เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว 17/11/2018 มีข่าวเหตุการประท้วงราคาน้ำมันในประเทศฝรั่งเศสจนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต สำนักข่าวของไทยหลายสำนักพาดหัวตรงกันว่าเกิดจาก “ราคาน้ำมันแพง”
ที่มา https://bbc.in/2zrZgw4
ราคาน้ำมัน ‘ฝรั่งเศส’ แพงแค่ไหน?
ราคาขายปลีกน้ำมันทั้งเบนซินและดีเซล ณ วันที่ 19/25/2018
เบนซิน 95 อยู่ที่ประมาณ 1.67 เหรียญสหรัฐ/ลิตร หรือประมาณ 55.10 บ. /ลิตร
ดีเซล อยู่ที่ อยู่ที่ประมาณ 1.73 เหรียญสหรัฐ/ลิตร หรือประมาณ 57.08 บ. /ลิตร
**น้ำมันเบนซินฝรั่งเศสมีการผสมเอทานอลด้วย**
ราคาน้ำมันทั่วโลก
https://www.globalpetrolprices.com/gasoline_prices/
ฝรั่งเศสมีการเก็บภาษีน้ำมันที่สูงมาก
ในน้ำมันเบนซินมีการเก็บภาษีคิดเป็นอัตราส่วน ร้อยละ 61.4 ของราคาทั้งหมด!!
ในน้ำมันดีเซลมีการเก็บภาษีคิดเป็นอัตราส่วน ร้อยละ 58.6 ของราคาทั้งหมด!!

นอกจากภาษีแล้วค่าใช้จ่ายอื่นๆในโครงสร้างราคาจะประกอบไปด้วย ต้นทุนน้ำมันดิบ ,ค่าใช้จ่ายในการกลั่น ,ค่าใช้จ่ายค่าดำเนินการต่างรวมกำไรด้วย(คล้ายๆกับค่าการตลาดน้ำมันในประเทศไทย)
** โครงสร้างราคาน้ำมันไทย สำหรับ เบนซิน 95 มีอัตราการจัดเก็บภาษีรวมกองทุนต่างๆคิดเป็นสัดส่วนที่ประมาณ 50.40% ของราคาน้ำมัน ส่วนดีเซลจะอยู่ที่ประมาณ 32.17% **
ที่มา http://bit.ly/2r32AsU
ทำไมภาษีน้ำมันฝรั่งเศสถึงสูงมาก
รายได้จากภาษีในประเทศฝรั่งเศส ภาษีที่เก็บจากน้ำมันถือเป็นอันดับที่ 4 รองลงมาจากภาษีเงินได้ทั้งนิติบุคคลและบุคคลธรรมดา ถือเป็นรายได้หลักของประเทศ อีกทั้งประเทศฝรั่งเศษมีนโยบายในการลดการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลและพัฒนาการใช้พลังงานทดแทนเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยตั้งเป้าหยุดขายรถยนต์เบนซินและดีเซลลงภายในปี 2040 นั่นหมายถึงจะทำให้ประเทศขาดรายได้จากการเก็บภาษีน้ำมันจำนวนมหาศาล การเก็บภาษีน้ำมันในอัตราที่สูงในปัจจุบันจึงอาจเป็นกลไกที่ช่วยในการลดภาระจากการขาดรายได้ดังกล่าว
เทียบกับประเทศไทยแล้วเป็นยังไง ??
ลองหันกลับมาดูราคาน้ำมันรวมถึงโครงสร้างราคาน้ำมันในประเทศไทยคนไทยอาจจะโชคดีกว่าบ้างตรงที่ราคาขายปลีกหน้าปั๊มต่ำกว่าพอสมควร และมีอัตราการจัดเก็บภาษีรวมถึงกองทุนประเภทต่างๆที่ต่ำกว่า ซึ่งเมื่อเทียบกับทั่วโลกราคาน้ำมันในประเทศไทยถือว่าอยู่ระดับกลางๆ อีกทั้งรัฐบาลเกือบจะทุกยุคมีนโยบายในการที่จะตรึงราคาดีเซลไว้ให้อยู่ที่ประมาณ 30บ./ต่อลิตร โดยใช้กองทุนน้ำมันเป็นกลไกสำคัญในการควบคุมราคา ต่างกับประเทศฝรั่งเศสที่ไม่มีนโยบายการแทรกแซงราคาน้ำมัน แต่ก็ไม่ควรประมาทในยุคที่ราคาน้ำมันดิบเกินร้อยเหรียญต่อบาร์เรลกองทุนน้ำมันก็ทำท่าจะแบกรับไม่ไหวเหมือนกัน ลองนึกภาพถ้าประเทศไทยต้องช้น้ำมันดีเซลลิตรละ 40บ.ขึ้นไปจะรับกันไหวหรือไม่ เศรษฐกิจภายในประเทศจะเป็นอย่างไร ลองจินตนาการกันดูครับ
เปรียบเทียบโครงสร้างราคาน้ำมัน ไทย – ฝรั่งเศส ทำไมคนฝรั่งเศสถึงประท้วงราคาน้ำมันแพง?
ที่มา https://bbc.in/2zrZgw4
ราคาน้ำมัน ‘ฝรั่งเศส’ แพงแค่ไหน?
ราคาขายปลีกน้ำมันทั้งเบนซินและดีเซล ณ วันที่ 19/25/2018
เบนซิน 95 อยู่ที่ประมาณ 1.67 เหรียญสหรัฐ/ลิตร หรือประมาณ 55.10 บ. /ลิตร
ดีเซล อยู่ที่ อยู่ที่ประมาณ 1.73 เหรียญสหรัฐ/ลิตร หรือประมาณ 57.08 บ. /ลิตร
**น้ำมันเบนซินฝรั่งเศสมีการผสมเอทานอลด้วย**
ราคาน้ำมันทั่วโลก https://www.globalpetrolprices.com/gasoline_prices/
ฝรั่งเศสมีการเก็บภาษีน้ำมันที่สูงมาก
ในน้ำมันเบนซินมีการเก็บภาษีคิดเป็นอัตราส่วน ร้อยละ 61.4 ของราคาทั้งหมด!!
ในน้ำมันดีเซลมีการเก็บภาษีคิดเป็นอัตราส่วน ร้อยละ 58.6 ของราคาทั้งหมด!!
นอกจากภาษีแล้วค่าใช้จ่ายอื่นๆในโครงสร้างราคาจะประกอบไปด้วย ต้นทุนน้ำมันดิบ ,ค่าใช้จ่ายในการกลั่น ,ค่าใช้จ่ายค่าดำเนินการต่างรวมกำไรด้วย(คล้ายๆกับค่าการตลาดน้ำมันในประเทศไทย)
** โครงสร้างราคาน้ำมันไทย สำหรับ เบนซิน 95 มีอัตราการจัดเก็บภาษีรวมกองทุนต่างๆคิดเป็นสัดส่วนที่ประมาณ 50.40% ของราคาน้ำมัน ส่วนดีเซลจะอยู่ที่ประมาณ 32.17% **
ที่มา http://bit.ly/2r32AsU
ทำไมภาษีน้ำมันฝรั่งเศสถึงสูงมาก
รายได้จากภาษีในประเทศฝรั่งเศส ภาษีที่เก็บจากน้ำมันถือเป็นอันดับที่ 4 รองลงมาจากภาษีเงินได้ทั้งนิติบุคคลและบุคคลธรรมดา ถือเป็นรายได้หลักของประเทศ อีกทั้งประเทศฝรั่งเศษมีนโยบายในการลดการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลและพัฒนาการใช้พลังงานทดแทนเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยตั้งเป้าหยุดขายรถยนต์เบนซินและดีเซลลงภายในปี 2040 นั่นหมายถึงจะทำให้ประเทศขาดรายได้จากการเก็บภาษีน้ำมันจำนวนมหาศาล การเก็บภาษีน้ำมันในอัตราที่สูงในปัจจุบันจึงอาจเป็นกลไกที่ช่วยในการลดภาระจากการขาดรายได้ดังกล่าว
เทียบกับประเทศไทยแล้วเป็นยังไง ??
ลองหันกลับมาดูราคาน้ำมันรวมถึงโครงสร้างราคาน้ำมันในประเทศไทยคนไทยอาจจะโชคดีกว่าบ้างตรงที่ราคาขายปลีกหน้าปั๊มต่ำกว่าพอสมควร และมีอัตราการจัดเก็บภาษีรวมถึงกองทุนประเภทต่างๆที่ต่ำกว่า ซึ่งเมื่อเทียบกับทั่วโลกราคาน้ำมันในประเทศไทยถือว่าอยู่ระดับกลางๆ อีกทั้งรัฐบาลเกือบจะทุกยุคมีนโยบายในการที่จะตรึงราคาดีเซลไว้ให้อยู่ที่ประมาณ 30บ./ต่อลิตร โดยใช้กองทุนน้ำมันเป็นกลไกสำคัญในการควบคุมราคา ต่างกับประเทศฝรั่งเศสที่ไม่มีนโยบายการแทรกแซงราคาน้ำมัน แต่ก็ไม่ควรประมาทในยุคที่ราคาน้ำมันดิบเกินร้อยเหรียญต่อบาร์เรลกองทุนน้ำมันก็ทำท่าจะแบกรับไม่ไหวเหมือนกัน ลองนึกภาพถ้าประเทศไทยต้องช้น้ำมันดีเซลลิตรละ 40บ.ขึ้นไปจะรับกันไหวหรือไม่ เศรษฐกิจภายในประเทศจะเป็นอย่างไร ลองจินตนาการกันดูครับ