จากกรณีที่มีข่าวว่า
ทาง“แจ็ก หม่า” ยื่นข้อเสนอใหม่ “ฮับโลจิสติกส์” ในไทย ขอเปลี่ยนจากการ “เช่าที่ดิน” เป็น “ซื้อที่ดิน” แทน ปั้นฮับไทยให้ยิ่งใหญ่ EEC-BOI หาช่องดึงอาลีบาบาลงทุน เปิด พ.ร.บ. EEC ให้ถือกรรมสิทธิ์ได้แค่เช่า 49+50 ปี พ.ร.บ. BOI ให้ซื้อที่ดินได้แต่สิทธิประโยชน์น้อยกว่า ส่วน WHA มั่นใจดีลเช่าที่ยังไม่ล้ม
ทางสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) ขอเรียนชี้แจง ดังนี้
1. กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนอุตสาหกรรมได้อนุญาตให้บริษัทต่างชาติเข้ามาซื้อที่ดินเพื่อประกอบกิจการอยู่แล้ว และต้องขายเมื่อเลิกกิจการ
โดยข้อเท็จจริงแล้ว กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนอุตสาหกรรมได้อนุญาตให้บริษัทต่างชาติเข้ามาซื้อที่ดินอยู่แล้ว แต่เป็นการซื้อและครอบครองเฉพาะในช่วงที่ประกอบกิจการ ซึ่งเมื่อเลิกประกอบกิจการก็ต้องขายที่ดินนั้นออกไป เช่น
•
พระราชบัญญัติส่งเสริมการลงทุนพ.ศ. 2520 มาตรา 27 ผู้ได้รับการส่งเสริมแม้เป็นบริษัทต่างชาติก็จะได้รับอนุญาตให้ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินเพื่อประกอบกิจการที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนตามจำนวนที่คณะกรรมการพิจารณาเห็นสมควร หากเลิกกิจการโอนกิจการนั้นให้แก่ผู้อื่น ต้องจำหน่ายที่ดินภายใน 1 ปี นับแต่วันที่เลิกหรือโอนกิจการ
•
พระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2522 มาตรา 44 กำหนดให้ผู้ประกอบอุตสาหกรรมและผู้ประกอบพาณิชยกรรมแม้เป็นบริษัทต่างชาติ ก็สามารถถือครองกรรมสิทธิ์ในที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมหรือในเขตประกอบการเสรี แต่หากเลิกกิจการหรือโอนกิจการให้แก่ผู้อื่น ต้องจำหน่ายที่ดินภายในเวลา 3 ปี
ประเทศไทยก็ได้มีบริษัทต่างชาติที่ซื้อที่ดินมาเพื่อประกอบการมากกว่า 30 ปี ดังนั้นโดยหลักการแล้ว การให้บริษัทอาลีบาบาถือครองที่ดินในระยะเวลาที่มาลงทุนจึงไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ และควรให้สามารถให้ลงทุนในที่ดินได้เช่นเดียวกับบริษัทต่างชาติอื่นๆ
2. กรณีอาลีบาบาเป็นการดำเนินการโดยปรกติไม่ได้เป็นเรื่องที่รัฐบาลต้องนำการถือครองที่ดินกับการลงทุน หรือสูญเสียอธิปไตยแต่อย่างไร
เรื่องนี้จึง “ไม่ใช่เป็นการแลกการถือครองที่ดินกับการลงทุนของกลุ่มอาลีบาบา” แต่เป็น “การดำเนินการโดยปกติในการส่งเสริมการลงทุน” ซึ่งเป็นงานประจำของสำนักงานส่งเสริมการลงทุนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ที่จะต้องพิจารณา ขนาด รูปแบบ การลงทุน ควบคู่ไปกับการให้สิทธิประโยชน์ด้านการถือครองที่ดิน ภาษี การนำเข้าเครื่องจักรและอื่นๆ ให้เป็นไปตามเจตนารมย์ของการให้สิทธิประโยชน์การลงทุนที่ดำเนินการมาตลอด
อย่างไรก็ตาม ทางสำนักงานฯ ยินดีให้ข้อมูลตอบข้อซักถามเพิ่มเติม โดยให้ติดต่อได้ที่ 0-20338000
ที่มา :
สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.)
EEC - ชี้แจงประเด็นนักลงทุนต่างชาติซื้อที่ดินในพื้นที่ลงทุน
ทางสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) ขอเรียนชี้แจง ดังนี้
1. กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนอุตสาหกรรมได้อนุญาตให้บริษัทต่างชาติเข้ามาซื้อที่ดินเพื่อประกอบกิจการอยู่แล้ว และต้องขายเมื่อเลิกกิจการ
โดยข้อเท็จจริงแล้ว กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนอุตสาหกรรมได้อนุญาตให้บริษัทต่างชาติเข้ามาซื้อที่ดินอยู่แล้ว แต่เป็นการซื้อและครอบครองเฉพาะในช่วงที่ประกอบกิจการ ซึ่งเมื่อเลิกประกอบกิจการก็ต้องขายที่ดินนั้นออกไป เช่น
• พระราชบัญญัติส่งเสริมการลงทุนพ.ศ. 2520 มาตรา 27 ผู้ได้รับการส่งเสริมแม้เป็นบริษัทต่างชาติก็จะได้รับอนุญาตให้ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินเพื่อประกอบกิจการที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนตามจำนวนที่คณะกรรมการพิจารณาเห็นสมควร หากเลิกกิจการโอนกิจการนั้นให้แก่ผู้อื่น ต้องจำหน่ายที่ดินภายใน 1 ปี นับแต่วันที่เลิกหรือโอนกิจการ
• พระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2522 มาตรา 44 กำหนดให้ผู้ประกอบอุตสาหกรรมและผู้ประกอบพาณิชยกรรมแม้เป็นบริษัทต่างชาติ ก็สามารถถือครองกรรมสิทธิ์ในที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมหรือในเขตประกอบการเสรี แต่หากเลิกกิจการหรือโอนกิจการให้แก่ผู้อื่น ต้องจำหน่ายที่ดินภายในเวลา 3 ปี
ประเทศไทยก็ได้มีบริษัทต่างชาติที่ซื้อที่ดินมาเพื่อประกอบการมากกว่า 30 ปี ดังนั้นโดยหลักการแล้ว การให้บริษัทอาลีบาบาถือครองที่ดินในระยะเวลาที่มาลงทุนจึงไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ และควรให้สามารถให้ลงทุนในที่ดินได้เช่นเดียวกับบริษัทต่างชาติอื่นๆ
2. กรณีอาลีบาบาเป็นการดำเนินการโดยปรกติไม่ได้เป็นเรื่องที่รัฐบาลต้องนำการถือครองที่ดินกับการลงทุน หรือสูญเสียอธิปไตยแต่อย่างไร
เรื่องนี้จึง “ไม่ใช่เป็นการแลกการถือครองที่ดินกับการลงทุนของกลุ่มอาลีบาบา” แต่เป็น “การดำเนินการโดยปกติในการส่งเสริมการลงทุน” ซึ่งเป็นงานประจำของสำนักงานส่งเสริมการลงทุนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ที่จะต้องพิจารณา ขนาด รูปแบบ การลงทุน ควบคู่ไปกับการให้สิทธิประโยชน์ด้านการถือครองที่ดิน ภาษี การนำเข้าเครื่องจักรและอื่นๆ ให้เป็นไปตามเจตนารมย์ของการให้สิทธิประโยชน์การลงทุนที่ดำเนินการมาตลอด
อย่างไรก็ตาม ทางสำนักงานฯ ยินดีให้ข้อมูลตอบข้อซักถามเพิ่มเติม โดยให้ติดต่อได้ที่ 0-20338000
ที่มา : สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.)