อยากระบาย อยากแลกเลี่ยน ปัญหาพ่อแม่รักลูกไม่เท่ากัน เลี้ยงดูแบบตามใจ ปล่อยตามมีตามเกิด

เรามีความรู้สึกที่อยากระบายความอั้นอัดนี้ แอบหวังนิดหน่อยว่าจะเจอคนที่ประสบพบเจอเหตุการณ์คล้ายกันมาเล่าสู่กันฟังระบายความเครียด และเป็นปัญหาเรื้อรังจนยากเกินแก้ไข

ณ สถานการณ์ ปัจจุบัน เรื่องนี้ เริ่มต้นมาจาก การที่ลูกคนโตของยายได้ เสียชีวิตลง เวลาผ่านไป ยายเราทะเลาะกับน้าที่เป็นคนดูแลแกเป็นนระยะเวลาประมาณ 10 ปี แต่ไม่ถึงกับตลอดเวลา ชึ้งตามปกติบางครั้งยายแกก็เดินทางไปๆมาๆ  มาพักกับลูกชายคนโตของยายที่ต่างจังหวัดบ้าง แล้วกลับมาอยู่กับลูกสาวคนเล็กหรือน้า ที่ กทม บ้าง งอลลูกคนนี้ก็หนีไปอยู่กับคนนั้น งอลลูกคนนั้นก็หนีไปอยู่กับลูกคนนี้ แต่พอลูกคนโตเสียชีวิตมันทำให้ยายไม่มีที่หนีต้องจำยอมอยู่ จนทะเลาะกันรุนแรง  ซึ่งทะเลาะ เกี่ยวกับ การดูแลเอาใจใส่ เช่น หลังจากที่ลูกคนโตของยายเสียชีวิต พักหลัง ยายตื่นมาไม่มีใครหาข้าวให้กิน(ตัวบ้านอยู่ในหมู่บ้านโครงการคนมีฐานะใน กทม หมู่บ้านลึกที่คนในหมู่บ้านใช้รถเก้งเข้าออกบ้านกัน จึงไม่สะดวกคนชรา) ยายอาศัยหุงข้าวต้ม ไม่ก็ต้มโจ้กคนอร์กิน ไปวันๆ ทุกวัน ทั้งบ้านไม่มีใครคุยกับคนแก่ มีแต่ สองผัวเมีย(น้ากับสามีน้า) คุยส่วนตัวกันเอง เหมือนอยู่คนละโลกกัน กับ อีกเรื่องคือ เรื่องเงิน  และ การที่ลูกคนโตของยาย เสียชีวิต การถ่วงดุลอำนาจไม่มีอีกแล้ว น้าจึงแสดงอาการออกมาให้เห็น แล้วเราได้ยินว่า ยายเล่าเหตุการ์ณเกิดขึ้นนี้ แบบเล่าไป ปากสั่นไป
      
            ทะเลาะกันกับน้าจนยายต้องโทรตามหลานคนนึงให้ขับรถจากต่างจังหวัดมารับที่ กทม กลับ ตจว อีกครั้ง (ปัจจุบันยายอายุ ประมาณ 90) เดินทางไปสงบใจที่ ตจว โดยไปพักอาศัยอยู่ที่บ้านลูกคนโต ที่ปัจจุบัน ได้เสียชีวิตไปแล้วแล้ว ในบ้าน มีคนใช้เก่าแก่ กับหลานลูกของลุงที่ที่พิการสมองเพราะ ตอนยังเปนเด็กเล็กเจอคนใช้ก่อนหน้านั้น ดูแลไม่ดี จนพิการ
ยายอยู่ไปได้สักพัก ลูกชายคนรองที่ปัจจุบัน เป็นคนคนบ้าสติไม่ดี เดินทางมาที่บ้านพี่ชายเพื่อมาขอข้าวกิน ยายสงสารเลย(ลูกที่ยายรักมากที่สุด) อยากไปทำกับข้าวให้กิน เลยหารถเดินทางไปด้วยกันกับลูกคนนี้ไปที่บ้านลูกคนที่2 คนนี้ แต่พอไปพักอาศัยสักพัก ลูกคนนี้ทิ้งขี้บุหรี่ ใว้ในขวดแก้ว ขวดเบียร์ หรือทิ้งมั่วซั่ว จนส่งกลิ่น แล้วหลานลูกของลุงเราคนนี้ก็ดันเลี้ยงแมว กลิ่นขี้แมวส่งกลิ่น (เราเองก็ไม่ทราบเก้บขี้แมวเปนระเบียบไหม) ยายเป็นคนแก่ อยู่ในสภาพนี้ไม่ไหว จึงต้องเดินทางกลับไปบ้านลูกคนโตตามเดิม
                  
             " ซึ้งเราก็พอเดาๆได้ว่าบ้านลูกคนนี้ต้องโทรมมากเพราะเราเคยไปเห็นสภาพล่าสุดครั้งนึง ประกอบกับเราก็เคยอยู่กับอาศัยกับบ้านนี้ช่วงระยะเวลานึง และทราบดีอยู่แล้วว่ายายเลี้ยงลูกมาอย่างไร"

             ยายตัดสินใจจะเดินทางกลับไปหาน้า แต่ความเห็นของลูกหลานส่วนนึงไม่อยากให้แกไป
เพราะด้วยอายุที่มาก แล้วพึ่งมาพักใจที่นี่หลังจากเดินทางได้ไม่กี่วัน ประกอบ กับคนใช้เก่าแก่บ้านนั้น ช่วยพูดกล่อมให้ ว่า "อย่ากลับเลย ถ้าไป กทม ก็ไม่ได้เห็นลูกคนรองน่ะสิ" ยายตัดสินเปลี่ยนใจกะทันหันไม่กลับไปทันที ทั้งที่ กำลังเตรียมเก็บเสื้อผ้า  หลานคนที่ไปรับส่งก็ บ่นๆ ว่า อะไรๆก็จะกลับกรุงเทพฯ กลับกรุงเทพฯ

             แต่สุดท้าย ยายก้ยังอยากจะกลับไปอยู่ดี เพราะ ตัวน้าได้โทรมาง้อ ว่าให้เที่ยวทุกบ้านพอใจแล้วค่อยกลับมา และ ยายคิดว่า ตอนนี้สังขารยังพอเดินทางได้ วาระสุดท้าย อยากอยู่กับลูก ไม่อยากอยู่กับคนใช้ แม้จะใช้ชีวิตดีกว่า เพราะ ได้กินข้าวดีกว่า ไม่ต้องไปวนเวียนข้าวต้ม โจ้ก ทุกวัน ก็ตาม เงินถ้ามันอยากได้ให้มันไปเถอะ แต่ยายกลับไม่ได้ พอดีว่าพักนี้หลานคนที่รับส่งไม่สบาย พอดี

            เรารู้สึกหดหู่ เมือได้ยินแบบนั้น ยายก็ตัดสินแบบมีเหตุผล แล้วเราทำอะไรไม่ได้ แต่เราก็รู้สึกว่านี่ อาจจะเป็นเวรกรรมที่ ตัวยายทำไว้ เพราะในอดีต แกก็ทำให้ครอบครัวลำบากพอสมควร เพราะรักลูกไม่เท่ากัน และ คนไหนรักมากตามใจให้ท้าย คนไหนรักน้อยไม่ค่อยสนใจ และเลี้ยงลูกทุกคนแบบปล่อยๆ  เช่น ปล่อยให้ลูกคบเพื่อนฝูงมั่ว ปล่อยเที่ยวกลางคืน พอใครเตือน หรือพูดมากเข้าก็ยายจะบอก พอแล้ว ...อย่าให้แม่คิดมาก อย่าให้ยายคิดมาก ปัจจุบันเลยมีผลลัพธ์ที่ตามมา

     เรื่องราวในอดีต ที่ผมพอจะสรุปได้ ตามเท่าที่รู้
         จุดเสียที่เกิดปัญหา เพราะยายเป็นคนที่....
      1.ยายรักความสบาย ดูภายนอกจะขยันแต่ ลึกๆจะขี้เกียจ ขยันเพราะ ความอาย แกติดนอนห้องแอร์ ไม่มีแอร์เลยก้นอนไม่หลับ ตอนสังขารแกยังดี ยังไม่แก่มาก ยังแข็งแรง ลูกหลานจะเดือดร้อนอย่างไร ถ้าไม่กระทบตัวยาย ยายก็นิ่งเฉย  ยกเว้นเป็นลูกรักก็จะเป็นอีกเรื่อง สาเหตุที่ หลานคนนึงพิการสมอง ส่วนนึงก็เพราะเหตุนี้ สิทธิของยายเราบังคับไม่ได้ แต่ ก็หดหู่ในความใจดำพอสมควร ซึ่งเราก็เคยเห็น ครอบครัวที่  ปู่ ย่า ตายายเลี้ยงหลาน ซึ่งคนเหล่านั้น กล่าวว่า เด็ก ตาดำๆ จะทิ้งก็ทำไม่ลงแต่ไม่ใช่กับยายเรา ที่แทบไม่มีความห่วงใย
      2.มีคนปรนนิบัติให้ตลอดตั้งแต่สาวยันแก่ คือ งานบ้านพื้นๆ ตัวแกทำปกตินะ เหมือนแม่บ้านทั่วไป แต่ชีวิต แกตอนยังสาวๆ มีตาคอยขับรถพาไปไหนด้วยตลอด จนไม่เคยหัดขับรถ พอ ตาเสีย  พึ่งรถลูกต่อ พึ่งรถหลานต่อ หรือ ธุรกิจ  ปัญหาในครอบครัว ตาจะเป้นคนแก้ปัญหาหมด หรือ ตอนตกแต่ง ซ่อมแซมบ้าน ตาจะเป็นคนจัดการ ส่วนยาย ไม่ยุ่งรอเสร็จ เสร็จเมื่อไร ชั้นก็มาอยู่อาศัย
      3.ตอนสาวๆ งานง่ายตัวเอง ทำ งานยากๆโยนให้ สามีตลอด คือ ตาเราทำการค้า เวลามีเซลล์มาส่งของขาย ยายจะพูดว่า ชั้นไม่ส่ง แล้วชั้นก็ไม่จ่าย เฝ้าร้าน เก็บตังอย่างเดียว ถ้าตาไม่อยู่ คือไม่มีใครรับของจากเซลล์ เข้าสต็อกในร้าน อาศัยว่าตาค้าขายเก่งพอสมควร พอตาเสียชีวิต ลูกอยากปรึกษาการค้า ก็ไม่ได้ เพราะ งานยาก งานหนัก งานแก้ปัญหาแก โยนให้สามีทำหมด ตัวยายไม่เป็นเลยกับเรื่องแบบนี้ หรือพอเล่าปัญหาให้ฟัง ระบายปัญหาให้ฟัง ยายจะตอบแบบวลีเดิมๆ ให้ได้ยินจนจำขึ้นใจ ว่า " เรื่องนี้แม่ไม่รู้เรื่อง ยายไม่รู้เรื่อง" ตอบแบบปัดๆไป พอตาเสียชีวิตไปมีผลกระทบทั้งบ้านเพราะ เป็นเสาหลัก ซึ่งเสียชีวิตมานาน แล้ว เหตุการณ์ค่อยๆ แย่ลง
      5.ขี้กลัวมาก ขนาดข้ามถนน ยายยังสั่นๆ เป็นแบบนี้ตั้งแต่สาวๆแล้ว หรือถ้าวันไหนจำเป็นต้องอาศัยอยู่บ้านคนเดียว เช่น ในบ้านน้า จะเปิดไฟทั้งบ้านปิดประตู ในบ้านแทบทุกบาน บางทีลูกหลาน ยังบ่นๆจะล็อกประตูทำไม เข้าห้องไม่ได้ ต้องตะโกนเรียก ตัวยายนั้น ห่างไกลจากตัวตนของคนสูงอายุที่สู้ชีวิต เช่น คนแก่ที่ต้องสู้ ต้องมาขายพวงมาลัย หรือเข็นของขายแม้อายุมาก ต่างกันแบบมนุษยคนละโลก ลำบากไม่เป็น
      6. ยาย เป็นคนไม่พูดอะไรตรงๆ พูดอ้อมค้อม บางทีก็อ้อมค้อมแบบมีเหตุผล บางครั้งก็ดูงี่เง่า เช่น ปัจจุบัน คนใช้ที่บ้านนี้ออกไปตลาดตอนฟ้าสางทุกเช้า ทุกวัน เป็นกิจวัตร  ยายมาอยู่ก็พูด ทำนอง อย่าไปเช้าเลย เดียวโดนชิงทรัพย์ คนใช้ก็ตอบว่า ไม่มีหรอกแบบนั้น ซึ้งแท้จริง ยายแกกลัว ไม่อยากอยู่บ้านลูกชายที่พึ่งเสียชีวิตไปได้ไม่ถึงปี ตอนฟ้าสางคนเดียว และอื่นๆ
      
       7 .ข้อดี ยายก็มี  เวลาขัดสน แกก็ช่วยเแต่ แกจะช่วยแบบไปไม่สุด เบื่อก็ทิ้ง กลางทาง บางอย่าง ปัดๆไป แต่ถ้าเป็น ตาเวลาเล่าปัญหาอะไร  ถ้าเล่า
แล้ว ตาประเมินแล้วถ้าดูเกินกำลังลูกหลาน ถ้าช่วยได้ ตาจะมาหาถึงที่แล้วช่วยจนถึงที่สุด ไม่ทิ้งกลางทาง ไม่มีใครดีเท่าพ่อแม่เราอีกแล้ว ถึงบางส่วนจะน่าผิดหวังก้ตาม
จากข้อ ที่เล่ามา ซึ่งยกข้อตัวอย่างมาให้พอ นึกภาพออก  ตัวยายไม่สามารถอยู่กับลูกหลาน ที่ฐานะไม่รํ่ารวยพอ พร้อมดูแลตามสเปคที่ตัวยายเป็นได้ ซึ้งก้มีลูกคนโตกับคนเล็กที่พร้อมจะดูแล เราเคยชวนยายมาอยู่ด้วยนะ แต่เราไม่มีสิ่ง อำนวยความสะดวกที่กล่าวมาข้างต้นเพียงพอ ยายเลยปฎิเสธเราไป



ประกอบกับการเลี้ยงลูกของยายที่ และตาก้ทำมากินแทบไม่ค่อยมีเวลากับครอบครัว ส่งผลกระทบตามกันมาถึงหลาน เช่น
ลูกชายคนโต
ตั้งแต่เด็ก หน้าตา ไม่ได้หล่อ หุ่นไม่ดี คนนี้ก็เลยไม่ค่อยเอาใจใส่ แต่เนี่ยจากภายหลังลูกคนที่ 2 กลายเป็นคนพิการทางจิต เลยต้องให้สืบทอดกิจการ ปกติคนนี้จะไม่ค่อยเอาญาติเท่าไหร่ ไม่ค่อยเอาพ่อแม่เท่าไหร่ มีคติว่า ชาตินี้ขอไม่ช่วยใครขออยู่สบายๆ แต่ที่ยังดูแลพ่อแม่ เพราะ เรื่องมรดก เป็นคนที่มีฐานนะพอสมควรพอดูแลยายได้ ปัจจุบันเสียชีวิตไปแล้ว
ลูกชายคนรอง
เลี้ยงตามใจมาก เพราะรักที่สุด หน้าตา ดีฉลาดที่สุดในบรรดาพี่น้อง  จะถลุงเงินครอบครัวเที่ยวเท่าไหร่ พ่อแม่ก็ไม่ว่าประคบประงมจนเสียนิสัย  งานบ้านไม่เคยใช้ทำ โตมาเลยเสียนิสัย ทิ้งขี้บุหรี่ ภายหลัง พิการทางจิต เพราะ ไปเลี้ยงเพื่อนที่ฐานนะด้อยกว่า มีอะไรให้เค้าหมด มีเท่าไหร่ให้จนหมดกระเป๋าหมดตัวก้เคยมาแล้ว เวลาไม่มีก็ไปขอคนที่เคยเปย์บ้างไรบ้าง จนเพื่อนเค้าได้ดีถีบหัวส่ง ภายลังคิดมากจนเป็นบ้า กลายเป็นภาระ ในครอบครัวไป
      ลูกชายทั้งสองคน โตขึ้นเป็นวัยรุ่น ด้วยความที่ยายเลี้ยงปล่อย ปล่อยให้เที่ยวกลางคืน ท่องราตรี คบเพื่อนฝูงมั่วซั่ว ถ้าตัวลูกคิดได้เองอะไรดีชั่วก็ดีไป คิดไม่ได้ก็เสียคน  แม้จะคนในครอบครัวจะเคยเตือนว่า ปล่อยให้ลูกเที่ยวเสเพลแบบนี้  ปล่อยมั่วกับเพื่อน มันจะเสียคนเอานะ ยายก็ ตอบวลีเดิม "เอาเถอะ อย่าให้แม่คิดมาก" ตอบแบบปัดๆ ปัญหาไป

ลูกสาวคนที่รองลงมา
ตอนเด็กหน้าตาไม่ค่อยดีแบบคนแรกเลย ยายจิกหัวใช้ลูกคนนี้ทำงานบ้านมากที่สุด เวลาลูกคนนี้ไปทะเลาะกับลูกชายคนชายคนรอง ก็ไปให้ท้ายลูกคนรอง ไม่สนยุติธรรม  ทำให้โตมากดดัน สุดท้ายก็พยายามหนีไปใช้ชีวิตนอกครอบครัว หนีไป กทม  ปล่อยให้ลูกสาวดิ้นรนเอาชีวิตรอดตัวคนเดียวใน กทม พึ่งพาเพื่อนดีๆ เอา ยายไม่เคยถามสารทุกข์สุขดิบ ลูกคนนี้มีจิตใจเป็นห่วงยายพี่น้อง แม้จะไม่ได้รับการเลียวแลก็ตาม
ลูกสาวคนสุดท้อง
เนื่องจากเป็นน้องเล็ก ถูกเอาอกใจ ตามใจ รองลงมาจากลูกคนที่ 2 ชีวิตได้ดีพอสมควร แต่ก็ภายหลังก็หลงหน้าตา ชื่อเสียง เงินทอง พอมีครอบครัวก็อยากได้มรดกเหมือนกัน

  เนื่องจากครอบครัวเราเป็นครอบครัว คนไทยเชื้อสายจีนเลยให้ความสำคัญกับลูกชาย พอลูกสะใภ้เข้าบ้าน ก็จะแสดงอาการอยากไล่ให้ลูกสาวไปแต่งงานสะ กลัวมาทะเลาะกับลูกสะใภ้ ลูกสะใภ้สำคัญกว่า หรือ การปลูกฝังความคิดว่า ลูกสาวที่แต่งงานไปแล้วถือว่าไม่ใช่คนครอบครัวนี้อีกแล้ว มีเรื่องหน้าตาทางสังคมมาเกี่ยวข้อง แต่ข้างในกลวง คือ มันก็มี หลายอย่างเกิดขึ้น มันมีตัวอย่าง ก็มีมากกว่านี้อีก แต่มันจะยาวเกินไป


         จริงๆแล้ว พ่อแม่รักลูกไม่เท่ากันก็เป็นเรื่องปกติของจิตใจมนุษย์ รักโลภ โกรธ แต่ถ้าคนเราสามารถแยกแยะความรู้สึกกับเหตุผลได้ ใช้เหตุผลในการตัดสินใจกระทำมากกว่า อารมณ์ความรู้สึก ใจยุติธรรม เรื่องราวคงไม่บานปลายแบบนี้ ใจนึงก็สงสารยายที่บั้นปลาย มาเจอสภาพแบบนี้ แต่ยายก็ทำอะไรไม่ดีไว้เยอะ แต่เพราะครอบครัวเดียวกัน มันก็มีห่วง มีผูกพันธ์บ้าง บางทีก็ปลงๆ บางทีก็ยังรู้สึก ห่วงๆ
         ผมไม่รู้จะอธิบายอย่างไรได้หมด เพราะเรื่องมันยืดยาวมีเหตุผลเชื่อมโยงเต็มไปหมด พยายามสรุปใจความให้กระชับที่สุด ผมขอพื้นที่ตรงที่เป้นที่ระบายความในใจเล็กๆ ที่อัดอั้น สุดท้ายก็เป็นครอบครัวเราอยู่ดี แล้วเราสู้ต่อไป...


เรารู้ว่าเรื่องแบบนี้ แก้ไขได้ยาก ทำได้แค่ออกห่างไม่รับรู้เท่านั้น อย่างน้อยขอให้เรื่องของผม ได้เตือนสติ ใครหลายคน เพื่อจะได้ไม่ผิดพลาดแบบนี้
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่