว่าถ้าเขากับผมวิ่งแข่งกันใครจะชนะ มือถือธนูและมีขนเต็มตัว หน้าตาของพวกเขาก็ไม่เหมือนคนสักเท่าไหร่ มันเหมือนกับม้ามากกว่า นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้ผมไม่ค่อยแน่ใจว่าเขาจะใจดีอย่างน้ำเสียง
          “That may not be Athenian's smell.” คราวนี้เป็นเสียงผู้หญิงดังขึ้น สาบานเถอะว่ามีเซ็นทอร์ผู้หญิงอยู่ในกลุ่มนั้น ผมนึกว่าเซ็นทอร์บึกบึนทั้งหมดที่อยู่ตรงหน้าเป็นผู้ชาย
          “ข้าว่าข้าได้กลิ่นไม่ผิด จมูกข้ารับรู้กลิ่นมนุษย์จากเอเธนส์” เขายืนยันด้วยน้ำเสียงที่ดูเชื่อมั่น แต่ก่อนที่จะมีใครพูดอะไร
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่