วันนี้เป็นวันที่ 2 ของทริป
เมื่อคืนกว่าจะเดินทางถึงโรงแรม กว่าจะได้นอนก็ตี 3 ซึ่งเรามีนัดกับร้านเช่าชุดกิโมโน Okamoto Kimono Rental สาขา kiyomizudera สาขานี้อยู่ในซอยวัดน้ำใสเดินมาเรื่อยๆจะอยู่ก่อนถึงวัดน้ำใสนิดหน่อยค่ะ จองคิวทางเวปล่วงหน้าประมาณ 1 เดือน จองไว้คิวแรกคือ 9 โมงเช้า จึงตื่นกัน 7 โมงและออกเดินทางจากโรงแรม 8 โมง ค่ะ อย่าลืมนำหลักฐานการนัดหมายไปด้วยนะคะ
เรายังเป็นมือใหม่ของการเที่ยวกันเองไม่ชินทางจึงเผื่อเวลาการเดินทางไว้สักหน่อยเพราะวันนี้เป็นวันเสาร์คนน่าจะเยอะ รถน่าจะติด ก็เดินไปขึ้นรถเมล์ตาม google map ครั้งแรกก็จะหลงทิศหน่อยๆ แต่ก็หาทางขึ้นรถบัสได้ โดยซื้อบัตรรถ Bus One Day Pass ที่คนขับรถได้เลย (ขึ้นประตูกลาง ลงประตูหน้า ก่อนลงให้ซื้อ Pass กับคนขับได้เลย 600 เยนต่อคนจ้า)
มาถึงเวลาก่อนนัดหมายสักเล็กน้อย มีหนุ่มสาวชาวจีนนั่งรออยู่ก่อนแล้ว 1 คู่ เราเป็นคู่ชายหญิงคู่ที่ 2 นั่งสักพักก็มี คู่หญิงสาวชาวเกาหลีอีก 1 คู่
ระหว่างรอข้างนอกก็จะเห็นห้องกระจกภายในร้านพนักงานกำลังยืนประชุมทีมกันสักพักก็มีการออกกำลังกายกันเล็กน้อย มีสะบัดข้อมือ ข้อเท้า พร้อมส่งเสียงเอาฤกษ์เอาชัยเมื่อถึงเวลาจึงเปิดประตูร้านพร้อมกับวิ่งออกมารับลูกค้าที่รอข้างนอก
หลังจากนั้นจึงพาเราเข้าไปในร้านจะพบกับราวแขวนผ้ากิโมโนเยอะแยะมากมายละลานตาไปหมด (แนะนำให้ทำการบ้านมาก่อนนะคะว่าชอบโทนสีไหน สีเข้มสุขุม สีสดร้อนแรง สีอ่อนหวาน ถ้ามาเลือกหน้างานอาจจะเสียเวลาเพราะอันนี้ก็สวยอันโน้นก็สวย สวยไปหมดเลยค่ะ) เราทำการบ้านมาก็ยื่นรูปให้เค้าเลยค่ะอาจจะไม่เป๊ะแต่ก็ใกล้เคียงประหยัดเวลาไปเยอะค่ะ เลือกลายผ้ากิโมโนแล้ว ก็จะได้เลือกลายปกคอเสื้อด้านใน และเลือกกระเป๋าที่จะใส่ของที่เราต้องใช้ให้เข้ากับสีชุดค่ะ)
จากนั้นก็ชำระเงินก่อน เราเลือกแพคเกจของผู้หญิงในราคา 4000 เยน มีทำผมให้ฟรี ไม่มีแต่งหน้านะคะ (ให้แต่งมาก่อนและพกมาเติมระหว่างวัน) แพคเกจนี้จะมีลายผ้ากิโมโลให้เลือกเยอะกว่า สำหรับของผู้ชายก็ราคา 4000 เยน ค่ะ
พนักงานจะให้ถุงผ้าใบใหญ่มีเลขแทรคติดไว้สำหรับใส่เสื้อผ้า กระเป๋า สิ่งของ ที่เราใส่มา ส่วนของมีค่าให้นำติดตัวใส่กระเป๋าที่เลือกไว้นะคะ ถ้าของเยอะก็ต้องเลือกใบใหญ่หน่อยน๊าเดี๋ยวใส่ไม่พอจ้า
มาถึงห้องแต่งตัวในบ้านชั้น 2 ห้องหนึ่งจะอยู่ได้สัก 2-3 คน ถ้าเยอะกว่านี้เค้าจะเปิดอีกห้องซึ่งเดินถึงกันได้อยู่ห้องข้างๆค่ะ คุณป้าก็ให้เก็บของและถอดกางเกง เราก็ตกใจปนเขิลแต่เห็นว่าคนแรกเค้าแต่งใกล้เสร็จแล้วก็รีบตามเค้าหลับหูหลับตาถอดๆไปค่ะ โชคดีที่อ่านรีวิวมาว่าให้ใส่เสื้อคอกว้าง ถ้าไม่งั้นจะโดนจับถอดอีกชิ้นค่ะ คุณป้าพนักงานจับใส่ๆ มัดๆ ผูกๆ ไม่ต้องกลัวหลวม ไม่ต้องกลัวหลุด มัดแน่นไปทั้งวันค่ะ และไม่ต้องกลัวหนาวเพราะใส่ผ้า 3 ชั้นได้ค่ะ
แป๊ปเดี๋ยวเสร็จแล้วก็พาไปห้องทำผมฝั่งตรงข้ามมีคุณน้องพนักงานทำคิวก่อนหน้าเราเสร็จก็มาทำผมเราต่อ สังเกตุว่าเค้าจะไม่ปล่อยให้ว่างเลย คือถ้าใส่ชุดได้ใส่ก่อน หรือคิวทำผมว่างเค้าก็จับไปทำก่อนเลยบริหารเวลาดีมากค่ะ ส่วนทรงผมเค้ามีรูปมาให้เลือก 6 ทรงค่ะ เราเลือกทรงเรียบๆไปตามที่สามีชอบ ใช้เวลาไม่นานคุณน้องพนักงานก็เนรมิตทรงผมสวยงามง่ายๆ
ต่อไปคือเครื่องประดับติดผมค่ะ ยืนเลือกสักพักได้มา 3 ชิ้น คิดว่าเค้าให้ติดอันเดียว คุณป้าคนเดิม เข้ามาช่วยเลือกค่ะ อันนี้ไม่สวย อันนี้สีไม่ได้ เอาอันนี้ดีกว่า แล้วก็หยิบกิ๊บมุกมาปักให้เรารอบหัวเลยค่ะ สวยงามสุดสุด ไม่รู้ว่าเป็นเพราะมาเช้าของเลยมีเยอะ หรือที่ร้านมีสต๊อคไว้อยู่แล้วนะคะ แต่ประทับใจตรงนี้หละคะ ไม่มีอั้นเลย
แต่งตัวเรียบร้อยเดินลงมาเจอสามี นึกว่าสามีจะชมเหมือนคู่อื่นๆที่อ่านรีวิวมาว่าคู่เค้าชมว่าสวย สรุปสามีขำค่ะ ไม่รู้ขำอะไร ชิชะ ทางร้านให้เลือกรองเท้าเกี๊ยะค่ะ ทีแรกก็งงว่าทำไมหยิบคู่เล็กๆมาให้ เราก็จะเอาคู่ใหญ่ใส่พอดีหรือหลวมนิดๆเพราะจะได้เดินสบาย สรุปว่าความรู้ใหม่รองเท้มเกี๊ยะเค้าให้ใส่แบบส้นเท้าเราเลยออกมาจากรองเท้าเพื่อความสะดวกในการเดินค่ะ
แต่งตัวเรียบร้อย ฝากของเรียบร้อย ทางร้านก็จับถ่ายรูปค่ะ ปริ้นท์รูป 2 ใบ 2 แอค ใส่สมุดแล้วก็ถามว่าอยากได้ไหมไม่อยากได้ไม่เป็นไร รูปเอาลงเวปของร้านอยู่แล้ว เราก็ช่วยอุดหนุนเค้าไปตามระเบียบเป็นของที่ระลึกไปค่ะ อิอิ
10 โมงนิดๆ ทำเวลากันได้ดี แต่งตัวสวยแล้วพร้อมออกเดินทาง วันนี้วางโปรแกรมแบบเดินเท้าหนักมากจนเพื่อนที่ช่วยดูทริปขอร้องให้นั่งแท๊กซี่บ้าง เดี๋ยวมาดูกันค่ะว่าจะไปได้ไกลแค่ไหน ฮ่าาาา
เราแต่งตัวกันที่วัดน้ำใส เดินเล่นแถวฮิกาชิยาม่ากรุบกริบ กะว่ายังไม่เข้าวัดน้ำใสเพราะเค้าปิดซ่อมอยู่เวลาเหลือหลังจากคืนชุดค่อยมาเก็บทีหลัง
เราจึงออกเดินทางนั่งรถไฟใต้ดินไปวัดฟูชิมิอินาริ ต้องไปถ่ายรูปกับเสาโทริอิให้ได้ก่อนที่คนจะเยอะไปกว่านี้

ตรงทางก่อนออกจากวัดฟูชิมิ มีคาเฟ่ร้านขนม
( 1 คน 1 ออเดอร์ ถ้าจะนั่งชมวิวด้วย) แต่เราสองคนต้องเก็บท้องไว้ทานของคาวค่ะเลยสั่งไอติมโคนชาเขียวมาแบ่งกัน

ถ่ายรูปในวัดเสร็จแล้วท้องเริ่มร้องทำการบ้านมาว่ามีร้านข้าวหน้าปลาไหล 300 ปี จังหวะดี คนไม่เยอะ ได้นั่งเลย 1 คน 1 ออเดอร์นะคะ สั่งมาคนละเซต อร่อยอย่างไม่น่าเชื่อ เป็นข้าวหน้าปลาไหลแบบไม่ใส่ซอสหวานแบบที่เรากินกันทั่วไป แต่เป็นปลาไหลย่างเกลือ หอมๆ รสสัมผัสดีไม่มีซอสหวานมาปนให้เสียอรรถรส ย่างสดๆหน้าร้าน หอมกลิ่นย่างถ่านอ่อนๆ ฟิน แต่อ่านชื่อร้านไม่ออกจ้า

จบจากข้าว ก็ตามด้วยกาแฟ น้ำหวาน มาลองของแปลกกันหน่อยค่ะ

จากนี้เราจะเดินทางรถไฟใต้ดินไปลงกิออนเพื่อต่อรถบัสไปวัดเงิน Ginkakuji แล้วไปเดินเล่นจากทางเดินนักปราชญ์เพื่อกลับมาคืนชุดที่วัดน้ำใส ดูจากกูเกิลแมพก็ 2 กิโล คิดว่า ชิลๆ ปกติออกกำลังโดยการวิ่ง 5-10 กิโลอยู่แล้ว แต่ไม่ได้นึกถึงชุดเลยค่ะ ฮ่าาา
รถบัสวันเสาร์นี้...คนเยอะมากกกกก ทำใจค่ะมาแล้วต้องไปให้ถึง วัดเงินรออยู่ เย้เย้

ออกจากวัดเงินจะเดินกลับวัดน้ำใสโดยใช้เส้นทางนักปราชญ์ ระหว่างทางเป็นร้านเล็กๆน่ารักมากค่ะ มีคนมานั่งวาดรูปเป็นระยะๆ ไม่แน่ใจว่าขายภาพด้วยไหมนะคะ

เดินไปเดินมาเริ่มเจ็บเท้า เริ่มเหนื่อย เริ่มท้อ ทั้งสองคนเลยค่า ฮ่าาาา แต่เราก็พยายามเดินไปได้ไกลนะคะ อ้อมไปอ้อมมา เริ่มไม่ไหวตรงสวนสัตว์เลยไปหาทางขึ้นรถบัสที่ป้ายรถเมล์ คนก็ต่อคิวแถวยาว เราก็ไปต่อกับเค้า รถบัสมาก็คนยื่นเต็มมาเลย อาจจะเพราะเรามาขึ้นกลางทาง รอประมาณ 5-6 คันถึงได้ขึ้นเพื่อไปลงแถววัดน้ำใส ก่อนเวลาคืนชุด 1 ชั่วโมงตามกำหนดเวลาคืนชุด 18.30 น. ค่ะ

แปลงร่างเป็นชุดเมื่อเช้าเรียบร้อยทั้งคู่ ปลอดโปร่ง โล่ง สบายตัวเป็นที่สุด เหนื่อยมากแล้ววันนี้ต้องหาของอร่อยทานตามลายแทงที่ทำมาเพื่อบรรเทาความเหนื่อย
เริ่มต้นจากร้านสตาร์บัคที่เป็นเอกลักษณ์และมีที่เดียว สาขาแรกที่มีเสื่อทาตามิ(เขียนถูกป่าวหว่า)ให้นั่งนะคะ เครื่องดื่มคริสต์มาสอร่อยมาก ทานร้อนๆนี้ฟินเลย สังเกตุเห็นลายโคมไฟดูแปลกสวยสะดุดตาค่ะ

รองท้องกันแล้ว ทานต่อกันเลยค่ะร้านที่รอคอยมาทั้งวัน ซูซิปลาซาบะดอง ชื่อไม่คิดว่าจะอร่อย แต่ผลลัพธ์คืออร่อยมากมายอร่อยน้ำตาไหล จะหาทานที่ไหนได้อีก ที่ไทยมีแบบนี้รบกวนชี้แนะด้วยค่ะ ร้าน Izuju นี้ก็เลือกเซตที่มีซูซิปลาซาบะแค่ 2 ชิ้น ถถถถถ กินอันอื่นไปแล้วหงะ แถมมีคิวร้านอื่นที่ต้องไปต่ออีก ไว้มีโอกาสจะมาซ้ำอีกนะ

เดินย่อยแถวกิออน

ผ่านศาลเจ้ายาซากะ จะซัดดังโงะก็เกรงใจท้องที่จะยัดอีกต่อไป เพราะเราหมายมั่นจะไปกิน กิน กิน กิน ข้าวหน้าเนื้อจ้า

เดินย่อยดูวิถีฮิปสเตอร์ที่แม่น้ำ Pontocho

ได้เวลานั่งรถไฟใต้ดินกลับก็ลงที่ป้ายสถานีเกียวโตเลยได้ชมเกียวโตทาวเวอร์ระหว่างทางเดินกลับโรงแรม เปิดไฟสวยงามเชียว

สรุป เราสองสามีภรรยาปิดทริปวันนี้ได้อย่างสมบูรณ์และพึ่งพอใจ แม้ว่าจะเดินไม่ได้ตามที่ตั้งไว้ก็ตาม ฮ่าาา
โปรดติดตามตอนต่อไปของทริปวันที่ 3
ชิลชิลกับรถไฟสายโรแมนติคซากะโนะ ไปลงที่ป่าไผ่ จิบกาแฟริมแม่น้ำ ค่ะ
เที่ยวญี่ปุ่น เกียวโต โอซาก้า โกเบ เริ่มฤดูใบไม้ร่วง 2018 : ep 2 ใส่ชุดกิโมโนเดินโหดในเกียวโต (3 Nov)
เมื่อคืนกว่าจะเดินทางถึงโรงแรม กว่าจะได้นอนก็ตี 3 ซึ่งเรามีนัดกับร้านเช่าชุดกิโมโน Okamoto Kimono Rental สาขา kiyomizudera สาขานี้อยู่ในซอยวัดน้ำใสเดินมาเรื่อยๆจะอยู่ก่อนถึงวัดน้ำใสนิดหน่อยค่ะ จองคิวทางเวปล่วงหน้าประมาณ 1 เดือน จองไว้คิวแรกคือ 9 โมงเช้า จึงตื่นกัน 7 โมงและออกเดินทางจากโรงแรม 8 โมง ค่ะ อย่าลืมนำหลักฐานการนัดหมายไปด้วยนะคะ
เรายังเป็นมือใหม่ของการเที่ยวกันเองไม่ชินทางจึงเผื่อเวลาการเดินทางไว้สักหน่อยเพราะวันนี้เป็นวันเสาร์คนน่าจะเยอะ รถน่าจะติด ก็เดินไปขึ้นรถเมล์ตาม google map ครั้งแรกก็จะหลงทิศหน่อยๆ แต่ก็หาทางขึ้นรถบัสได้ โดยซื้อบัตรรถ Bus One Day Pass ที่คนขับรถได้เลย (ขึ้นประตูกลาง ลงประตูหน้า ก่อนลงให้ซื้อ Pass กับคนขับได้เลย 600 เยนต่อคนจ้า)
มาถึงเวลาก่อนนัดหมายสักเล็กน้อย มีหนุ่มสาวชาวจีนนั่งรออยู่ก่อนแล้ว 1 คู่ เราเป็นคู่ชายหญิงคู่ที่ 2 นั่งสักพักก็มี คู่หญิงสาวชาวเกาหลีอีก 1 คู่
ระหว่างรอข้างนอกก็จะเห็นห้องกระจกภายในร้านพนักงานกำลังยืนประชุมทีมกันสักพักก็มีการออกกำลังกายกันเล็กน้อย มีสะบัดข้อมือ ข้อเท้า พร้อมส่งเสียงเอาฤกษ์เอาชัยเมื่อถึงเวลาจึงเปิดประตูร้านพร้อมกับวิ่งออกมารับลูกค้าที่รอข้างนอก
หลังจากนั้นจึงพาเราเข้าไปในร้านจะพบกับราวแขวนผ้ากิโมโนเยอะแยะมากมายละลานตาไปหมด (แนะนำให้ทำการบ้านมาก่อนนะคะว่าชอบโทนสีไหน สีเข้มสุขุม สีสดร้อนแรง สีอ่อนหวาน ถ้ามาเลือกหน้างานอาจจะเสียเวลาเพราะอันนี้ก็สวยอันโน้นก็สวย สวยไปหมดเลยค่ะ) เราทำการบ้านมาก็ยื่นรูปให้เค้าเลยค่ะอาจจะไม่เป๊ะแต่ก็ใกล้เคียงประหยัดเวลาไปเยอะค่ะ เลือกลายผ้ากิโมโนแล้ว ก็จะได้เลือกลายปกคอเสื้อด้านใน และเลือกกระเป๋าที่จะใส่ของที่เราต้องใช้ให้เข้ากับสีชุดค่ะ)
จากนั้นก็ชำระเงินก่อน เราเลือกแพคเกจของผู้หญิงในราคา 4000 เยน มีทำผมให้ฟรี ไม่มีแต่งหน้านะคะ (ให้แต่งมาก่อนและพกมาเติมระหว่างวัน) แพคเกจนี้จะมีลายผ้ากิโมโลให้เลือกเยอะกว่า สำหรับของผู้ชายก็ราคา 4000 เยน ค่ะ
พนักงานจะให้ถุงผ้าใบใหญ่มีเลขแทรคติดไว้สำหรับใส่เสื้อผ้า กระเป๋า สิ่งของ ที่เราใส่มา ส่วนของมีค่าให้นำติดตัวใส่กระเป๋าที่เลือกไว้นะคะ ถ้าของเยอะก็ต้องเลือกใบใหญ่หน่อยน๊าเดี๋ยวใส่ไม่พอจ้า
มาถึงห้องแต่งตัวในบ้านชั้น 2 ห้องหนึ่งจะอยู่ได้สัก 2-3 คน ถ้าเยอะกว่านี้เค้าจะเปิดอีกห้องซึ่งเดินถึงกันได้อยู่ห้องข้างๆค่ะ คุณป้าก็ให้เก็บของและถอดกางเกง เราก็ตกใจปนเขิลแต่เห็นว่าคนแรกเค้าแต่งใกล้เสร็จแล้วก็รีบตามเค้าหลับหูหลับตาถอดๆไปค่ะ โชคดีที่อ่านรีวิวมาว่าให้ใส่เสื้อคอกว้าง ถ้าไม่งั้นจะโดนจับถอดอีกชิ้นค่ะ คุณป้าพนักงานจับใส่ๆ มัดๆ ผูกๆ ไม่ต้องกลัวหลวม ไม่ต้องกลัวหลุด มัดแน่นไปทั้งวันค่ะ และไม่ต้องกลัวหนาวเพราะใส่ผ้า 3 ชั้นได้ค่ะ
แป๊ปเดี๋ยวเสร็จแล้วก็พาไปห้องทำผมฝั่งตรงข้ามมีคุณน้องพนักงานทำคิวก่อนหน้าเราเสร็จก็มาทำผมเราต่อ สังเกตุว่าเค้าจะไม่ปล่อยให้ว่างเลย คือถ้าใส่ชุดได้ใส่ก่อน หรือคิวทำผมว่างเค้าก็จับไปทำก่อนเลยบริหารเวลาดีมากค่ะ ส่วนทรงผมเค้ามีรูปมาให้เลือก 6 ทรงค่ะ เราเลือกทรงเรียบๆไปตามที่สามีชอบ ใช้เวลาไม่นานคุณน้องพนักงานก็เนรมิตทรงผมสวยงามง่ายๆ
ต่อไปคือเครื่องประดับติดผมค่ะ ยืนเลือกสักพักได้มา 3 ชิ้น คิดว่าเค้าให้ติดอันเดียว คุณป้าคนเดิม เข้ามาช่วยเลือกค่ะ อันนี้ไม่สวย อันนี้สีไม่ได้ เอาอันนี้ดีกว่า แล้วก็หยิบกิ๊บมุกมาปักให้เรารอบหัวเลยค่ะ สวยงามสุดสุด ไม่รู้ว่าเป็นเพราะมาเช้าของเลยมีเยอะ หรือที่ร้านมีสต๊อคไว้อยู่แล้วนะคะ แต่ประทับใจตรงนี้หละคะ ไม่มีอั้นเลย
แต่งตัวเรียบร้อยเดินลงมาเจอสามี นึกว่าสามีจะชมเหมือนคู่อื่นๆที่อ่านรีวิวมาว่าคู่เค้าชมว่าสวย สรุปสามีขำค่ะ ไม่รู้ขำอะไร ชิชะ ทางร้านให้เลือกรองเท้าเกี๊ยะค่ะ ทีแรกก็งงว่าทำไมหยิบคู่เล็กๆมาให้ เราก็จะเอาคู่ใหญ่ใส่พอดีหรือหลวมนิดๆเพราะจะได้เดินสบาย สรุปว่าความรู้ใหม่รองเท้มเกี๊ยะเค้าให้ใส่แบบส้นเท้าเราเลยออกมาจากรองเท้าเพื่อความสะดวกในการเดินค่ะ
แต่งตัวเรียบร้อย ฝากของเรียบร้อย ทางร้านก็จับถ่ายรูปค่ะ ปริ้นท์รูป 2 ใบ 2 แอค ใส่สมุดแล้วก็ถามว่าอยากได้ไหมไม่อยากได้ไม่เป็นไร รูปเอาลงเวปของร้านอยู่แล้ว เราก็ช่วยอุดหนุนเค้าไปตามระเบียบเป็นของที่ระลึกไปค่ะ อิอิ
10 โมงนิดๆ ทำเวลากันได้ดี แต่งตัวสวยแล้วพร้อมออกเดินทาง วันนี้วางโปรแกรมแบบเดินเท้าหนักมากจนเพื่อนที่ช่วยดูทริปขอร้องให้นั่งแท๊กซี่บ้าง เดี๋ยวมาดูกันค่ะว่าจะไปได้ไกลแค่ไหน ฮ่าาาา
เราแต่งตัวกันที่วัดน้ำใส เดินเล่นแถวฮิกาชิยาม่ากรุบกริบ กะว่ายังไม่เข้าวัดน้ำใสเพราะเค้าปิดซ่อมอยู่เวลาเหลือหลังจากคืนชุดค่อยมาเก็บทีหลัง
เราจึงออกเดินทางนั่งรถไฟใต้ดินไปวัดฟูชิมิอินาริ ต้องไปถ่ายรูปกับเสาโทริอิให้ได้ก่อนที่คนจะเยอะไปกว่านี้
ตรงทางก่อนออกจากวัดฟูชิมิ มีคาเฟ่ร้านขนม
( 1 คน 1 ออเดอร์ ถ้าจะนั่งชมวิวด้วย) แต่เราสองคนต้องเก็บท้องไว้ทานของคาวค่ะเลยสั่งไอติมโคนชาเขียวมาแบ่งกัน
ถ่ายรูปในวัดเสร็จแล้วท้องเริ่มร้องทำการบ้านมาว่ามีร้านข้าวหน้าปลาไหล 300 ปี จังหวะดี คนไม่เยอะ ได้นั่งเลย 1 คน 1 ออเดอร์นะคะ สั่งมาคนละเซต อร่อยอย่างไม่น่าเชื่อ เป็นข้าวหน้าปลาไหลแบบไม่ใส่ซอสหวานแบบที่เรากินกันทั่วไป แต่เป็นปลาไหลย่างเกลือ หอมๆ รสสัมผัสดีไม่มีซอสหวานมาปนให้เสียอรรถรส ย่างสดๆหน้าร้าน หอมกลิ่นย่างถ่านอ่อนๆ ฟิน แต่อ่านชื่อร้านไม่ออกจ้า
จบจากข้าว ก็ตามด้วยกาแฟ น้ำหวาน มาลองของแปลกกันหน่อยค่ะ
จากนี้เราจะเดินทางรถไฟใต้ดินไปลงกิออนเพื่อต่อรถบัสไปวัดเงิน Ginkakuji แล้วไปเดินเล่นจากทางเดินนักปราชญ์เพื่อกลับมาคืนชุดที่วัดน้ำใส ดูจากกูเกิลแมพก็ 2 กิโล คิดว่า ชิลๆ ปกติออกกำลังโดยการวิ่ง 5-10 กิโลอยู่แล้ว แต่ไม่ได้นึกถึงชุดเลยค่ะ ฮ่าาา
รถบัสวันเสาร์นี้...คนเยอะมากกกกก ทำใจค่ะมาแล้วต้องไปให้ถึง วัดเงินรออยู่ เย้เย้
ออกจากวัดเงินจะเดินกลับวัดน้ำใสโดยใช้เส้นทางนักปราชญ์ ระหว่างทางเป็นร้านเล็กๆน่ารักมากค่ะ มีคนมานั่งวาดรูปเป็นระยะๆ ไม่แน่ใจว่าขายภาพด้วยไหมนะคะ
เดินไปเดินมาเริ่มเจ็บเท้า เริ่มเหนื่อย เริ่มท้อ ทั้งสองคนเลยค่า ฮ่าาาา แต่เราก็พยายามเดินไปได้ไกลนะคะ อ้อมไปอ้อมมา เริ่มไม่ไหวตรงสวนสัตว์เลยไปหาทางขึ้นรถบัสที่ป้ายรถเมล์ คนก็ต่อคิวแถวยาว เราก็ไปต่อกับเค้า รถบัสมาก็คนยื่นเต็มมาเลย อาจจะเพราะเรามาขึ้นกลางทาง รอประมาณ 5-6 คันถึงได้ขึ้นเพื่อไปลงแถววัดน้ำใส ก่อนเวลาคืนชุด 1 ชั่วโมงตามกำหนดเวลาคืนชุด 18.30 น. ค่ะ
แปลงร่างเป็นชุดเมื่อเช้าเรียบร้อยทั้งคู่ ปลอดโปร่ง โล่ง สบายตัวเป็นที่สุด เหนื่อยมากแล้ววันนี้ต้องหาของอร่อยทานตามลายแทงที่ทำมาเพื่อบรรเทาความเหนื่อย
เริ่มต้นจากร้านสตาร์บัคที่เป็นเอกลักษณ์และมีที่เดียว สาขาแรกที่มีเสื่อทาตามิ(เขียนถูกป่าวหว่า)ให้นั่งนะคะ เครื่องดื่มคริสต์มาสอร่อยมาก ทานร้อนๆนี้ฟินเลย สังเกตุเห็นลายโคมไฟดูแปลกสวยสะดุดตาค่ะ
รองท้องกันแล้ว ทานต่อกันเลยค่ะร้านที่รอคอยมาทั้งวัน ซูซิปลาซาบะดอง ชื่อไม่คิดว่าจะอร่อย แต่ผลลัพธ์คืออร่อยมากมายอร่อยน้ำตาไหล จะหาทานที่ไหนได้อีก ที่ไทยมีแบบนี้รบกวนชี้แนะด้วยค่ะ ร้าน Izuju นี้ก็เลือกเซตที่มีซูซิปลาซาบะแค่ 2 ชิ้น ถถถถถ กินอันอื่นไปแล้วหงะ แถมมีคิวร้านอื่นที่ต้องไปต่ออีก ไว้มีโอกาสจะมาซ้ำอีกนะ
เดินย่อยแถวกิออน
ผ่านศาลเจ้ายาซากะ จะซัดดังโงะก็เกรงใจท้องที่จะยัดอีกต่อไป เพราะเราหมายมั่นจะไปกิน กิน กิน กิน ข้าวหน้าเนื้อจ้า
เดินย่อยดูวิถีฮิปสเตอร์ที่แม่น้ำ Pontocho
ได้เวลานั่งรถไฟใต้ดินกลับก็ลงที่ป้ายสถานีเกียวโตเลยได้ชมเกียวโตทาวเวอร์ระหว่างทางเดินกลับโรงแรม เปิดไฟสวยงามเชียว
สรุป เราสองสามีภรรยาปิดทริปวันนี้ได้อย่างสมบูรณ์และพึ่งพอใจ แม้ว่าจะเดินไม่ได้ตามที่ตั้งไว้ก็ตาม ฮ่าาา
โปรดติดตามตอนต่อไปของทริปวันที่ 3
ชิลชิลกับรถไฟสายโรแมนติคซากะโนะ ไปลงที่ป่าไผ่ จิบกาแฟริมแม่น้ำ ค่ะ