[หนังโรงเรื่องที่ 249] Life Itself: ที่สุดของการเล่าเรื่อง ประทับใจไม่รู้ลืม
คะแนนความชอบ : S (จากสเกล D-A)
(Dan Fogelman, 2018)
by ตั๋วหนังมันแพง
*ไม่มีการสปอยล์เนื้อเรื่องสำคัญ
เรื่องย่อ: เรื่องราวเริ่มต้นจากคู่รักหนุ่มสาวคู่หนึ่งในนิวยอร์ก ... ไม่สิ มันอาจจะไม่ได้เริ่มจากตรงนั้นก็ได้ อันที่จริงเรายังไม่แน่ใจเลยว่าเรื่องราวชีวิตเรามันควรจะเริ่มจากตรงไหน แต่เอาเป็นว่ามันคือภาพรวมของสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่เรียกว่า "ชีวิต" ที่ล้วนพัวพันกันไปมาไม่สิ้นสุด มันคึอความสวยงามของสายสัมพันธ์ที่ถูกถ่ายออกมาเป็นบทภาพยนตร์ ... ก็ ประมาณนั้นแหละ
👍 จุดที่ชอบ 👍
1.ผมเคยคุยกับเพื่อนว่า
"หนังที่ได้คะแนน S คือหนังที่ทำให้เรารู้สึกอะไรบางอย่าง เป็นความรู้สึกที่ตราตรึง ที่เราไม่มีปัญญาเล่าให้คนอื่นฟังได้"
นั่นคือนิยามของหนังเรื่องนี้สำหรับผมนะ และผมหวังว่าพวกคุณจะไม่พลาดโอกาสไปดูในโรงหนังจริงๆ ถือว่าเอาหัวเป็นประกันเลยแล้วกัน
2.หนังมีวิธีเล่าเรื่องที่โดดเด่นและมีเสน่ห์อย่างที่สุด โดยวิธีแบ่งพาร์ท ... ซึ่งเอาจริงๆหนังรักและการแบ่งพาร์ทก็ไม่ใช่เรื่องใหม่ในบ้านเรานะ แต่ผมแค่รู้สึกว่า "มันทำให้ดีขนาดนี้ได้ยังไงวะ?"
มันคือการผสานเรื่องราวกว้างๆ เรื่องหนึ่งที่เกี่ยวกันบ้าง ไม่เกี่ยวกันบ้าง เข้ามาเป็นเนื้อเดียวกันได้อย่างไร้ที่ติ หนังจะไม่ใช่ประเภทที่สร้างมาเพื่อเค้นน้ำตาหรือขยี้ต่อมเศร้าของคุณ แต่มันออกแบบมาเพื่อถ่ายทอดข้อความและสิ่งสวยงามบางอย่างและมันก็ทำงานได้ยอดเยี่ยมจริงๆ
3.สิ่งที่ทำให้ผม "ว้าว" ที่สุดก็คือพาร์ทแรกของเรื่อง มันเป็นการปูพื้นในหนังรักที่แกร่งที่สุดเท่าที่ผมเคยประสบมา มันจูนเราให้เข้ากับภาษาหนังได้อย่างกระโชกโฮกฮากราวกับโดนตบหน้าฉาดกลางโรงหนัง (เล่นเอาตัวชาไปพักนึงเลย) และทำให้เราพร้อมที่จะเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องราวอันยิ่งใหญ่นี้
ผมค่อนข้างมั่นใจนะ ว่าพาร์ทนี้มันจะเวิร์กสำหรับพวกคุณทุกคนแน่นอน ลองให้โอกาสมันดู ผมเดิมพันกับพาร์ทแรกนี่แหละ
4.หนึ่งในข้อความสำคัญของหนังก็คือ "ตัวเราเองคือคนเล่าเรื่องที่เชื่อถือไม่ได้ที่สุด" เพราะไม่รู้ว่าเราเติมแต่งเรื่องราวในความทรงจำไปมากแค่ไหน ดังนั้นจุดขายสำคัญอีกเรื่องก็คือ "ชั้นเชิงสับขาหลอก" ที่สามารถทำให้คนดูเราอย่างเราเดาทางแทบไม่ถูกเลย ไม่รู้ว่ามันจะมาไม้ไหน เดี๋ยวหมัดฮุกมาทีเดี๋ยวหมัดตรงมาที มันคือเสน่ห์ของความลึกลับในภาพที่กำลังฉายอยู่ตรงหน้าเรานี่เอง
5.ผมรู้สึกว่าการที่หนังเลือกใช้ภาษาสเปนมาเล่าเรื่องเกือบครึ่งของตัวเองถือว่า "ใจถึง" (bold) มากๆ เพราะถ้าทำไม่ถูกก็จะทำให้หนังมันย่อยยากไปเลย แต่ก็เพราะหนังมันเวิร์ก ภาษาสเปนจึงเป็นหนึ่งในหลายๆ องค์ประกอบที่ทำให้หนังมันสื่ออารมณ์ความเหงาที่แท้จริงของอันดาลูเซียออกมาได้ และที่สำคัญมันก็ส่งให้ทวิสต์เล็กๆ ตอนท้ายเรื่องกลายเป็นกิมมิกที่แสบเอาเรื่องเหมือนกัน
👎 จุดที่ไม่ชอบ 👎
1.ผมคิดว่าเนื้อเรื่องส่วนของร็อดริโก "อ่อนเกินไป" ถ้าเทียบกับความเข้มข้นของพาร์ทอื่นๆ (ที่ดีเกินไป) ทำให้เนื้อเรื่องส่วนนี้มันจางๆ พอสมควร โชคยังดีที่หนังไม่ได้ทุ่มความสำคัญให้พาร์ทนี้เท่าไรนัก เลยไม่ใช่ประเด็นสำคัญอะไร
2.มุมกล้อง handheld ในบางช่วงมันดูประดักประเดิดไปหน่อย แทนที่จะช่วยสื่ออารมณ์สตรีทๆ ได้ดีขึ้นดันกลายเป็นทำให้ผมเวียนหัวซะได้ มีไม่เยอะหรอก แต่มันดันมาช่วงแรกๆ ทำให้เราขยาดพอสมควร
💡 สิ่งที่สังเกตเห็น 💡
1.อะไรดลใจให้วางลุคของ Antonio Banderas กับ Mandy Patinkin มาเหมือนกันอย่างกับแฝดซะขนาดนี้ มันเหมือนกันจนถึงขนาดที่ว่าผมเข้าใจผิดไปพักนึงเลยว่าสองคนนี้เป็นตัวละครเดียวกันเนี่ย
2.อารมณ์ตลกร้ายหน้าตายของหนังชวนให้นึกถึงผลงาน Crazy, Stupid, Love. ของผู้กำกับคนนี้เหมือนกัน ถือว่าเป็นสไตล์ที่น่าจับตามองจริงๆ
#ตั๋วหนังมันแพง
[SR][หนังโรงเรื่องที่ 249] Life Itself: ที่สุดของการเล่าเรื่อง ประทับใจไม่รู้ลืม by ตั๋วหนังมันแพง
คะแนนความชอบ : S (จากสเกล D-A)
(Dan Fogelman, 2018)
by ตั๋วหนังมันแพง
*ไม่มีการสปอยล์เนื้อเรื่องสำคัญ
เรื่องย่อ: เรื่องราวเริ่มต้นจากคู่รักหนุ่มสาวคู่หนึ่งในนิวยอร์ก ... ไม่สิ มันอาจจะไม่ได้เริ่มจากตรงนั้นก็ได้ อันที่จริงเรายังไม่แน่ใจเลยว่าเรื่องราวชีวิตเรามันควรจะเริ่มจากตรงไหน แต่เอาเป็นว่ามันคือภาพรวมของสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่เรียกว่า "ชีวิต" ที่ล้วนพัวพันกันไปมาไม่สิ้นสุด มันคึอความสวยงามของสายสัมพันธ์ที่ถูกถ่ายออกมาเป็นบทภาพยนตร์ ... ก็ ประมาณนั้นแหละ
1.ผมเคยคุยกับเพื่อนว่า
"หนังที่ได้คะแนน S คือหนังที่ทำให้เรารู้สึกอะไรบางอย่าง เป็นความรู้สึกที่ตราตรึง ที่เราไม่มีปัญญาเล่าให้คนอื่นฟังได้"
นั่นคือนิยามของหนังเรื่องนี้สำหรับผมนะ และผมหวังว่าพวกคุณจะไม่พลาดโอกาสไปดูในโรงหนังจริงๆ ถือว่าเอาหัวเป็นประกันเลยแล้วกัน
2.หนังมีวิธีเล่าเรื่องที่โดดเด่นและมีเสน่ห์อย่างที่สุด โดยวิธีแบ่งพาร์ท ... ซึ่งเอาจริงๆหนังรักและการแบ่งพาร์ทก็ไม่ใช่เรื่องใหม่ในบ้านเรานะ แต่ผมแค่รู้สึกว่า "มันทำให้ดีขนาดนี้ได้ยังไงวะ?"
มันคือการผสานเรื่องราวกว้างๆ เรื่องหนึ่งที่เกี่ยวกันบ้าง ไม่เกี่ยวกันบ้าง เข้ามาเป็นเนื้อเดียวกันได้อย่างไร้ที่ติ หนังจะไม่ใช่ประเภทที่สร้างมาเพื่อเค้นน้ำตาหรือขยี้ต่อมเศร้าของคุณ แต่มันออกแบบมาเพื่อถ่ายทอดข้อความและสิ่งสวยงามบางอย่างและมันก็ทำงานได้ยอดเยี่ยมจริงๆ
3.สิ่งที่ทำให้ผม "ว้าว" ที่สุดก็คือพาร์ทแรกของเรื่อง มันเป็นการปูพื้นในหนังรักที่แกร่งที่สุดเท่าที่ผมเคยประสบมา มันจูนเราให้เข้ากับภาษาหนังได้อย่างกระโชกโฮกฮากราวกับโดนตบหน้าฉาดกลางโรงหนัง (เล่นเอาตัวชาไปพักนึงเลย) และทำให้เราพร้อมที่จะเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องราวอันยิ่งใหญ่นี้
ผมค่อนข้างมั่นใจนะ ว่าพาร์ทนี้มันจะเวิร์กสำหรับพวกคุณทุกคนแน่นอน ลองให้โอกาสมันดู ผมเดิมพันกับพาร์ทแรกนี่แหละ
4.หนึ่งในข้อความสำคัญของหนังก็คือ "ตัวเราเองคือคนเล่าเรื่องที่เชื่อถือไม่ได้ที่สุด" เพราะไม่รู้ว่าเราเติมแต่งเรื่องราวในความทรงจำไปมากแค่ไหน ดังนั้นจุดขายสำคัญอีกเรื่องก็คือ "ชั้นเชิงสับขาหลอก" ที่สามารถทำให้คนดูเราอย่างเราเดาทางแทบไม่ถูกเลย ไม่รู้ว่ามันจะมาไม้ไหน เดี๋ยวหมัดฮุกมาทีเดี๋ยวหมัดตรงมาที มันคือเสน่ห์ของความลึกลับในภาพที่กำลังฉายอยู่ตรงหน้าเรานี่เอง
5.ผมรู้สึกว่าการที่หนังเลือกใช้ภาษาสเปนมาเล่าเรื่องเกือบครึ่งของตัวเองถือว่า "ใจถึง" (bold) มากๆ เพราะถ้าทำไม่ถูกก็จะทำให้หนังมันย่อยยากไปเลย แต่ก็เพราะหนังมันเวิร์ก ภาษาสเปนจึงเป็นหนึ่งในหลายๆ องค์ประกอบที่ทำให้หนังมันสื่ออารมณ์ความเหงาที่แท้จริงของอันดาลูเซียออกมาได้ และที่สำคัญมันก็ส่งให้ทวิสต์เล็กๆ ตอนท้ายเรื่องกลายเป็นกิมมิกที่แสบเอาเรื่องเหมือนกัน
1.ผมคิดว่าเนื้อเรื่องส่วนของร็อดริโก "อ่อนเกินไป" ถ้าเทียบกับความเข้มข้นของพาร์ทอื่นๆ (ที่ดีเกินไป) ทำให้เนื้อเรื่องส่วนนี้มันจางๆ พอสมควร โชคยังดีที่หนังไม่ได้ทุ่มความสำคัญให้พาร์ทนี้เท่าไรนัก เลยไม่ใช่ประเด็นสำคัญอะไร
2.มุมกล้อง handheld ในบางช่วงมันดูประดักประเดิดไปหน่อย แทนที่จะช่วยสื่ออารมณ์สตรีทๆ ได้ดีขึ้นดันกลายเป็นทำให้ผมเวียนหัวซะได้ มีไม่เยอะหรอก แต่มันดันมาช่วงแรกๆ ทำให้เราขยาดพอสมควร
1.อะไรดลใจให้วางลุคของ Antonio Banderas กับ Mandy Patinkin มาเหมือนกันอย่างกับแฝดซะขนาดนี้ มันเหมือนกันจนถึงขนาดที่ว่าผมเข้าใจผิดไปพักนึงเลยว่าสองคนนี้เป็นตัวละครเดียวกันเนี่ย
2.อารมณ์ตลกร้ายหน้าตายของหนังชวนให้นึกถึงผลงาน Crazy, Stupid, Love. ของผู้กำกับคนนี้เหมือนกัน ถือว่าเป็นสไตล์ที่น่าจับตามองจริงๆ
#ตั๋วหนังมันแพง