วันที่ 13 พฤศจิกายน 1974 สถานีตำรวจ
ซัฟโฟล์คเคาน์ตี้ได้รับโทรศัพท์สยอง ที่นำพวกเขาสู่
บ้านเลขที่ 112 โอเชี่ยนอเวนิว ในเอมิตี้วิลล์ ลองไอซ์แลนด์ ภายในบ้านทรงดัตช์โบราณ บรรดาตำรวจพบเหตุอาชญากรรมสุดสยอง ที่เขย่าขวัญชุมชนแสนสงบแห่งนี้ ครอบครัวหนึ่งถูกสังหารหมู่ บนเตียงแสนสบายของตนเอง ไม่กี่วันถัดมา
โรนัลด์ เดเฟโอ จูเนียร์ ได้รับสารภาพว่า ได้ยิงพ่อแม่และพี่น้องของเขาตายด้วยปืนไรเฟิล ขณะที่พวกเขานอนหลับ และอ้างว่า "เสียง" ในบ้าน ทำให้เขาก่อเหตุฆาตรกรรมสยองดังกล่าว
1 ปีต่อมา
จอร์จ (ไรอัน เรโนลด์) และ
แคธี่ ลัทซ์ (เมลิสสา จอร์จ) และลูกๆ ได้ย้ายเข้ามาในบ้านที่พวกเขาคิดว่าคือบ้านในฝัน แต่หลังจากย้ายเข้ามาไม่นาน เหตุการณ์ประหลาดที่ไม่สามารถอธิบายได้ก็เกิดขึ้น นั่นคือ ภาพสยองและเสียงหลอนจากปีศาจ ที่ยังคงสิงสู่อยู่ในบ้าน
แคธี่ผู้เป็นแม่ พยายามทุกวิถีทางให้ครอบครัวของเธอกลับมาเป็นเหมือนเดิม เมื่อลูกสาว เชลซี (โคล มอเร็ตซ์) พูดคุยกับเพื่อนที่มองไม่เห็นชื่อ โจดี้ และจอร์จผู้เป็นห้วหน้าครอบครัวมีพฤติกรรมประหลาด เขาใช้เวลาทั้งวันทั้งคืนอยู่ในห้องใต้ดิน ที่ซึ่งไม่นานเขาได้พบทางสู่ "ห้องแดง" อันลึกลับและน่าขนลุก ด้วยภาพหลอนอันแจ่มชัด และเสียงปีศาจที่ดังก้องอยู่ในหัวของจอร์จ บ้านทั้งหลังก็กลับกลายมีชีวิต นำไปสู่จุดไคลแม็กซ์อันน่าสะพรึง ดังที่รู้จักกันดีในนาม The Amityville Horror
นั้นเป็นเรื่องราวจากภาพยนตร์
เรื่องบ้านอมิตี้วิลล์เป็นเรื่องจริงที่สร้างจากการบันทึกของจอร์จ โดยเขาทำเรื่องนี้เป็นหนังสือออกมาตีพิมพ์ในปี 1977 จนมันดังเป็นพลุแดงจนสร้างเป็นหนังภาพยนตร์ตครั้งแรกในปี 1979 และสร้างอีกหลายภาคในเวลาต่อมา
เมืองอมิตี้วิลล์ นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ค.ศ.
1965-1976
บ้านอมิตี้วิลล์ โอเชี่ยนอเวนิว เป็น
บ้านทรงดัทซ์ โคโลเนียล หน้าตาเหมือนโรงนาทรงสูงที่ที่สวยงามมากหลังหนึ่ง และมันมีหน้าต่างสองบานใหญ่คล้ายตาขนาดใหญ่สองตา มันตั้งอยู่ทางโค้งแม่น้ำอมิตี้วิลล์ มีเรือนแพริมน้ำ สระน้ำอุ่น โรงจอดรถ 2 คน ห้องนั่งเล่นขนาดใหญ่ และห้องนอน 6 ห้อง
บ้าน Amityville
บ้านหลังนี้เป็นบ้านเก่าแก่ ถูกสร้างตั้งแต่ปี 1924 โดย
จอห์น โมนาแฮนและครอบครัว ต่อมาย้ายและมีครอบครัวอื่นมาเช่าต่อกันไปอีก 6 ครอบครัวด้วยกัน
ค.ศ.1965 โรนัลด์ เดเฟโอและครอบครัว พากันย้ายเข้ามาในบ้านหลังนี้ โรนิลด์ชอบที่นี้มากและติดป้ายท้ายสวนว่า "
สุดยอดแห่งความหวัง(High Hopes)"
ครอบครัวเดเฟโอเป็นครอบครัวที่เคร่งศาสนา และเป็นตัวอย่างที่ดีของครอบครัวที่อยู่ ในระแวกนั้น พวกเขาดูเป็นครอบครัวธรรมดามีความสุข ครอบครัวหนึ่ง
พฤศจิกายน ค.ศ. 1965 นางและนายเดเฟโอยังอาศัยบ้านเลขที่ 112 โอเชี่ยนอเวนิว กับลูกถึง 5 คน พวกเขาน่าจะมีความสุข ถ้าไม่เป็นเพราะรอนนี่ ลูกชายคนโต ทำเรื่องขึ้น รอนนี่เป็นแกะดำของครอบครัว
เป็นคนติดยาเสพย์ติดขนาดหนักประเภทเฮโรอีน ยาบ้าและยากล่อมประสาท ชอบทำเรื่องเสียๆ หายๆ
เขาต้องมีเรื่องขึ้นโรงพักมากกว่า 1 ครั้ง โดยข้อหาเป็นขโมย แม้ฐานะการเงินในครอบครัวมีกินพอใช้ก็ตาม
ครั้งหนึ่งรอนนี่เคยเอาปืนจ่อหัวพ่อและลั่นไก แต่ว่ากระสุนด้านไปเสียก่อน และต่อมาตอนต้นเดือนเขาถูกสงสัยว่ามีส่วนร่วมในการปล้นเงิน 19000 ดอลลาร์และนี้เป็นฟางเส้นสุดท้าย ที่ผู้เป็นพ่อเหลือดอดต้องไล่เขาออกจากบ้าน
รอนนี่ เดเฟโอ หลังถูกตำรวจควบคุมตัว
เจ้าหน้าที่เก็บหลักฐานในที่เกิดเหตุ
ภาพข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์
กันยายน ค.ศ.1975 รอนนี่ เดเฟโอ ถูกนำตัวมาพิจารณาคดีที่ศาล เป็นการพิจารณาคดีที่ยาวที่สุดเท่าที่เมืองอมิตี้วิลล์เคยมีมา
เขาให้การว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจซ้อมเขาเพื่อให้การรับสารภาพ แต่เขาแสดงความเสียใจเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
4 ธันวาคม ค.ศ. 1975 ศาลพิพากษาจำคุกรอนนี่ เดเฟโร 150 ปี ผลสุดท้ายรอนนี่ก็เอ่ยปากสารภาพ
"ผมได้ยินเสียงกระซิบและเสียงฝีเท้าในบ้าน อยู่ๆ ก็มีมือสีดำยืนปืนให้ผม ผมได้ยินเสียงคนทั้งๆ ที่ไม่มีใครอยู่ตรงนั้น มันบอกให้ผมฆ่า ในหัวมีแต่เสียงดังเต็มไปหมด"
"มันเพิ่มเริ่มต้น" เขาพูด "แต่แล้วมันก็เกิดขึ้นเร็วมาก ผมหยุดไม่ได้"
18 ธันวาคม ค.ศ.1974 ระหว่างนั้นเอง
ครอบครัวใหม่ก็ย้ายเข้ามาอยู่บ้านบ้านเลขที่ 112 โอเชี่ยนอเวนิว
จอร์จ ลัทซ์กับภรรยาแคธลีน และลูกๆ ที่เป็นลูกติดของแคธลีน เป็นเด็กชายสองคนชื่อ คริสและแดนนี่ และเด็กหญิงอีกหนึ่งคนชื่อเมลิสสา หรือเรียกสั้นๆ ว่า มิสซี่
ครอบครัวลัทซ์รู้เรื่องการฆาตกรรมครอบครัวเดเฟโอ แต่เพราะเหตุนี้นี่เอง พวกเขาจึงซื้อบ้านหลังนี้ได้ด้วยราคาถูกแสนถูกและเพื่อความสบายใจพวกเขาได้นิมนต์บาทหลวงแฟรงค์ แมนคูโซ มาสวดที่บ้าน
ในขณะที่บาทหลวงแมนคูโซ่เดินพรมน้ำมนต์ไปรอบๆ บ้านนั้นเอง มีเสียงห้าวลูกว่า "ออกไป" บาทหลวงรู้สึกแปลกใจแต่ก็ไม่นึกกังวล
สายในวันนั้นเอง รถของบาทหลวงเกือบจะพลิกคว่ำเมื่อฝากระโปรงและประตูรถเปิดออกมาเอง รถสตาร์ทไม่ติด พอดีมีบาทหลวงท่านหนึ่งผ่านมาช่วย แต่ภายหลังบาทหลวงคนนั้นก็ประสบกับอุบัติเหตุร้ายแรง
จอร์จ ลัทซ์พบว่าเฟอร์นิเจอร์ส่วนใหญ่ของครอบครัวผู้ตายถูกนำไปขายอยู่ที่ร้านตั้งแต่การตายหมู่ เขาสนใจจะซื้อมันกลับมา บ้านนี้จึงคืนสู่สภาพเดิมเหมือนกับยามเกิดคดีฆาตกรรมสุดสยองครั้งนั้น
เขาล่ามโซ่สุนัขไว้ที่คอกนอกบ้านเพื่อเฝ้าบ้าน เมื่อรัตติกาลมาเยือน จอร์จได้ยินมันหอนโหยหวน มีอะไรบางอย่างที่ทำให้มันตกใจกลัวมากเสียจนมันพยายามดิ้นรนออกจากคอก จนโซ่เกือบจะรัดคอมัน จอร์จจึงตัดโซ่ให้สั้นลง
19 ธันวาคม ค.ศ.1974 เมื่อทั้งหมดขึ้นนอนหลับสนิทยกเว้นจอร์จ ลัทซ์ที่ตกใจตื่นเพราะได้ยินเสียงกุกกักดังตอนตีสาม 3.15 น. เวลาเดียวกันที่ครอบครัวเดเฟโอถูกฆ่าบนเตียง จอร์จมองไปที่หน้าต่าง สุนัขตั้งต้นเห่าอย่างเอาเป็นเอาตาย มันเห่าอะไรบางอย่างที่มองไม่เห็นที่บริเวณเรือนแพ บ้านริมน้ำ จอร์จคิดว่าตัวเองเห็นคนหายไปในเรือนแพ เมื่อเขาลงไปตรวจสอบดูก็พบว่า ประตูเรือนแพเปิดอ้าอยู่ท่ามกลางลมอันหนาวเหน็บ ทั้งที่เขาปิดมันก่อนข้าวนอนแล้ว
20 ธันวาคม ค.ศ.1974 ทุกอย่างเริ่มจะไม่ค่อยดีสำหรับครอบครัวลิทซ์เสียแล้ว จอร์จตื่นขึ้นตอนตี 3.15 น.ทุกคืน เขากลายเป็นคนหงุดหงิด ลงมือลงไม้กับพวกเด็กๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาไม่เคยทำมาก่อน เขาหอบฟืนเพื่อให้ตัวอบอุ่น บ้านร้อนเหมือนเตาอบ แต่จอร์จกลับหนาวเย็นจนเกือบแข็ง
22 ธันวาคม ค.ศ.1974 มีเรื่องแปลกเกิดขึ้นในห้องน้ำ กล่าวคือมันเกิดรอยคราบประหลาดสีดำที่ขัดไม่ออก มันมีกลิ่นหอมเอียนๆ อบอวล อยู่ในอากาศ จอร์จเดินไปเปิดหน้าต่างเพื่อไล่กลิ่นนั้นออกไป เขาเห็นแมลงวันนับร้อยนับพันเกาะอยู่เต็มไปหมด ในขณะที่หน้าต่างบานอื่นใส่สะอาด แต่มีเพียงบานเดียวเท่านั้นที่แมลงวันเกาะจนดำมืด มันคือหน้าต่างที่หัวหน้าออกสู่เรือนแพ
คืนนั้นเอง พอเวลาตี 3.15 น. จอร์จก็ตกใจตื่นขึ้นด้วยเสียงดังโครม เขารีบรุดลงไปยังชั้นล่าง แล้วพบว่าประตูหน้าบ้านเปิดอ้าห้อยอยู่กับบานพับตัวหนึ่ง
24 ธันวาคม ค.ศ.1974 เป็นวันคริสต์มาส บาทหลวงแมนคูโซ่ป่วยเป็นไข้สูง จอร์จโทรศัพท์ไปหาท่าน แล้วเริ่มต้นพูดถึงเรื่องลึกลับที่เกิดขึ้น บาทหลวงได้พยายามเตือนจอร์จ แต่สายโทรศัพท์ขาดไปอย่างไม่ทราบสาเหตุ ค่ำวันนั้นเองแมลงวันกลับมาอีกครั้งมันเกาะหน้าต่างบานที่หันไปทางเรือนแพอีก
จอร์จรู้สึกไม่จำเป็นจะต้องไปตรวจดูเรือนแพ ขณะที่หันกลับไปดูบ้านนั้นเอง เขาแลเห็นมิสซี่จ้องมองเขาอยู่ที่หน้าต่าง เบื้องหลังเด็กหญิงคือหมูตัวหนึ่ง กำลังมองข้ามไหล่ของเธอมา ดวงตาของหมูตัวนั้นมีสีแดงวาว ชายหนุ่มวิ่งกลับไปยังห้องนอน แต่แล้วกลับพบว่าเด็กหญิงนอนหลับอยู่
24 ธันวาคม ค.ศ.1974 อีกครั้งจอร์จตื่นข้นในเวลา 3.15 น.แคธี่ ภรรยาของเขานอนเอาแขนหนุนศีรษะอยู่ในท่าเดียวกับคนตาย เขาแตะตัวเธอ แล้วเธอก็ตื่นตกใจกรีดร้องออกมา "เธอถูกยิงที่หัว คุณนายเดโฟถูกยิงที่หัว ฉันได้ยินเสียงปืน"
หลังจากนั้นจอร์จปลอบจนแคธีก็หลับต่อ สุนัขเริ่มต้นเห่า จอร์จเดินไปนอนบ้าน เมื่อเขามองมาที่ห้องนอนของมิสซี่ เขาเห็นเด็กผู้หญิงมิสซี่จ้องมองที่เขา และเบื้องหลังของเธอ มีหมูตัวเดิมจองเขม็งด้วยนัยน์ตาแดงวาว จอร์จรีบเข้าไปตรวจห้องของเด็กน้อย พบว่าเธอนอนหลับคว่ำหน้าเอาศีรษะวางบนแขน
คืนวันคริสต์มาส มิสซี่เริ่มคุยถึงเรื่องเพื่อนใหม่ เป็นหมูชื่อโจดี้ แต่พีชายของเธอบอกว่า หมูตัวนั้นเป็นจินตนาการของเธอ
คืนนั้นแคธี่ได้ยินเสียงมิสซี่พูดกับใครบางคนในห้อง
"ลูกพูดกับใครจ๊ะมิสซี่ นางฟ้าหรือจ๊ะ"
"เปล่าค่ะแม่ เพื่อนของหนู โจดี้ค่ะ เด็กน้อยตอบเธอ"
26 ธันวาคม ค.ศ.1974 วันบ็อกซิ่งเดย์ ครอบครัวลัทธ์ค้นพบห้องลับ ซ่อนอยู่ข้างหลังตู้โชว์ ห้องนั้นมีกลิ่นคาวชวนคลื่นเหียน มันคือกลิ่นเลือด!
ก่อนจะถึงปีใหม่ จอร์จ เริ่มสืบค้นประวัติของบ้านและสถานที่แห่งนี้ สมาคมประวัติศาสตร์ท้องถิ่นกล่าวว่าบ้านหลังนี้ตั้งอยู่ค่ายสำหรับอินเดียแดง มีทั้งคนป่วย คนบ้า คนใกล้ตาย แต่ไม่มีการฝังคนตายไว้ เพราะที่นี้มีปีศาจชุกชุม
1 มกราคม ค.ศ.1975 แคธี่เห็นร่างปีศาจอยู่ในเปลวไฟที่กำลังลุกโชนอยู่ในเคาผิง เมื่อไฟมอดลงปรากฏเป็นรูปศีรษะทีมีเขาเป็นรอยสีขาวอยู่บนคราบเขม่าที่ปล่องไฟ
คืนนั้นลมกรรโชกพัดผ่านเข้ามาในบ้าน มันพัดเอาผ้าคลุมเตียงปลิวหลุดไปจากเตียงของจอร์จและแคธี่ หน้าต่างบานที่หันหน้าไปทางเรือนแพเปิดออก
2 มกราคม ค.ศ.1975 พบรอยเท้าอยู่บนหิมะบริเดียวกับเรือนแพ เป็นรอยเท้าที่คล้ายกับปีศาจทิ้งเอาไว้
6 มกราคม ค.ศ.1975 จอห์นตื่นขึ้นกลางดึก เขามองภรรยาแต่เธอไม่อยู่ที่นั้น เขาเอื้อมมือไปเปิดไฟ แล้วก็เห็นเธอลอยอยู่บนเตียง แต่ใบหน้าเธอกลายเป็นใบหน้าของหญิงชราอายุสัก 90 ปี เขาจับผมเธอดึงลงมา เธอตื่นขึ้นดูหน้าตัวเองในกระจกแล้วร้องกรีดออกมา เพราะใบหน้านั้นค่อยๆ กลับเป็นปกติ แต่ทว่ามีรอยย่นที่ไม่เคยเห็นปรากฏขึ้นแทน
10 มกราคม ค.ศ. 1975 แคธี่ตื่นขึ้นมาพบว่าตนเองมีริ้วรอย ขีดข่วนเต็มตัว แต่พอถึงตอนค่ำ รอยนั้นกับหายไปอย่างลึกลับ คำสาปแช่งของวิญญาณในบ้านเริ่มออกฤทธิ์กับด้านอื่นของชีวิตในครอบครัว ธุรกิจของจอร์จกำลังตกต่ำถึงขั้นล้มละลาย
To Be Continue..
ย้อนรอย..กันลืม "Amityville" "บ้านฆ่าใครไม่ได้ มนุษย์ต่างหากที่ทำ"
1 ปีต่อมา จอร์จ (ไรอัน เรโนลด์) และ แคธี่ ลัทซ์ (เมลิสสา จอร์จ) และลูกๆ ได้ย้ายเข้ามาในบ้านที่พวกเขาคิดว่าคือบ้านในฝัน แต่หลังจากย้ายเข้ามาไม่นาน เหตุการณ์ประหลาดที่ไม่สามารถอธิบายได้ก็เกิดขึ้น นั่นคือ ภาพสยองและเสียงหลอนจากปีศาจ ที่ยังคงสิงสู่อยู่ในบ้าน
แคธี่ผู้เป็นแม่ พยายามทุกวิถีทางให้ครอบครัวของเธอกลับมาเป็นเหมือนเดิม เมื่อลูกสาว เชลซี (โคล มอเร็ตซ์) พูดคุยกับเพื่อนที่มองไม่เห็นชื่อ โจดี้ และจอร์จผู้เป็นห้วหน้าครอบครัวมีพฤติกรรมประหลาด เขาใช้เวลาทั้งวันทั้งคืนอยู่ในห้องใต้ดิน ที่ซึ่งไม่นานเขาได้พบทางสู่ "ห้องแดง" อันลึกลับและน่าขนลุก ด้วยภาพหลอนอันแจ่มชัด และเสียงปีศาจที่ดังก้องอยู่ในหัวของจอร์จ บ้านทั้งหลังก็กลับกลายมีชีวิต นำไปสู่จุดไคลแม็กซ์อันน่าสะพรึง ดังที่รู้จักกันดีในนาม The Amityville Horror
นั้นเป็นเรื่องราวจากภาพยนตร์
เรื่องบ้านอมิตี้วิลล์เป็นเรื่องจริงที่สร้างจากการบันทึกของจอร์จ โดยเขาทำเรื่องนี้เป็นหนังสือออกมาตีพิมพ์ในปี 1977 จนมันดังเป็นพลุแดงจนสร้างเป็นหนังภาพยนตร์ตครั้งแรกในปี 1979 และสร้างอีกหลายภาคในเวลาต่อมา
เมืองอมิตี้วิลล์ นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ค.ศ. 1965-1976
บ้านอมิตี้วิลล์ โอเชี่ยนอเวนิว เป็นบ้านทรงดัทซ์ โคโลเนียล หน้าตาเหมือนโรงนาทรงสูงที่ที่สวยงามมากหลังหนึ่ง และมันมีหน้าต่างสองบานใหญ่คล้ายตาขนาดใหญ่สองตา มันตั้งอยู่ทางโค้งแม่น้ำอมิตี้วิลล์ มีเรือนแพริมน้ำ สระน้ำอุ่น โรงจอดรถ 2 คน ห้องนั่งเล่นขนาดใหญ่ และห้องนอน 6 ห้อง
บ้านหลังนี้เป็นบ้านเก่าแก่ ถูกสร้างตั้งแต่ปี 1924 โดยจอห์น โมนาแฮนและครอบครัว ต่อมาย้ายและมีครอบครัวอื่นมาเช่าต่อกันไปอีก 6 ครอบครัวด้วยกัน
ค.ศ.1965 โรนัลด์ เดเฟโอและครอบครัว พากันย้ายเข้ามาในบ้านหลังนี้ โรนิลด์ชอบที่นี้มากและติดป้ายท้ายสวนว่า "สุดยอดแห่งความหวัง(High Hopes)"
ครอบครัวเดเฟโอเป็นครอบครัวที่เคร่งศาสนา และเป็นตัวอย่างที่ดีของครอบครัวที่อยู่ ในระแวกนั้น พวกเขาดูเป็นครอบครัวธรรมดามีความสุข ครอบครัวหนึ่ง
พฤศจิกายน ค.ศ. 1965 นางและนายเดเฟโอยังอาศัยบ้านเลขที่ 112 โอเชี่ยนอเวนิว กับลูกถึง 5 คน พวกเขาน่าจะมีความสุข ถ้าไม่เป็นเพราะรอนนี่ ลูกชายคนโต ทำเรื่องขึ้น รอนนี่เป็นแกะดำของครอบครัว เป็นคนติดยาเสพย์ติดขนาดหนักประเภทเฮโรอีน ยาบ้าและยากล่อมประสาท ชอบทำเรื่องเสียๆ หายๆ เขาต้องมีเรื่องขึ้นโรงพักมากกว่า 1 ครั้ง โดยข้อหาเป็นขโมย แม้ฐานะการเงินในครอบครัวมีกินพอใช้ก็ตาม
ครั้งหนึ่งรอนนี่เคยเอาปืนจ่อหัวพ่อและลั่นไก แต่ว่ากระสุนด้านไปเสียก่อน และต่อมาตอนต้นเดือนเขาถูกสงสัยว่ามีส่วนร่วมในการปล้นเงิน 19000 ดอลลาร์และนี้เป็นฟางเส้นสุดท้าย ที่ผู้เป็นพ่อเหลือดอดต้องไล่เขาออกจากบ้าน
กันยายน ค.ศ.1975 รอนนี่ เดเฟโอ ถูกนำตัวมาพิจารณาคดีที่ศาล เป็นการพิจารณาคดีที่ยาวที่สุดเท่าที่เมืองอมิตี้วิลล์เคยมีมา
เขาให้การว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจซ้อมเขาเพื่อให้การรับสารภาพ แต่เขาแสดงความเสียใจเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
4 ธันวาคม ค.ศ. 1975 ศาลพิพากษาจำคุกรอนนี่ เดเฟโร 150 ปี ผลสุดท้ายรอนนี่ก็เอ่ยปากสารภาพ
"ผมได้ยินเสียงกระซิบและเสียงฝีเท้าในบ้าน อยู่ๆ ก็มีมือสีดำยืนปืนให้ผม ผมได้ยินเสียงคนทั้งๆ ที่ไม่มีใครอยู่ตรงนั้น มันบอกให้ผมฆ่า ในหัวมีแต่เสียงดังเต็มไปหมด"
"มันเพิ่มเริ่มต้น" เขาพูด "แต่แล้วมันก็เกิดขึ้นเร็วมาก ผมหยุดไม่ได้"
18 ธันวาคม ค.ศ.1974 ระหว่างนั้นเอง ครอบครัวใหม่ก็ย้ายเข้ามาอยู่บ้านบ้านเลขที่ 112 โอเชี่ยนอเวนิว จอร์จ ลัทซ์กับภรรยาแคธลีน และลูกๆ ที่เป็นลูกติดของแคธลีน เป็นเด็กชายสองคนชื่อ คริสและแดนนี่ และเด็กหญิงอีกหนึ่งคนชื่อเมลิสสา หรือเรียกสั้นๆ ว่า มิสซี่
ครอบครัวลัทซ์รู้เรื่องการฆาตกรรมครอบครัวเดเฟโอ แต่เพราะเหตุนี้นี่เอง พวกเขาจึงซื้อบ้านหลังนี้ได้ด้วยราคาถูกแสนถูกและเพื่อความสบายใจพวกเขาได้นิมนต์บาทหลวงแฟรงค์ แมนคูโซ มาสวดที่บ้าน
ในขณะที่บาทหลวงแมนคูโซ่เดินพรมน้ำมนต์ไปรอบๆ บ้านนั้นเอง มีเสียงห้าวลูกว่า "ออกไป" บาทหลวงรู้สึกแปลกใจแต่ก็ไม่นึกกังวล
สายในวันนั้นเอง รถของบาทหลวงเกือบจะพลิกคว่ำเมื่อฝากระโปรงและประตูรถเปิดออกมาเอง รถสตาร์ทไม่ติด พอดีมีบาทหลวงท่านหนึ่งผ่านมาช่วย แต่ภายหลังบาทหลวงคนนั้นก็ประสบกับอุบัติเหตุร้ายแรง
จอร์จ ลัทซ์พบว่าเฟอร์นิเจอร์ส่วนใหญ่ของครอบครัวผู้ตายถูกนำไปขายอยู่ที่ร้านตั้งแต่การตายหมู่ เขาสนใจจะซื้อมันกลับมา บ้านนี้จึงคืนสู่สภาพเดิมเหมือนกับยามเกิดคดีฆาตกรรมสุดสยองครั้งนั้น
เขาล่ามโซ่สุนัขไว้ที่คอกนอกบ้านเพื่อเฝ้าบ้าน เมื่อรัตติกาลมาเยือน จอร์จได้ยินมันหอนโหยหวน มีอะไรบางอย่างที่ทำให้มันตกใจกลัวมากเสียจนมันพยายามดิ้นรนออกจากคอก จนโซ่เกือบจะรัดคอมัน จอร์จจึงตัดโซ่ให้สั้นลง
19 ธันวาคม ค.ศ.1974 เมื่อทั้งหมดขึ้นนอนหลับสนิทยกเว้นจอร์จ ลัทซ์ที่ตกใจตื่นเพราะได้ยินเสียงกุกกักดังตอนตีสาม 3.15 น. เวลาเดียวกันที่ครอบครัวเดเฟโอถูกฆ่าบนเตียง จอร์จมองไปที่หน้าต่าง สุนัขตั้งต้นเห่าอย่างเอาเป็นเอาตาย มันเห่าอะไรบางอย่างที่มองไม่เห็นที่บริเวณเรือนแพ บ้านริมน้ำ จอร์จคิดว่าตัวเองเห็นคนหายไปในเรือนแพ เมื่อเขาลงไปตรวจสอบดูก็พบว่า ประตูเรือนแพเปิดอ้าอยู่ท่ามกลางลมอันหนาวเหน็บ ทั้งที่เขาปิดมันก่อนข้าวนอนแล้ว
20 ธันวาคม ค.ศ.1974 ทุกอย่างเริ่มจะไม่ค่อยดีสำหรับครอบครัวลิทซ์เสียแล้ว จอร์จตื่นขึ้นตอนตี 3.15 น.ทุกคืน เขากลายเป็นคนหงุดหงิด ลงมือลงไม้กับพวกเด็กๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาไม่เคยทำมาก่อน เขาหอบฟืนเพื่อให้ตัวอบอุ่น บ้านร้อนเหมือนเตาอบ แต่จอร์จกลับหนาวเย็นจนเกือบแข็ง
22 ธันวาคม ค.ศ.1974 มีเรื่องแปลกเกิดขึ้นในห้องน้ำ กล่าวคือมันเกิดรอยคราบประหลาดสีดำที่ขัดไม่ออก มันมีกลิ่นหอมเอียนๆ อบอวล อยู่ในอากาศ จอร์จเดินไปเปิดหน้าต่างเพื่อไล่กลิ่นนั้นออกไป เขาเห็นแมลงวันนับร้อยนับพันเกาะอยู่เต็มไปหมด ในขณะที่หน้าต่างบานอื่นใส่สะอาด แต่มีเพียงบานเดียวเท่านั้นที่แมลงวันเกาะจนดำมืด มันคือหน้าต่างที่หัวหน้าออกสู่เรือนแพ
คืนนั้นเอง พอเวลาตี 3.15 น. จอร์จก็ตกใจตื่นขึ้นด้วยเสียงดังโครม เขารีบรุดลงไปยังชั้นล่าง แล้วพบว่าประตูหน้าบ้านเปิดอ้าห้อยอยู่กับบานพับตัวหนึ่ง
24 ธันวาคม ค.ศ.1974 เป็นวันคริสต์มาส บาทหลวงแมนคูโซ่ป่วยเป็นไข้สูง จอร์จโทรศัพท์ไปหาท่าน แล้วเริ่มต้นพูดถึงเรื่องลึกลับที่เกิดขึ้น บาทหลวงได้พยายามเตือนจอร์จ แต่สายโทรศัพท์ขาดไปอย่างไม่ทราบสาเหตุ ค่ำวันนั้นเองแมลงวันกลับมาอีกครั้งมันเกาะหน้าต่างบานที่หันไปทางเรือนแพอีก
จอร์จรู้สึกไม่จำเป็นจะต้องไปตรวจดูเรือนแพ ขณะที่หันกลับไปดูบ้านนั้นเอง เขาแลเห็นมิสซี่จ้องมองเขาอยู่ที่หน้าต่าง เบื้องหลังเด็กหญิงคือหมูตัวหนึ่ง กำลังมองข้ามไหล่ของเธอมา ดวงตาของหมูตัวนั้นมีสีแดงวาว ชายหนุ่มวิ่งกลับไปยังห้องนอน แต่แล้วกลับพบว่าเด็กหญิงนอนหลับอยู่
24 ธันวาคม ค.ศ.1974 อีกครั้งจอร์จตื่นข้นในเวลา 3.15 น.แคธี่ ภรรยาของเขานอนเอาแขนหนุนศีรษะอยู่ในท่าเดียวกับคนตาย เขาแตะตัวเธอ แล้วเธอก็ตื่นตกใจกรีดร้องออกมา "เธอถูกยิงที่หัว คุณนายเดโฟถูกยิงที่หัว ฉันได้ยินเสียงปืน"
หลังจากนั้นจอร์จปลอบจนแคธีก็หลับต่อ สุนัขเริ่มต้นเห่า จอร์จเดินไปนอนบ้าน เมื่อเขามองมาที่ห้องนอนของมิสซี่ เขาเห็นเด็กผู้หญิงมิสซี่จ้องมองที่เขา และเบื้องหลังของเธอ มีหมูตัวเดิมจองเขม็งด้วยนัยน์ตาแดงวาว จอร์จรีบเข้าไปตรวจห้องของเด็กน้อย พบว่าเธอนอนหลับคว่ำหน้าเอาศีรษะวางบนแขน
คืนวันคริสต์มาส มิสซี่เริ่มคุยถึงเรื่องเพื่อนใหม่ เป็นหมูชื่อโจดี้ แต่พีชายของเธอบอกว่า หมูตัวนั้นเป็นจินตนาการของเธอ
คืนนั้นแคธี่ได้ยินเสียงมิสซี่พูดกับใครบางคนในห้อง
"ลูกพูดกับใครจ๊ะมิสซี่ นางฟ้าหรือจ๊ะ"
"เปล่าค่ะแม่ เพื่อนของหนู โจดี้ค่ะ เด็กน้อยตอบเธอ"
26 ธันวาคม ค.ศ.1974 วันบ็อกซิ่งเดย์ ครอบครัวลัทธ์ค้นพบห้องลับ ซ่อนอยู่ข้างหลังตู้โชว์ ห้องนั้นมีกลิ่นคาวชวนคลื่นเหียน มันคือกลิ่นเลือด!
ก่อนจะถึงปีใหม่ จอร์จ เริ่มสืบค้นประวัติของบ้านและสถานที่แห่งนี้ สมาคมประวัติศาสตร์ท้องถิ่นกล่าวว่าบ้านหลังนี้ตั้งอยู่ค่ายสำหรับอินเดียแดง มีทั้งคนป่วย คนบ้า คนใกล้ตาย แต่ไม่มีการฝังคนตายไว้ เพราะที่นี้มีปีศาจชุกชุม
1 มกราคม ค.ศ.1975 แคธี่เห็นร่างปีศาจอยู่ในเปลวไฟที่กำลังลุกโชนอยู่ในเคาผิง เมื่อไฟมอดลงปรากฏเป็นรูปศีรษะทีมีเขาเป็นรอยสีขาวอยู่บนคราบเขม่าที่ปล่องไฟ
คืนนั้นลมกรรโชกพัดผ่านเข้ามาในบ้าน มันพัดเอาผ้าคลุมเตียงปลิวหลุดไปจากเตียงของจอร์จและแคธี่ หน้าต่างบานที่หันหน้าไปทางเรือนแพเปิดออก
2 มกราคม ค.ศ.1975 พบรอยเท้าอยู่บนหิมะบริเดียวกับเรือนแพ เป็นรอยเท้าที่คล้ายกับปีศาจทิ้งเอาไว้
6 มกราคม ค.ศ.1975 จอห์นตื่นขึ้นกลางดึก เขามองภรรยาแต่เธอไม่อยู่ที่นั้น เขาเอื้อมมือไปเปิดไฟ แล้วก็เห็นเธอลอยอยู่บนเตียง แต่ใบหน้าเธอกลายเป็นใบหน้าของหญิงชราอายุสัก 90 ปี เขาจับผมเธอดึงลงมา เธอตื่นขึ้นดูหน้าตัวเองในกระจกแล้วร้องกรีดออกมา เพราะใบหน้านั้นค่อยๆ กลับเป็นปกติ แต่ทว่ามีรอยย่นที่ไม่เคยเห็นปรากฏขึ้นแทน
10 มกราคม ค.ศ. 1975 แคธี่ตื่นขึ้นมาพบว่าตนเองมีริ้วรอย ขีดข่วนเต็มตัว แต่พอถึงตอนค่ำ รอยนั้นกับหายไปอย่างลึกลับ คำสาปแช่งของวิญญาณในบ้านเริ่มออกฤทธิ์กับด้านอื่นของชีวิตในครอบครัว ธุรกิจของจอร์จกำลังตกต่ำถึงขั้นล้มละลาย
To Be Continue..