เมื่อย้ายร.ร.ใหม่ ได้อยู่กลุ่มเพื่อนกลุ่มนึงแต่กลับไม่ค่อยชอบ...

สวัสดีค่ะ วันนี้ดิฉันจะมาเล่าเรื่อง-พิมพ์เรื่องนี้ในกระทู้ Pantip ใช่ค่ะ ดิฉันจะเล่าเรื่องเพื่อนใหม่ กลุ่มใหม่ โรงเรียนใหม่ ในประสบการณ์ของดิฉันเอง
        คนทุกคนอยากจะมีเพื่อนแท้ที่เป็นรูปธรรม เพื่อนแท้ที่ไม่หวังสิ่งตอบแทนมากนัก หรือช่วยเหลือเท่าที่จำเป็น ซึ่งทุกๆ คนคิดไว้อยู่แล้ว แต่จะช่วงๆ ความคิดเท่านั้น ส่วนใหญ่ เราจะคิดตอนที่ว่า ครั้งแรกก่อนการนับเพื่อนและครั้งที่เพื่อนพยายามจะกดขี่เราแบบสุดๆ ดิฉันก็เป็นเช่นนั้นเช่นกันค่ะ เริ่มเรื่องเลยนะคะ

        ดิฉันอยู่ในกลุ่มเพื่อนประจำกลุ่ม โดยที่กลุ่มเพื่อนของดิฉัน เดิมมีทั้งหมด 8 คน ก่อนเหลือ 6 คน (รวมดิฉัน) ประมาณว่าเป็นกลุ่มขนาดกลาง ไม่ใหญ่มากไม่เล็กเกินไป ดิฉันค่อนข้างมีปัญหากับเพื่อน 3 คนในกลุ่ม ซึ่งไม่รู้จะหาเรื่องหรือแกล้งเรากันแน่ค่ะ เราเพลียจิตกับ 3 คนนี้พอระดับนึงเลย เริ่มที่ จากน้อย-มาก
1). ตีม (นามสมมติ) นางเป็นเพศชาย เป็นเกย์ (ที่พิมพ์ว่าเกย์ดิฉันไม่ได้เยียดเพศนะคะ) โดยเริ่มจากข้อดีคือ นางเป็นคนที่นิสัยที่ เวลาถามเรื่องงานวิชาใดนางก็จะตอบค่อนข้างตรงประเด็น ไม่ใส่อามรมณ์ขณะเวลาบอกหรือแนะนำอะไรต่างๆ นานา นิสัยความเป็นผู้นำได้โอเค มีการเลือกได้ตายตัว คือถ้านางว่าดีจริง ถือว่าโอเค แต่ถ้าคิดว่าสิ่งนั้นไม่ดี นางก็จะเลี่ยงหลบและบอกว่า "ไม่ดีนะ" มีความเอาใจใส่เพื่อนในกลุ่มปานกลาง นางจะไม่ค่อยจับผิดอะไรมาก เวลาพูดก็พูดตรงๆ ไม่อ้อมค้อมมากนัก ควบคุมสติตัวเองดีหน่อยไม่หลุดเวลาทำสิ่งอื่น ไม่โกหกเกินจริงและมีเหตุผลตัวเองพอมีระดับค่ะ ข้อเสีย นางอวดเก่ง และจะอวดรวยหน่อย พูดตรงเกินจนทำร้ายจิตใจอีกฝ่าย เอาชนะ ไม่แยเเสคนที่อ่อนแอ ทะนงค์ตัว รีบร้อนในเรื่องการงานจึงทำให้ผลงานออกมาไม่ค่อยดีเท่าที่ควรหรือทำงานแบบขอไปที เหยียดรูปลักษณ์ภายนอก หากใครทำดีก่อนตนถึงทำกลับแต่ไม่ถึงที่จะคืนความดีให้ ไม่รอใครหรือบ่นหากตนทำอย่างใดอย่างหนึ่งเสร็จ เช่น นางทำงานเสร็จแต่คนอื่นยังทำงานไม่เสร็จ ผลตามมาคือนางจะบ่นว่าทำไมถึงยังไม่เสร็จ อะไรประมาณนี้ค่ะ

- คนแรก ดิฉันมีปัญหาอย่างแรกเลยคือ "การทำงานเสร็จแต่ไม่รอคนอื่น" เห็นได้จากวิชาศิลปะอย่างชัดเจน เช่น อย่างตอนที่ดิฉันกำลังสีน้ำลงกระถางต้นไม้ที่วาดในกระดาษ มันก็ใกล้เสร็จแล้วด้วย ซึ่งนางและคนอื่นเสร็จแล้ว เลยเหลือแค่ดิฉัน ที่กำลังลงสีกระถางอย่างมีความสุข นางมาพูดกับดิฉันว่า "แค่ลงสีกระถางต้นไม้นี่ล่อไปเป็นชั่วโมง" เป็นประโยคที่ฉันต้องส่ายหัว ใช่ ดิฉันยอมรับว่างานนี้ทำช้าจริง แต่ดิฉันไม่ได้ทำงานแบบขอไปทีสักหน่อย การลงสีสำหรับฉันคือต้องลง 2-3 เลเยอร์ค่ะ ถ้าพู่กันจุ่มสีเข้มเกินไป ก็จุ่มพู่กันกับน้ำในขวดพลาสติกที่ถูกคัตเตอร์ตัดสักเล็กน้อย แล้วเคาะเบาๆ จึงจะลงสีได้ แต่ถ้าเมื่อสีอ่อนไป ก็จุ่มสีเพิ่มเพียงปลายพู่กันแค่นั้น ต้องรอบคอบด้วยค่ะ นี่แหละช้าเพราะตรงนี้แหละ
อย่างที่ 2 นางอวดเก่ง ตอนท่องภาษาอังกฤษปากเปล่า โดยท่องกับครู ส่วนครูมีหน้าที่ถามให้เด็กตอบ โดยการถามนักเรียนแบบสุ่มคำถามซะด้วย นางมั่นใจมากว่าฉันท่องได้ พอผ่านสักนาทีกลับมาที่โต๊ะแล้วพูดทำนองว่าท่องไม่ได้และ (จริงๆ วีรกรรมเยอะกว่านี้)
สุดท้าย นางแกล้ง แกล้งจนดิฉันรำคาญ ขนาดดิฉันคิดว่าดิฉันแกล้งคนอื่นหนักแล้ว นังนี่หนักกว่า ฉันไม่ถึงครึ่งเลย อันที่ดิฉันไม่ชอบที่สุดก็คือ การซ่อนกระเป๋านักเรียนของดิฉัน วางกระเป๋าหงายๆ ไว้ใต้ระเบียงเก้าอี้หินอ่อนยาวๆ อ่ะค่ะ ซึ่งใต้นั่นสกปรกมาก ฝุ่นสีขาวก็เต็มหลังกระเป๋าไปหมด แถมซ่อนรองเท้านักเรียนซะด้วย ไอ้ดิฉันก็หาตั้งนาน สุดท้ายนางยัดไว้ฝนกระเป๋าช่องใส่สมุดหนังสือและแฟ้มบางเก็บใบงาน ดิฉันไม่ชอบอีรองเท้านี่แหละ แรกๆ ดิฉันก็ตลกทั้งจิตใจทั้งสีหน้าไม่เกร็งเลยแม้แต่น้อย แต่นี่ อีกแล้วนะ เอาร้องเท้านักเรียนที่เราสวมใส่มาไว้ในกระเป๋าอ่ะ มันใช่เหรอ? แกล้งภาษาอะไรอ่ะ ดิฉันไม่ถือเรื่องของต่ำมาไว้กับของสูงมากหรอกค่ะ แต่ชั้นถือเรื่องมันสกปรกอ่ะ เราใช้เท้าสวมใส่ ขี้ฟงขี้ฝุ่นที่รองเท้าก็ติดกับกระเป๋านักเรียนอ่ะ ไหนจะหนังสืออีกตะหาก จนดิฉันตี้งวันเวลาว่า วันอาทิตย์จะต้องมีการนัดซักระเป๋า ประมาณตอน:10:00 หรืออาจจะตอนเที่ยงก็ได้ค่ะ เราไม่ค่อยชอบเลยกับการที่ยัดรองเท้านักเรียนไว้ในกระเป๋าเนี่ยค่ะ

(มัต่อ)

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่