บทที่แล้ว
https://pantip.com/topic/38272324
ความเดิมตอนที่แล้ว
หันกลับมายังชายชราอีกครั้ง ไม่มีอีกต่อไป ที่ยืนหลังเคาน์เตอร์เป็นชายหนุ่มหน้าตาตาดีในชุดขาวสะอาดกำลังยิ้มแย้มอย่างพอใจ เมา...นี่ต้องเป็นผลของความเมา เป็นเหตุผลเดียวพอจะนึกขึ้นมาได้ แต่ต่อให้เป็นบ้าปานใด ก็คงไม่มีทางเมาจนเห็นภาพหลอนเพราะไวน์แก้วเดียว ไม่มีทางเป็นไปได้
.....
“คุณไม่ได้หลอนไปเองหรอกครับ ผมรับรองได้” บาร์แมนหนุ่มผสมคำพูดและรอยยิ้มเข้าด้วยกันอย่างเหมาะสม “แต่จะว่าไปถึงจะจริงหรือไม่จริง มันก็ไม่สำคัญหรอกครับ คุณว่าไหม ดูสิครับ ...คนเหล่านี้พวกเขามีชีวิต มีตัวตน สัมผัสได้ คุณจะบอกว่าพวกเขาเป็นภาพหลอนก็ไม่ได้ ใช่ไหมครับ หรือคุณจะเถียง”
เออ..ไม่เถียงก็ไม่เถียง หรือไม่ แกบ้า ฉันก็บ้า...เมวินท์ทิ้งท้ายกับการหล่นคำสบถตัวเอง ระงับอารมณ์และสติ ถ้าหากรอบข้างคือความฟั่นเฟือน เขาเองก็ควรทำตัวกลมกลืนไปกับความผิดปกติ ให้มันรู้ว่าใครจะบ้ากว่าใคร ว่าแต่ชายชราหายไปไหน หมอนี่ทะลึ่งมาแทนที่ได้อย่างไร ช่างหัวมัน ต่อให้เจ้าหนุ่มคนนี้กลายเป็นลูกหมา วิ่งเล่นต่อหน้าต่อตาก็เรื่องของมัน ไม่อยากหาคำตอบอะไรทั้งนั้น แต่นี้ก็บ้ามากพอแล้ว
“ผมไม่ได้บ้า คุณก็ไม่ได้บ้านะครับ” เสียงของบาร์แมนหน้าระรื่นพูดขึ้นมา ราวกับจะรู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ มือของเขาเลื่อนไปมาอย่างชำนาญบริการ ขณะลูกค้าเดินมาสั่งเหล้า
“นายชื่ออะไร” ตัดสินใจถามตรง ๆ
“ผมฃื่อเจย์ครับ”
ไอ้เจย์... คำนี้ผลุดขึ้นมาทันที ไอ้เพื่อนรักหักเหลี่ยมโหด ทำไมมีชื่อเหมือนบาร์แมนคนนี้ ให้ตายเถอะ ...มือข้างหนึ่งกำแก้วในมือแน่น ขว้างใส่หน้ามันดีไหม... หรือจะเคี้ยวแก้วเล่นให้สะใจ แต่พอเห็นสายตาเยือกเย็นของอีกฝ่ายต้องปรับอารมณ์ลงในที่สุด คนเราไม่แปลก ถ้าจะชื่อเหมือนกัน แม้แต่รอยยิ้มกวนอวัยวะเบื้องต่ำนั่นก็ตาม
ฝานฝัน...คุณกำลังเล่นงานผมใช่ไหม....
Some dance to remember
Some dance to forget
So I called up the Captain
Please bring me my wine
นักร้องสาวสวยกำลังร้องเพลง Hotel California ของวง Eagles มันต่างกันว่า ตอนนี้เขาไม่ได้อยู่แคลิฟอร์เนีย แต่ใครบางคนที่กำลังออกไปวาดท่วงท่าหน้าเวที ด้วยใบหน้าเรียบเฉย คุ้นความรู้สึกหรือเกิน
ลิลิน...เธอคนนั้น นั่นเอง
ทำไมมาปรากฏตัวที่นี่ เธอไม่ได้อยู่ที่นี่ ลีลากรีดกรายงดงาม โดยไม่มีใครเข้ามาขัดขวางเส้นทางย่างเยื้อง แม้แต่กลุ่มคนขี้เมาสามสี่คนนั่งโต๊ะด้านหน้าก็พากันจ้องมองอย่างตื่นตะลึง ชุดยาวกี่เพ้าสีแดงสด ลายดอกเหมยสีชมพูตัดขอบขาว ผ่ากระโปรงด้านข้าง ทำให้เธอเหมือนเป็นบุปผางามรำร่ายมีชีวิต
สายตาสบกันโดยบังเอิญ
เธอเหวี่ยงตัวเองเป็นเคลื่อนที่เป็นแนวโค้งออกมาจากหน้าเวที มาหยุดนิ่งเบื้องหน้าพอดี
“ดีใจ ที่เจอกันอีกนะคะ” ทักทายด้วยน้ำเสียงผสมน้ำตาล ศีรษะได้รูปยังคงขยับไหวตามจังหวะเสียงเพลง เมวินท์รู้สึกลานตากับความเจิดจ้าท้าทาย
“ลิลิน คุณมาที่นี่ได้ยังไง”
“ก็มาเหมือนที่คุณมานั่นละค่ะ”
นั่นสิ เรามาได้ยังไง เขาเองก็ยังตอบคำถามให้ตัวเองไม่ได้ เครื่องดื่มของชายชรามีผลทำให้จักรวาลแปรปรวนสับสนไปหมด
“ผมเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองมาได้ยังไง”
“แล้วลินจะรู้ไหมคะ ว่าตัวเองมาได้ยังไง “หญิงสาวหัวเราะพร้อมคำพูดสนิทสนม นัยน์ตาเป็นประกาย ยื่นนิ้วเขี่ยกลีบกุหลาบสวยในช่อดอกไม้อย่างแผ่วละมุน “แต่ช่างเถอะค่ะ ในโลกเขาเราไม่จำเป็นต้องตอบคำถามกับทุกเรื่องหรอกค่ะ ป่วยการ ว่าแต่ช่อดอกไม้นี้คุณจะเอาไปให้ฝานฝันหรือคะ”
“คุณรู้จักเธอ” คำถามและความสงสัยรวมกันเป็นหนึ่งเดียว
“รู้จักสิคะ รู้จักพอ ๆ กับรู้จักตัวเองนั่นละค่ะ”
“ลิลิน คุณรู้จักตัวเองแค่ไหนกัน”
“เหมือนกับที่คุณรู้จักตัวเองนั่นละค่ะ” พูดจบเธอก็เหวี่ยงตัวเองอีกครั้ง หมุนคว้างออกจากหน้าเคาน์เตอร์ ไปบรรจบหน้าเวที สีหน้าเรียบเฉยขณะสลับเท้าตามจังหวะเพลง การสนทนากันไม่ได้ใจความมากนัก ฝานฝันกับลิลินรู้จักกันดีขนาดนี้ได้อย่างไร ไม่น่าเป็นไปได้ ทั้งสองไม่มีได้มีอะไรเหมือนกันเลยสักนิด
หันหน้ามาทางเคาน์เตอร์ เพื่อพบว่าเจ้าหนุ่มเจย์กำลังต้อนรับด้วยรอยยิ้มกวน ๆ เช่นเดิม
“ทำไม ไม่ให้ดอกไม้คุณลิลินล่ะครับ” ถามพลางรินเหล้าลงแก้วเลื่อนมาให้ “แก้วนี้ผมเลี้ยงเอง ฟรีครับ”
“ฉันไม่เคยบอกนาย ว่าจะให้ช่ออกไม้กับใคร”
“ผมรู้”
เอาอีกแล้ว ...แต่ละคนทำไมอ้อนมืออ้อนเท้าขนาดนี้ เอาหลังเท้าเชยคางดีไหม... ชายหนุ่มมองหน้า แต่ไม่พบพิรุธอะไรนอกจากรอยยิ้มระรื่นบรรจุประกายตาชนิดธรรมดา ที่ไม่น่าจะมีพิษมีภัยอะไรนอกจากกวนทีน
“พวกเราทุกคนต่างก็เป็นคนที่ถูกลบถูกลืมทั้งนั้นละครับ อย่าคิดอะไรมาก ทำตามที่หัวใจต้องการ” เสียงของหนุ่มเจย์ยังพูดไปเรื่อย เหมือนบ่นกับตัวเองมากกว่า ฟังแล้วสับสนจนต้องคว้าแก้วเหล้าขึ้นมาดื่มอย่างไม่ตั้งใจ แต่แล้วก็ต้องใจหายวาบ เมื่อนึกได้ว่าเพราะเหล้าไวน์ของชายชราไม่ใช่หรือทำให้ต้องมาอยู่ในฉากอันพิสดารแบบนี้
คิดได้เมื่อเสียงเพลงท่อนสุดท้ายแว่วเข้าหูพอดี... You can check out any time you like... But you can never leave... ... ....
เหมือนไฟกับพรึบลงกะทันหัน ทุกอย่างมืดสนิทและปราศจากสุ้มเสียง ไม่มีแม้แต่เสียงลมหายใจ เนิ่นนานทุกสิ่งจึงเริ่มกระจ่างชัดขึ้น เมวินท์พบว่าตัวเองกลับมายืนอยู่กลางถนนอันอ้างว้างโดดเดี่ยวอีกครั้ง อาคารบ้านเรือนรอบข้างปิดประตูหน้าตาราวกับเป็นเมืองร้างไร้ชีวิตชีวา บรรยากาศหม่นมัว สายลมคร่ำครวญผ่านซอกตึก ป้ายโฆษณากระแทกผนังอาคารดังปึงปังเป็นระยะ ทำให้ต้องหันซ้ายมองขวาอย่างไม่เข้าใจ เกิดบ้าอะไรขึ้นมาอีก...เอ้า...บ้าก็บ้า ไหน ๆ มาถึงขั้นนี้ ก็ไปให้ถึงที่สุด
เสียงดังเอี้ยด..เอี้ยด...คล้ายเสียงรถเข็นมาจากด้านหลัง เป็นเด็กหญิงชุดขาวหน้าตาน่ารักคนเดิมนั่นเอง คราวนี้เธอพารถเข็นคันเล็ก ๆ มาด้วย พอเข้ามาใกล้จึงมองเห็นว่าในรถเข็นจัดวางสิ่งของอย่างเป็นระเบียบ ด้วยข้าวของจุกจิกเหมือนของเด็กเล่นจำนวนมากมาย
“รับสินค้าอะไรดีคะ” เสียงใสทักทายพร้อมรอยยิ้ม
ชายหนุ่มจ้องมองหน้าหนูน้อยอย่างประหลาดใจ เธอคนนี้โผล่มาแต่ละครั้งไม่เหมือนเดิม แต่ที่แน่ ๆ การปรากฏตัวทุกครั้งนำความอบอุ่นใจมาด้วยเสมอ
“นี่หนูจ๋า บอกฉันทีได้ไหมว่า มันเกิดอะไรกับฉันกันแน่ อะไรคือความจริง อะไรคือความไม่จริง ฉันงงไปหมดแล้ว”
“ทุกอย่างคือความจริงทั้งนั้นละคะ” เด็กหญิงเงยหน้าขึ้นมามอง แววตาใสแจ๋วมีแววเห็นใจ “ อย่างน้อยก็เป็นความจริงของเรา แต่เป็นความจริงที่ถูกลบถูกลืมไป จะว่าไปนะคะ ถูกลบ กับถูกลืมมันก็ไม่ต่างกันเท่าไรหรอกค่ะ เป็นสิ่งที่ผู้คนไม่ต้องการ”
“ช่วยพูดให้ฉันเข้าใจมากกว่านี้ได้ไหม” น้ำเสียงอ้อนวอนสุดชีวิต
“นี่คือโลกที่เกิดมาจากความทรงจำที่ถูกลบไปยังไงละคะ พวกมนุษย์พากันลบความทรงจำที่พวกเขาคิดว่าไม่ดีทิ้งไป โดยคิดว่ามันจะทำให้ชีวิตเป็นปกติ ดีขึ้นและลืมเรื่องแย่ ๆ ที่เคยพบเคยกระทำ หรือเคยรับรู้ พวกเขาเหล่านั้นไม่รู้ว่า ความทรงจำที่ถูกลบไปไม่ได้หายไปไหน มันอยู่ที่นี่ค่ะ ไม่มีอะไรจะถูกลบได้อย่างสมบูรณ์หรอกค่ะ”
เด็กหญิงชี้นิ้วลงไปบนพื้น ชี้นิ้วขึ้นไปบนท้องฟ้า วาดนิ้วน้อย ๆ ไปรอบตัว ชี้นิ้วมือมายังตำแหน่งหัวใจของคู่สนทนา แล้วหันปลายนิ้วกลับมา ชี้เข้าหน้าอกด้านซ้ายของตัวเองในที่สุด “โลกของเรา ทุกอย่าง เป็นสิ่งที่ถูกลบทิ้งทั้งนั้นค่ะ”
“แล้วฉันเป็นใครกันแน่...” เสียงของเมวินท์แผ่วโหยใจจะขาด ความรู้สึกเจ็บลึกเร้นกับคำพูดของเด็กหญิง ถ้าเป็นจริง หมายความว่าตัวเขาเป็นเพียงสิ่งที่ถูกลบถูกลืมอย่างนั้นหรือ ทำไมชีวิตมันไร้ค่ามันแย่ขนาดนี้
“อย่าเสียใจไปเลยนะคะ” เสียงใส ๆ แว่วเข้าหูแฝงแววปลอบใจ ทำไมแน่หนู่คนนี้ดูเข้มแข็งกว่าเขามากมายนัก เธออยู่ในโลกแห่งการถูกลืมคนเดียวได้อย่างไร “ถึงพวกเราจะเป็นเศษเสี้ยวชีวิตที่ถูกลบถูกลืม แต่พวกเราก็มีเส้นทางของตัวเอง มีโลกของตัวเอง โดยไม่ต้องไปง้อ ไปงอน ตัวตนของเราในอีกโลกหนึ่งหรอกค่ะ”
“พวกเราตายไปแล้วใช่ไหม....”
“ไม่คะ พวกเรายังมีชีวิตอยู่ในโลกของพวกเรายังไงคะ มันอาจจะสับสน ลำดับเหตุการณ์และเวลา ไม่ได้เรียงอันดับกันอย่างในโลกของพวกมนุษย์ แต่เราก็อยู่กันได้ และมีความสุขด้วย ถ้าคุณเข้าใจ ถึงจะเป็นส่วนที่ถูกลบถูกลืมพวกเราก็มีสิทธิ์ที่จะมีความสุขตามประสาของเรานะคะ”
คำพูดของเธอฟังดูมีความเป็นผู้ใหญ่เกินวัย ล้วงมือลงไปหยิบของในรถเข็น หยิบเม็ดยาสีแดงยื่นมาให้ “แต่ถ้าคุณอยากจะรับรู้ว่าว่าตัวเองทำไมถึงต้องถูกลบถูกลืม หนูมียาวิเศษ ถ้าคุณกินเข้าไป ความทรงจำในอีกโลกหนึ่งของคุณจะกลับมาทันที คุณตัดสินใจเองนะคะ”
ชายหนุ่มรับยามาด้วยอาการงง ๆ “ยานี่ไม่ใช่ยาของเล่นนะหนู ล้อเล่นใช่ไหมนี่ ยาวิเศษมีที่ไหนกันนอกจากในนิทาน”
“มีที่นี่ยังไงละคะ” หนูน้อยยิ้มพลางพารถเข็นคันเล็กเดินหน้าต่อไป เพียงแต่ครั้งนี้เธอหยิบสิ่งของในรถเข็น ทิ้งลงตามถนน หลายชิ้นตามระยะทางที่ก้าวเดินไป ทำให้บนพื้นถนนมีตุ๊กตา ของเล่นเด็ก วางเรียงรายเป็นแนวยาว ชายหนุ่มมองอย่างไม่เข้าใจ แต่ก็อดเป็นห่วงไม่ได้
“หนู...วางของเล่นบนถนนทำไม”
“มันไม่ใช่ของหนูอีกต่อไป” เธอตอบ ด้วยน้ำเสียงไร้ความกังวล
“ก็...มันอยู่ในรถเข็นของหนู”
“พอวางมันลงไป ก็ไม่ใช่ของหนูอีกต่อไปแล้วค่ะ ของเล่นหนูอยู่ในตะกร้ารถเข็นต่างหาก พอพ้นตะกร้าออกมา หนูก็ไม่ได้เป็นเจ้าของมันแล้ว ใช่ไหมคะ”
...
รัก ลวง แค้น 4/2
https://pantip.com/topic/38272324
ความเดิมตอนที่แล้ว
หันกลับมายังชายชราอีกครั้ง ไม่มีอีกต่อไป ที่ยืนหลังเคาน์เตอร์เป็นชายหนุ่มหน้าตาตาดีในชุดขาวสะอาดกำลังยิ้มแย้มอย่างพอใจ เมา...นี่ต้องเป็นผลของความเมา เป็นเหตุผลเดียวพอจะนึกขึ้นมาได้ แต่ต่อให้เป็นบ้าปานใด ก็คงไม่มีทางเมาจนเห็นภาพหลอนเพราะไวน์แก้วเดียว ไม่มีทางเป็นไปได้
.....
“คุณไม่ได้หลอนไปเองหรอกครับ ผมรับรองได้” บาร์แมนหนุ่มผสมคำพูดและรอยยิ้มเข้าด้วยกันอย่างเหมาะสม “แต่จะว่าไปถึงจะจริงหรือไม่จริง มันก็ไม่สำคัญหรอกครับ คุณว่าไหม ดูสิครับ ...คนเหล่านี้พวกเขามีชีวิต มีตัวตน สัมผัสได้ คุณจะบอกว่าพวกเขาเป็นภาพหลอนก็ไม่ได้ ใช่ไหมครับ หรือคุณจะเถียง”
เออ..ไม่เถียงก็ไม่เถียง หรือไม่ แกบ้า ฉันก็บ้า...เมวินท์ทิ้งท้ายกับการหล่นคำสบถตัวเอง ระงับอารมณ์และสติ ถ้าหากรอบข้างคือความฟั่นเฟือน เขาเองก็ควรทำตัวกลมกลืนไปกับความผิดปกติ ให้มันรู้ว่าใครจะบ้ากว่าใคร ว่าแต่ชายชราหายไปไหน หมอนี่ทะลึ่งมาแทนที่ได้อย่างไร ช่างหัวมัน ต่อให้เจ้าหนุ่มคนนี้กลายเป็นลูกหมา วิ่งเล่นต่อหน้าต่อตาก็เรื่องของมัน ไม่อยากหาคำตอบอะไรทั้งนั้น แต่นี้ก็บ้ามากพอแล้ว
“ผมไม่ได้บ้า คุณก็ไม่ได้บ้านะครับ” เสียงของบาร์แมนหน้าระรื่นพูดขึ้นมา ราวกับจะรู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ มือของเขาเลื่อนไปมาอย่างชำนาญบริการ ขณะลูกค้าเดินมาสั่งเหล้า
“นายชื่ออะไร” ตัดสินใจถามตรง ๆ
“ผมฃื่อเจย์ครับ”
ไอ้เจย์... คำนี้ผลุดขึ้นมาทันที ไอ้เพื่อนรักหักเหลี่ยมโหด ทำไมมีชื่อเหมือนบาร์แมนคนนี้ ให้ตายเถอะ ...มือข้างหนึ่งกำแก้วในมือแน่น ขว้างใส่หน้ามันดีไหม... หรือจะเคี้ยวแก้วเล่นให้สะใจ แต่พอเห็นสายตาเยือกเย็นของอีกฝ่ายต้องปรับอารมณ์ลงในที่สุด คนเราไม่แปลก ถ้าจะชื่อเหมือนกัน แม้แต่รอยยิ้มกวนอวัยวะเบื้องต่ำนั่นก็ตาม
ฝานฝัน...คุณกำลังเล่นงานผมใช่ไหม....
Some dance to remember
Some dance to forget
So I called up the Captain
Please bring me my wine
นักร้องสาวสวยกำลังร้องเพลง Hotel California ของวง Eagles มันต่างกันว่า ตอนนี้เขาไม่ได้อยู่แคลิฟอร์เนีย แต่ใครบางคนที่กำลังออกไปวาดท่วงท่าหน้าเวที ด้วยใบหน้าเรียบเฉย คุ้นความรู้สึกหรือเกิน
ลิลิน...เธอคนนั้น นั่นเอง
ทำไมมาปรากฏตัวที่นี่ เธอไม่ได้อยู่ที่นี่ ลีลากรีดกรายงดงาม โดยไม่มีใครเข้ามาขัดขวางเส้นทางย่างเยื้อง แม้แต่กลุ่มคนขี้เมาสามสี่คนนั่งโต๊ะด้านหน้าก็พากันจ้องมองอย่างตื่นตะลึง ชุดยาวกี่เพ้าสีแดงสด ลายดอกเหมยสีชมพูตัดขอบขาว ผ่ากระโปรงด้านข้าง ทำให้เธอเหมือนเป็นบุปผางามรำร่ายมีชีวิต
สายตาสบกันโดยบังเอิญ
เธอเหวี่ยงตัวเองเป็นเคลื่อนที่เป็นแนวโค้งออกมาจากหน้าเวที มาหยุดนิ่งเบื้องหน้าพอดี
“ดีใจ ที่เจอกันอีกนะคะ” ทักทายด้วยน้ำเสียงผสมน้ำตาล ศีรษะได้รูปยังคงขยับไหวตามจังหวะเสียงเพลง เมวินท์รู้สึกลานตากับความเจิดจ้าท้าทาย
“ลิลิน คุณมาที่นี่ได้ยังไง”
“ก็มาเหมือนที่คุณมานั่นละค่ะ”
นั่นสิ เรามาได้ยังไง เขาเองก็ยังตอบคำถามให้ตัวเองไม่ได้ เครื่องดื่มของชายชรามีผลทำให้จักรวาลแปรปรวนสับสนไปหมด
“ผมเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองมาได้ยังไง”
“แล้วลินจะรู้ไหมคะ ว่าตัวเองมาได้ยังไง “หญิงสาวหัวเราะพร้อมคำพูดสนิทสนม นัยน์ตาเป็นประกาย ยื่นนิ้วเขี่ยกลีบกุหลาบสวยในช่อดอกไม้อย่างแผ่วละมุน “แต่ช่างเถอะค่ะ ในโลกเขาเราไม่จำเป็นต้องตอบคำถามกับทุกเรื่องหรอกค่ะ ป่วยการ ว่าแต่ช่อดอกไม้นี้คุณจะเอาไปให้ฝานฝันหรือคะ”
“คุณรู้จักเธอ” คำถามและความสงสัยรวมกันเป็นหนึ่งเดียว
“รู้จักสิคะ รู้จักพอ ๆ กับรู้จักตัวเองนั่นละค่ะ”
“ลิลิน คุณรู้จักตัวเองแค่ไหนกัน”
“เหมือนกับที่คุณรู้จักตัวเองนั่นละค่ะ” พูดจบเธอก็เหวี่ยงตัวเองอีกครั้ง หมุนคว้างออกจากหน้าเคาน์เตอร์ ไปบรรจบหน้าเวที สีหน้าเรียบเฉยขณะสลับเท้าตามจังหวะเพลง การสนทนากันไม่ได้ใจความมากนัก ฝานฝันกับลิลินรู้จักกันดีขนาดนี้ได้อย่างไร ไม่น่าเป็นไปได้ ทั้งสองไม่มีได้มีอะไรเหมือนกันเลยสักนิด
หันหน้ามาทางเคาน์เตอร์ เพื่อพบว่าเจ้าหนุ่มเจย์กำลังต้อนรับด้วยรอยยิ้มกวน ๆ เช่นเดิม
“ทำไม ไม่ให้ดอกไม้คุณลิลินล่ะครับ” ถามพลางรินเหล้าลงแก้วเลื่อนมาให้ “แก้วนี้ผมเลี้ยงเอง ฟรีครับ”
“ฉันไม่เคยบอกนาย ว่าจะให้ช่ออกไม้กับใคร”
“ผมรู้”
เอาอีกแล้ว ...แต่ละคนทำไมอ้อนมืออ้อนเท้าขนาดนี้ เอาหลังเท้าเชยคางดีไหม... ชายหนุ่มมองหน้า แต่ไม่พบพิรุธอะไรนอกจากรอยยิ้มระรื่นบรรจุประกายตาชนิดธรรมดา ที่ไม่น่าจะมีพิษมีภัยอะไรนอกจากกวนทีน
“พวกเราทุกคนต่างก็เป็นคนที่ถูกลบถูกลืมทั้งนั้นละครับ อย่าคิดอะไรมาก ทำตามที่หัวใจต้องการ” เสียงของหนุ่มเจย์ยังพูดไปเรื่อย เหมือนบ่นกับตัวเองมากกว่า ฟังแล้วสับสนจนต้องคว้าแก้วเหล้าขึ้นมาดื่มอย่างไม่ตั้งใจ แต่แล้วก็ต้องใจหายวาบ เมื่อนึกได้ว่าเพราะเหล้าไวน์ของชายชราไม่ใช่หรือทำให้ต้องมาอยู่ในฉากอันพิสดารแบบนี้
คิดได้เมื่อเสียงเพลงท่อนสุดท้ายแว่วเข้าหูพอดี... You can check out any time you like... But you can never leave... ... ....
เหมือนไฟกับพรึบลงกะทันหัน ทุกอย่างมืดสนิทและปราศจากสุ้มเสียง ไม่มีแม้แต่เสียงลมหายใจ เนิ่นนานทุกสิ่งจึงเริ่มกระจ่างชัดขึ้น เมวินท์พบว่าตัวเองกลับมายืนอยู่กลางถนนอันอ้างว้างโดดเดี่ยวอีกครั้ง อาคารบ้านเรือนรอบข้างปิดประตูหน้าตาราวกับเป็นเมืองร้างไร้ชีวิตชีวา บรรยากาศหม่นมัว สายลมคร่ำครวญผ่านซอกตึก ป้ายโฆษณากระแทกผนังอาคารดังปึงปังเป็นระยะ ทำให้ต้องหันซ้ายมองขวาอย่างไม่เข้าใจ เกิดบ้าอะไรขึ้นมาอีก...เอ้า...บ้าก็บ้า ไหน ๆ มาถึงขั้นนี้ ก็ไปให้ถึงที่สุด
เสียงดังเอี้ยด..เอี้ยด...คล้ายเสียงรถเข็นมาจากด้านหลัง เป็นเด็กหญิงชุดขาวหน้าตาน่ารักคนเดิมนั่นเอง คราวนี้เธอพารถเข็นคันเล็ก ๆ มาด้วย พอเข้ามาใกล้จึงมองเห็นว่าในรถเข็นจัดวางสิ่งของอย่างเป็นระเบียบ ด้วยข้าวของจุกจิกเหมือนของเด็กเล่นจำนวนมากมาย
“รับสินค้าอะไรดีคะ” เสียงใสทักทายพร้อมรอยยิ้ม
ชายหนุ่มจ้องมองหน้าหนูน้อยอย่างประหลาดใจ เธอคนนี้โผล่มาแต่ละครั้งไม่เหมือนเดิม แต่ที่แน่ ๆ การปรากฏตัวทุกครั้งนำความอบอุ่นใจมาด้วยเสมอ
“นี่หนูจ๋า บอกฉันทีได้ไหมว่า มันเกิดอะไรกับฉันกันแน่ อะไรคือความจริง อะไรคือความไม่จริง ฉันงงไปหมดแล้ว”
“ทุกอย่างคือความจริงทั้งนั้นละคะ” เด็กหญิงเงยหน้าขึ้นมามอง แววตาใสแจ๋วมีแววเห็นใจ “ อย่างน้อยก็เป็นความจริงของเรา แต่เป็นความจริงที่ถูกลบถูกลืมไป จะว่าไปนะคะ ถูกลบ กับถูกลืมมันก็ไม่ต่างกันเท่าไรหรอกค่ะ เป็นสิ่งที่ผู้คนไม่ต้องการ”
“ช่วยพูดให้ฉันเข้าใจมากกว่านี้ได้ไหม” น้ำเสียงอ้อนวอนสุดชีวิต
“นี่คือโลกที่เกิดมาจากความทรงจำที่ถูกลบไปยังไงละคะ พวกมนุษย์พากันลบความทรงจำที่พวกเขาคิดว่าไม่ดีทิ้งไป โดยคิดว่ามันจะทำให้ชีวิตเป็นปกติ ดีขึ้นและลืมเรื่องแย่ ๆ ที่เคยพบเคยกระทำ หรือเคยรับรู้ พวกเขาเหล่านั้นไม่รู้ว่า ความทรงจำที่ถูกลบไปไม่ได้หายไปไหน มันอยู่ที่นี่ค่ะ ไม่มีอะไรจะถูกลบได้อย่างสมบูรณ์หรอกค่ะ”
เด็กหญิงชี้นิ้วลงไปบนพื้น ชี้นิ้วขึ้นไปบนท้องฟ้า วาดนิ้วน้อย ๆ ไปรอบตัว ชี้นิ้วมือมายังตำแหน่งหัวใจของคู่สนทนา แล้วหันปลายนิ้วกลับมา ชี้เข้าหน้าอกด้านซ้ายของตัวเองในที่สุด “โลกของเรา ทุกอย่าง เป็นสิ่งที่ถูกลบทิ้งทั้งนั้นค่ะ”
“แล้วฉันเป็นใครกันแน่...” เสียงของเมวินท์แผ่วโหยใจจะขาด ความรู้สึกเจ็บลึกเร้นกับคำพูดของเด็กหญิง ถ้าเป็นจริง หมายความว่าตัวเขาเป็นเพียงสิ่งที่ถูกลบถูกลืมอย่างนั้นหรือ ทำไมชีวิตมันไร้ค่ามันแย่ขนาดนี้
“อย่าเสียใจไปเลยนะคะ” เสียงใส ๆ แว่วเข้าหูแฝงแววปลอบใจ ทำไมแน่หนู่คนนี้ดูเข้มแข็งกว่าเขามากมายนัก เธออยู่ในโลกแห่งการถูกลืมคนเดียวได้อย่างไร “ถึงพวกเราจะเป็นเศษเสี้ยวชีวิตที่ถูกลบถูกลืม แต่พวกเราก็มีเส้นทางของตัวเอง มีโลกของตัวเอง โดยไม่ต้องไปง้อ ไปงอน ตัวตนของเราในอีกโลกหนึ่งหรอกค่ะ”
“พวกเราตายไปแล้วใช่ไหม....”
“ไม่คะ พวกเรายังมีชีวิตอยู่ในโลกของพวกเรายังไงคะ มันอาจจะสับสน ลำดับเหตุการณ์และเวลา ไม่ได้เรียงอันดับกันอย่างในโลกของพวกมนุษย์ แต่เราก็อยู่กันได้ และมีความสุขด้วย ถ้าคุณเข้าใจ ถึงจะเป็นส่วนที่ถูกลบถูกลืมพวกเราก็มีสิทธิ์ที่จะมีความสุขตามประสาของเรานะคะ”
คำพูดของเธอฟังดูมีความเป็นผู้ใหญ่เกินวัย ล้วงมือลงไปหยิบของในรถเข็น หยิบเม็ดยาสีแดงยื่นมาให้ “แต่ถ้าคุณอยากจะรับรู้ว่าว่าตัวเองทำไมถึงต้องถูกลบถูกลืม หนูมียาวิเศษ ถ้าคุณกินเข้าไป ความทรงจำในอีกโลกหนึ่งของคุณจะกลับมาทันที คุณตัดสินใจเองนะคะ”
ชายหนุ่มรับยามาด้วยอาการงง ๆ “ยานี่ไม่ใช่ยาของเล่นนะหนู ล้อเล่นใช่ไหมนี่ ยาวิเศษมีที่ไหนกันนอกจากในนิทาน”
“มีที่นี่ยังไงละคะ” หนูน้อยยิ้มพลางพารถเข็นคันเล็กเดินหน้าต่อไป เพียงแต่ครั้งนี้เธอหยิบสิ่งของในรถเข็น ทิ้งลงตามถนน หลายชิ้นตามระยะทางที่ก้าวเดินไป ทำให้บนพื้นถนนมีตุ๊กตา ของเล่นเด็ก วางเรียงรายเป็นแนวยาว ชายหนุ่มมองอย่างไม่เข้าใจ แต่ก็อดเป็นห่วงไม่ได้
“หนู...วางของเล่นบนถนนทำไม”
“มันไม่ใช่ของหนูอีกต่อไป” เธอตอบ ด้วยน้ำเสียงไร้ความกังวล
“ก็...มันอยู่ในรถเข็นของหนู”
“พอวางมันลงไป ก็ไม่ใช่ของหนูอีกต่อไปแล้วค่ะ ของเล่นหนูอยู่ในตะกร้ารถเข็นต่างหาก พอพ้นตะกร้าออกมา หนูก็ไม่ได้เป็นเจ้าของมันแล้ว ใช่ไหมคะ”
...