หลังจากไม่ได้ทำกระทู้รีวิวที่พักมานาน ล่าสุดที่เคยทำไว้ก็คือที่พักแบบ dorm สำหรับผู้หญิงที่ญี่ปุ่น วันนี้ก็เลยอยากจะมาทำกระทู้ภาพสวย ๆ แต่จะสวยสำหรับคนอื่นรึเปล่าอันนี้ก็ไม่แน่ใจ แต่สำหรับเราแล้ว คนที่ไม่มีศิลปะใดๆ ถ่ายรูปคนยังไม่สวยเลย ได้เท่านี้ก็พอใจมากแล้ว มีแต่งสี ครอปภาพนิดหน่อย เกริ่นก่อนว่าทริปนี้ไปทำงาน แล้วก็เลยขอลาพักร้อนอยู่เที่ยวต่อ มีเอกสารมาทำงานครบ ประจวบเหมาะกับรอบนี้เป็นรอบที่ 3 ของปีที่มาเกาหลี ก็เลยอาจจะผ่าน ตม ง่ายหน่อย ไม่ถงไม่ถามเรื่องสุขภาพซักคำ อ่าว ไม่ใช่ ก็เลยผ่าน ตม ไปได้แบบง่ายๆ ไม่ต้องงัดเอกสารหลักฐานเด็ดใด ๆทั้งนั้น

ทริปนี้พูดเลยว่าเตรียมตัวก่อนมาล่วงหน้าจริงๆคือ 2 เดือน เริ่มหาที่พัก จองที่พักก่อนเลย เพราะว่าช่วงที่ไปก็เริ่มมีใบไม้เปลี่ยนสี อากาศกำลังดี ไม่หนาวไป ถือว่าเป็นช่วงเกือบพีคของฤดู Autumn in my heart โรงแรมส่วนใหญ่ก็มีคนจองล่วงหน้ากันไปแล้ว ไหนจะต้องหา location ที่ปลอดภัย สำหรับผู้หญิงคนเดียวอีก โรงแรมกลางใจเมืองก็ราคาสูงลิ่ว กว่าจะจองที่พักได้ก็เหนื่อยไปหลายวัน ครั้งนี้เราเลือกพักที่เมียงดง แหล่ง Shopping ใจกลางเมืองสุดๆ จริง ๆก็ไม่ได้ชอบย่านนี้หรอก พลุกพล่าน มีแต่นักท่องเที่ยว ครั้งก่อน ๆที่มาก็เลยมักจะเลือกแถว ฮงแด ฮงอิก มากกว่า เพราะว่าวัยรุ่นเยอะ ชิคๆ มีคาเฟ่ ร้านอาหารราคานักศึกษาให้เลือก แต่สุดท้ายตัดสินใจเลือกเมียงดง เพราะรู้สึกว่า มาคนเดียว อยู่คนเดียว เดินคนเดียว อยู่ในย่านวัยรุ่นที่มีแต่คนอยู่กันเป็นกลุ่ม เดี๋ยวจะได้เหงายิ่งกว่าเดิม เลยเปลี่ยนใจ เลือกที่พักกลางเมืองนี่แหละ อยู่มันกลางเมียงดงไปเลย ต่อให้เดินดึกดื่นแค่ไหนก็ไม่น่ากลัว เราอยู่ซอยข้างร้าน Zara เป็น Hostel ที่ต้องขึ้นลิฟท์มาชั้น 4 เพราะว่า 2 ชั้นล่างเป็นร้านอาหาร

ขอนำภาพจาก google street มาประกอบเพื่อให้เห็นภาพเล็กน้อย location คือดี กลางเมียงดงสุด แต่ว่าขอไม่แนะนำ เพราะจากรูปคือดีมาก แต่ของจริงคือห้องเก่ามาก wallpaper หลุดเป็นหย่อม ๆ ห้องน้ำมีเชื้อราแบบว่าเยอะ พื้นเหมือนไม่สะอาด แล้วก็ห้องเป็น digital door lock แต่ไม่มี manual lock จากด้านในนะ ก็เลยรู้สึกไม่ค่อยปลอดภัย เพราะว่าห้องเราก็อยู่หน้าบันไดทางขึ้นมาจากชั้น 3 ที่เป็น reception เลย แม้ว่าข้างล่างสุดของตึกจะเป็นกึ่ง mart เล็กๆที่มีของฝากขายเยอะ ไม่ต้องแบกหรือว่าขนไกลให้เหนื่อย เลยคิดว่า รอบหน้าคงบาย ขอไปหาที่พักที่อื่นดีกว่า
ปกติรอบก่อน ๆ ที่มาเกาหลี เราจะชอบไป Lotte Mart เพื่อซื้อขนม ของฝาก แต่เดี๋ยวนี้ไม่ต้องเลย ร้านขนมในเมียงดงเยอะมาก คือไม่ต้องไปหิ้ว ไปแพคลงกล่องเองให้เหนื่อยอีกแล้ว อยู่เมียงดงมีทุกอย่างไปเลยจ้า ราคาก็ไม่ได้ต่างกับ lotte mart มากเท่าไหร่ แล้วยิ่งพักอยู่ที่นี่ คือซื้อมาลองกินก่อนแล้วถ้าอร่อยค่อยมาซื้อวันหลังเป็นของฝากยังได้ เพราะว่าหลายครั้งซื้อแล้วไม่ได้กินเอากลับไปถึงไทย แทบอยากปาทิ้ง หิ้วมาทำไมให้หนักไปอีกกกก
ก่อนมาทริปนี้ เราค่อนข้างกล้า ๆ กลัว ๆ เพราะว่าเป็นการเที่ยวคนเดียวครั้งแรก ต้องอยู่เองคนเดียว กินข้าวคนเดียว ไปไหนคนเดียว แม้ว่าทริปก่อน ๆ อาจจะมีแยกย้ายกับเพื่อนไปตามสถานที่ที่ตัวเองชอบไม่เหมือนกันบ้าง แต่อันนั้นก็คือ อย่างมากก็ครึ่งวัน แต่นี่ต้องอยู่คนเดียวเต็มวัน น้ำตาจะไหล กลัวไปหมดทุกสิ่งอย่าง กลัวเหงาก็คงที่สุดแล้วมั้งสำหรับคนไม่เคยเที่ยวคนเดียวมาก่อน แต่จากประสบการณ์ครั้งนี้ที่ต้องอยู่คนเดียวนาน 2 คืน 2 วันเต็ม ๆ ก็เลยจะมาแชร์ว่า ผู้หญิงคนเดียว เที่ยวโซลคนเดียว ไปไหนได้บ้าง
หมุดแรกหลังจากแยกย้ายกับคนอื่น ๆ เพราะว่าเค้าไปขึ้นเครื่องกลับไทยกันแล้ว นั่นก็คือ DDP LED Rose Garden ที่นัมแดมุน
จริง ๆ เคยไป DDP แล้วครั้งนึง เมื่อตอนต้นปี แล้วคือยังไง คือตอนนั้นอากาศติดลบ อยู่ข้างนอกนานไม่ได้ เดินวนไปวนมา นึกว่าสวนดอกไม้อันโด่งดัง มันต้องอยู่ข้างหน้าแน่ ๆ ออกมาจากทางออกรถไฟฟ้าต้องเจอแน่นอน สรุปคือ บ่ช่ายยยย หาไม่เจอจ้า รอบนี้เลยมาแก้มือ ยังไงก็ต้องหาให้เจอให้ได้ ก็คือ ถ้าออกมาจากทางออกรถไฟฟ้าแล้วเจอ shop Kakao ให้ขึ้นมาชั้นบน เดินทะลุไปด้านหลัง มันจะแอบๆอยู่แถวนั้นนั่นแหละ เดี๋ยวก็จะเจอเอง แนะนำให้มากลางคืน ช่วงนี้เค้าเปิดไฟตลอดแล้ว ความยากของการมาคนเดียวคือ ดอกไม้นี่ถ่ายอยากมาก เซลฟี่ก็แล้ว ไม่รอด พยายามหาคนถ่ายให้ก็แล้ว ก็ไม่มี สุดท้ายเลยยอมแพ้ ได้มาเป็นรูปวิวแบบนี้เนี่ยแหละ พอใจละ
หลังจากคืนแรกผ่านไปที่เหงาสุด ต้องอยู่กับห้องน้ำสยองที่เต็มไปด้วยเชื้อรา วันต่อมาเราก็เลยรีบออกจากห้องอย่างไว เนื่องจากพยากรณ์วันนี้คือ ฝนตกจ้า แผนที่จะไปสวนฮานึล (haneul park) ก็ต้องถูกเปลี่ยนเป็นห้างแทน สถานที่ที่เราพุ่งเป้าไปตั้งแต่ห้างเปิดก็คือ Coex Mall เพราะเค้ามีสถานที่ใหม่ชิค ๆ ที่คนเกาหลีแนะนำว่าให้ไปถ่ายรูปให้ได้ ก็คือ Starfield Library นั่นเอง ดูจากรีวิว คิดว่าจะใหญ่กว่านี้ แต่อะไรก็ไม่โชคดีเท่ากับไปแล้วโซนตรงกลางปรับปรุงพอดีเลยจย้า เดินจากทางออกรถไฟฟ้า เข้ามาในห้างไม่ต้องกลัวหลง แม้ห้างจะใหญ่ แต่คือมีป้ายบอกทางตลอด สงสัยกำลังฮิตจริง


ขออภัยที่รูปแตก คือพอลงรูปแล้ว เราก็เป็นอันว่าลบออกจากกล้องในทันที อันนี้ก็คือไป capture จาก ig ที่ลงไว้ มุมภาพนี้ก็คือเลือก crop มาแล้ว เราใช้เวลาอยู่ที่นี่นานมาก เพราะพยายามหาว่า เอ๊ะ มุมไหนนะที่เค้าถ่ายลง ig กันสวย ๆ แถมถ่ายยังไงก็ติดสแลนทุกมุม ห้างที่นี่ดีที่เป็นห้างใหญ่ หรือใครจะแวะไปวัดพงอึนซาใกล้ ๆก็ได้ แต่เราเคยไปมาแล้ว 2 ครั้ง ครั้งนี้เลยขอบาย ขออยู่เดิน A Land เงียบ ๆ ดีกว่า A Land ที่นี่ใหญ่มาก ใครมีโอกาสได้ไป Coex mall ขอให้ได้ไปแวะดูก็จะหลุดเข้าไปได้นานหลายสิบนาที เพลินเพลินมากเลยแม้จะไม่ได้อะไรติดมือกลับมาซักอย่าง บอกก่อนทริปนี้เน้นเที่ยว ไม่เน้น shop แม้ว่าสุดท้ายแล้วน้ำหนักกระเป๋าจะเกือบเกินก็ตาม
หลังจากจบจาก Coex mall เราก็วางแผนไปต่อที่ garosugil ถนนสำหรับคนชิค ๆที่ดังสุด ๆ ใครมาโซลต้องมาเหยียบที่นี่ โดยเฉพาะฤดูใบไม้เปลี่ยนสีที่เค้าว่าจะสวยกว่าฤดูอื่น ๆ เป้าหมายที่เราตั้งใจมาถนนนี้มีอยู่ 3-4 อย่าง อย่างแรกก็คือ Cafe kitsune ดูจากรูปรีวิวแล้ว เป็นคาเฟ่ที่ทางเข้าเหมือนป่าไผ่ แต่พอไปถึง อ้าว ป่าแตก คนอย่างเยอะ เยอะทุกมุม ทุกตำแหน่ง ทุกพื้นที่ จากที่อยากจะนั่งจิบกาแฟชิว ๆก็เลยทำได้แค่ หามุมถ่ายรูปดี ๆ ซื้อของตามที่เพื่อน order มาแล้วก็จากไป
อันนี้คือมุมภาพมหาชนที่เลือกมาแล้ว ว่าต้องได้ถ่าย ซูมเข้าไปค่ะ เดินเข้าไปไม่ได้ เพราะคนถ่ายเป็น BG กันเยอะมาก ๆ
ส่วนอันนี้คือความเป็นจริงจ้า นอกจากที่นี่แล้ว ถนนเส้นนี้ยังมีอีกหลายอย่างที่น่าสนใจ เช่น shop เครื่องสำอางของ จอง แซม มุล ที่ใหม่ดาวิกามาเป็น presenter หรือ Shop ที่มีขาย skincare ของ ordinary แม้ว่าหน้าร้านจะทำให้หาไม่เจอ ต้องเดินวนอยู่หลายรอบก็ตาม รวมถึงร้านครัวซองค์ที่เค้าว่าดัง แต่ว่าหาไม่เจอนะ เพราะว่าร้านปิดแบบ permanently closed กันไปเลย อันนี้ google บอกมาตอนหยุดอยู่ที่ location ที่ปักหมุดไว้ สุดท้ายจากที่หวังว่าจะมานั่งร้านคาเฟ่ชิค ๆ ก็กลายเป็นทริปซื้อของ เดินชมเมืองไปโดยปริยาย
จบจากทุกภารกิจที่นี่แล้ว อยู่ดี ๆ พายุก็เข้า จากที่พยากรณ์ไว้ว่าจะตกตั้งแต่เช้า กลายเป็นว่ามาตกช่วงบ่าย ซึ่งเรานั้น กำลังจะไปสะพานริมแม่น้ำพอดี หลังจากหลบฟ้า หลบฝน ที่พัดซะร่มเกือบพัง โชคดีทีเป็นร่มญี่ปุ่น โดนไต้ฝุ่นก็ยังไม่พังเลยจ้า ของเค้าดีจริง ๆนะ ทางเราก็เดินทางไปยัง Banpo Hangang Park ที่ซึ่งคนเกาหลีแนะนำให้มา บอกว่าช่วงค่ำ ๆจะมีโชว์น้ำพุและแสงไฟที่สะพาน
อันนี้คือรูปจาก google ที่ขอยืมมาแปะให้เห็นภาพ จริง ๆ เราอยากมาที่นี่นานแล้ว แต่ก็ไม่รู้ทำไมถึงไม่ได้มาสักที รอบนี้ดูจาก google map เห็นว่าอยู่ไม่ไกลจาก garosugil เท่าไหร่ ก็เลยขอไปสักครั้งละกัน ด้วยความที่ไม่อยากนั่งรถไฟฟ้า เพราะอ่านรีวิวแล้วเค้าบอกว่า ถ้าเดินจากสถานี Seoul express bus terminal จะไกลมากๆ ทางเรานั้นก็เลยขอขึ้นรถเมล์จาก garosugil ไปเลยจ้า เค้าบอกว่าให้ลงป้ายรถเมล์แถวๆสถานี sinbanpo ซึ่งไม่ยากค่ะ ขึ้นถูก ลงถูก แต่อากู๋จะบอกให้หนูเดินข้ามทางด่วนไม่ด้ายยยยย หรือสุดท้ายอาจจะเป็นเราที่โง่เองที่เดินไปไม่ถูก เดินไปเดินมาจากจุดที่ลงรถเมล์ ก็ไปเจอเหมือนหมู่บ้านอพาร์ทเมนต์เก่าๆ แบบว่า หลอนไปอี๊กกกกกก
เส้นทึบคือที่อากู๋บอกให้เดิน นี่ก็เดินไปจนถึงอพาร์ทเมนต์หรู แล้วยังไงต่อฟระ เป็นทางด่วนอยู่ข้างหน้า เลยหักเลี้ยวไปเจอภาพนี้
อันนี้คือภาพจาก google map เช่นกัน เพราะตอนนั้นสับขาอย่างไว ไม่สนใจอะไรแล้วจ้า ต้องนึกภาพตามว่า บรรยากาศ 4 โมงที่เหมือนใกล้จะ 6 โมง ไม่คนเดินเลย ตึกเป็นตึกเก่าแบบนี้ทุกตึก เงียบสุด ระหว่างทางที่เดินมองเข้าไปก็เจอทางเข้าตึกเป็นระยะ มืดๆ เป็นลิฟท์อยู่ข้างใน ตอนนั้นถอดใจแล้วว่าจะเอายังไงดี จะกลับเลยดีมั้ยวะ ไม่ไปแล้วสะพงสะพาน กลัวทั้งคน กลัวทั้งผี (อันนี้คิดไปเอง) สุดท้ายยอมล่าถอย แม้ google จะบอกว่ามีทางลัดเด้อ เดินต่อไปได้ก็ตาม กลับออกมาถนนใหญ่ ซึ่งก็คือนั่งมาลง Seoul express bus terminal ยังจะใกล้กว่า สุดท้ายหนทางก็เลยเป็นแบบเส้นประในรูปนั่นเอง
เมื่อมาถึงสะพาน Banpo แล้วก็พีคไปอีกเมื่อพบว่าไม่ได้หาข้อมูลมาก่อนว่าเค้าจะเปิดไฟกับน้ำพุรอบแรกคือ ทุ่มครึ่งจ้า และ ณ เวลานั้นที่มาถึงคือ จะ 5 โมงเย็น นี่เราจะอยู่รอดีมั้ย ไหน ๆก็มาแล้ว แล้วจะอยู่ทำอะไรอีกหลายชั่วโมง หลังจากเดินถ่ายรูปจนพอใจก็เลยขอบายดีกว่า ไว้ครั้งหน้ามีโอกาสค่อยมาใหม่ละกัน เพราะว่าไม่รู้จะกลับไป Seoul express bus terminal ยังไง เดี๋ยวมืดแล้วจะน่ากลัวเหมือนตอนขามา ก็เลยว่ากด google map ขึ้นรถเมล์กลับดีกว่า
อันนี้คือภาพที่ได้ ก่อนจะต้องบ๊ายบายกันไป จากนั้นก็ขึ้นรถเมล์ตรงนั้นแหละ แล้วทำไมตอนแรกมันไม่บอกให้เราขึ้นมาลงที่นี่ฟระ ปล่อยให้เดินหลงตั้งนาน กลับมา Seoul express bus terminal กันอีกรอบ แวะเข้า Halff cafe ที่ปักหมุดไว้หน่อย จะได้สบายใจ หายเหนื่อย ปลอบขวัญที่เดินหลงอยู่ในดงตึกเก่ามานาน cafe นี้ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายนะ เพราะว่ามันอยู่ในห้างไง google พาเดินไปไม่ถูก แล้วห้างดันใหญ่อีก ก็เลยต้องอาศัยดูจากรูปรีวิว บริบทโดยรอบว่ามันควรจะอยู่ตรงไหนกันแน่
[CR] รีวิวผู้หญิงคนเดียวเที่ยวเกาหลีเอง 2 วันไปไหนได้บ้าง
ทริปนี้พูดเลยว่าเตรียมตัวก่อนมาล่วงหน้าจริงๆคือ 2 เดือน เริ่มหาที่พัก จองที่พักก่อนเลย เพราะว่าช่วงที่ไปก็เริ่มมีใบไม้เปลี่ยนสี อากาศกำลังดี ไม่หนาวไป ถือว่าเป็นช่วงเกือบพีคของฤดู Autumn in my heart โรงแรมส่วนใหญ่ก็มีคนจองล่วงหน้ากันไปแล้ว ไหนจะต้องหา location ที่ปลอดภัย สำหรับผู้หญิงคนเดียวอีก โรงแรมกลางใจเมืองก็ราคาสูงลิ่ว กว่าจะจองที่พักได้ก็เหนื่อยไปหลายวัน ครั้งนี้เราเลือกพักที่เมียงดง แหล่ง Shopping ใจกลางเมืองสุดๆ จริง ๆก็ไม่ได้ชอบย่านนี้หรอก พลุกพล่าน มีแต่นักท่องเที่ยว ครั้งก่อน ๆที่มาก็เลยมักจะเลือกแถว ฮงแด ฮงอิก มากกว่า เพราะว่าวัยรุ่นเยอะ ชิคๆ มีคาเฟ่ ร้านอาหารราคานักศึกษาให้เลือก แต่สุดท้ายตัดสินใจเลือกเมียงดง เพราะรู้สึกว่า มาคนเดียว อยู่คนเดียว เดินคนเดียว อยู่ในย่านวัยรุ่นที่มีแต่คนอยู่กันเป็นกลุ่ม เดี๋ยวจะได้เหงายิ่งกว่าเดิม เลยเปลี่ยนใจ เลือกที่พักกลางเมืองนี่แหละ อยู่มันกลางเมียงดงไปเลย ต่อให้เดินดึกดื่นแค่ไหนก็ไม่น่ากลัว เราอยู่ซอยข้างร้าน Zara เป็น Hostel ที่ต้องขึ้นลิฟท์มาชั้น 4 เพราะว่า 2 ชั้นล่างเป็นร้านอาหาร
ขอนำภาพจาก google street มาประกอบเพื่อให้เห็นภาพเล็กน้อย location คือดี กลางเมียงดงสุด แต่ว่าขอไม่แนะนำ เพราะจากรูปคือดีมาก แต่ของจริงคือห้องเก่ามาก wallpaper หลุดเป็นหย่อม ๆ ห้องน้ำมีเชื้อราแบบว่าเยอะ พื้นเหมือนไม่สะอาด แล้วก็ห้องเป็น digital door lock แต่ไม่มี manual lock จากด้านในนะ ก็เลยรู้สึกไม่ค่อยปลอดภัย เพราะว่าห้องเราก็อยู่หน้าบันไดทางขึ้นมาจากชั้น 3 ที่เป็น reception เลย แม้ว่าข้างล่างสุดของตึกจะเป็นกึ่ง mart เล็กๆที่มีของฝากขายเยอะ ไม่ต้องแบกหรือว่าขนไกลให้เหนื่อย เลยคิดว่า รอบหน้าคงบาย ขอไปหาที่พักที่อื่นดีกว่า
ปกติรอบก่อน ๆ ที่มาเกาหลี เราจะชอบไป Lotte Mart เพื่อซื้อขนม ของฝาก แต่เดี๋ยวนี้ไม่ต้องเลย ร้านขนมในเมียงดงเยอะมาก คือไม่ต้องไปหิ้ว ไปแพคลงกล่องเองให้เหนื่อยอีกแล้ว อยู่เมียงดงมีทุกอย่างไปเลยจ้า ราคาก็ไม่ได้ต่างกับ lotte mart มากเท่าไหร่ แล้วยิ่งพักอยู่ที่นี่ คือซื้อมาลองกินก่อนแล้วถ้าอร่อยค่อยมาซื้อวันหลังเป็นของฝากยังได้ เพราะว่าหลายครั้งซื้อแล้วไม่ได้กินเอากลับไปถึงไทย แทบอยากปาทิ้ง หิ้วมาทำไมให้หนักไปอีกกกก
ก่อนมาทริปนี้ เราค่อนข้างกล้า ๆ กลัว ๆ เพราะว่าเป็นการเที่ยวคนเดียวครั้งแรก ต้องอยู่เองคนเดียว กินข้าวคนเดียว ไปไหนคนเดียว แม้ว่าทริปก่อน ๆ อาจจะมีแยกย้ายกับเพื่อนไปตามสถานที่ที่ตัวเองชอบไม่เหมือนกันบ้าง แต่อันนั้นก็คือ อย่างมากก็ครึ่งวัน แต่นี่ต้องอยู่คนเดียวเต็มวัน น้ำตาจะไหล กลัวไปหมดทุกสิ่งอย่าง กลัวเหงาก็คงที่สุดแล้วมั้งสำหรับคนไม่เคยเที่ยวคนเดียวมาก่อน แต่จากประสบการณ์ครั้งนี้ที่ต้องอยู่คนเดียวนาน 2 คืน 2 วันเต็ม ๆ ก็เลยจะมาแชร์ว่า ผู้หญิงคนเดียว เที่ยวโซลคนเดียว ไปไหนได้บ้าง
หมุดแรกหลังจากแยกย้ายกับคนอื่น ๆ เพราะว่าเค้าไปขึ้นเครื่องกลับไทยกันแล้ว นั่นก็คือ DDP LED Rose Garden ที่นัมแดมุน
จริง ๆ เคยไป DDP แล้วครั้งนึง เมื่อตอนต้นปี แล้วคือยังไง คือตอนนั้นอากาศติดลบ อยู่ข้างนอกนานไม่ได้ เดินวนไปวนมา นึกว่าสวนดอกไม้อันโด่งดัง มันต้องอยู่ข้างหน้าแน่ ๆ ออกมาจากทางออกรถไฟฟ้าต้องเจอแน่นอน สรุปคือ บ่ช่ายยยย หาไม่เจอจ้า รอบนี้เลยมาแก้มือ ยังไงก็ต้องหาให้เจอให้ได้ ก็คือ ถ้าออกมาจากทางออกรถไฟฟ้าแล้วเจอ shop Kakao ให้ขึ้นมาชั้นบน เดินทะลุไปด้านหลัง มันจะแอบๆอยู่แถวนั้นนั่นแหละ เดี๋ยวก็จะเจอเอง แนะนำให้มากลางคืน ช่วงนี้เค้าเปิดไฟตลอดแล้ว ความยากของการมาคนเดียวคือ ดอกไม้นี่ถ่ายอยากมาก เซลฟี่ก็แล้ว ไม่รอด พยายามหาคนถ่ายให้ก็แล้ว ก็ไม่มี สุดท้ายเลยยอมแพ้ ได้มาเป็นรูปวิวแบบนี้เนี่ยแหละ พอใจละ
หลังจากคืนแรกผ่านไปที่เหงาสุด ต้องอยู่กับห้องน้ำสยองที่เต็มไปด้วยเชื้อรา วันต่อมาเราก็เลยรีบออกจากห้องอย่างไว เนื่องจากพยากรณ์วันนี้คือ ฝนตกจ้า แผนที่จะไปสวนฮานึล (haneul park) ก็ต้องถูกเปลี่ยนเป็นห้างแทน สถานที่ที่เราพุ่งเป้าไปตั้งแต่ห้างเปิดก็คือ Coex Mall เพราะเค้ามีสถานที่ใหม่ชิค ๆ ที่คนเกาหลีแนะนำว่าให้ไปถ่ายรูปให้ได้ ก็คือ Starfield Library นั่นเอง ดูจากรีวิว คิดว่าจะใหญ่กว่านี้ แต่อะไรก็ไม่โชคดีเท่ากับไปแล้วโซนตรงกลางปรับปรุงพอดีเลยจย้า เดินจากทางออกรถไฟฟ้า เข้ามาในห้างไม่ต้องกลัวหลง แม้ห้างจะใหญ่ แต่คือมีป้ายบอกทางตลอด สงสัยกำลังฮิตจริง
ขออภัยที่รูปแตก คือพอลงรูปแล้ว เราก็เป็นอันว่าลบออกจากกล้องในทันที อันนี้ก็คือไป capture จาก ig ที่ลงไว้ มุมภาพนี้ก็คือเลือก crop มาแล้ว เราใช้เวลาอยู่ที่นี่นานมาก เพราะพยายามหาว่า เอ๊ะ มุมไหนนะที่เค้าถ่ายลง ig กันสวย ๆ แถมถ่ายยังไงก็ติดสแลนทุกมุม ห้างที่นี่ดีที่เป็นห้างใหญ่ หรือใครจะแวะไปวัดพงอึนซาใกล้ ๆก็ได้ แต่เราเคยไปมาแล้ว 2 ครั้ง ครั้งนี้เลยขอบาย ขออยู่เดิน A Land เงียบ ๆ ดีกว่า A Land ที่นี่ใหญ่มาก ใครมีโอกาสได้ไป Coex mall ขอให้ได้ไปแวะดูก็จะหลุดเข้าไปได้นานหลายสิบนาที เพลินเพลินมากเลยแม้จะไม่ได้อะไรติดมือกลับมาซักอย่าง บอกก่อนทริปนี้เน้นเที่ยว ไม่เน้น shop แม้ว่าสุดท้ายแล้วน้ำหนักกระเป๋าจะเกือบเกินก็ตาม
หลังจากจบจาก Coex mall เราก็วางแผนไปต่อที่ garosugil ถนนสำหรับคนชิค ๆที่ดังสุด ๆ ใครมาโซลต้องมาเหยียบที่นี่ โดยเฉพาะฤดูใบไม้เปลี่ยนสีที่เค้าว่าจะสวยกว่าฤดูอื่น ๆ เป้าหมายที่เราตั้งใจมาถนนนี้มีอยู่ 3-4 อย่าง อย่างแรกก็คือ Cafe kitsune ดูจากรูปรีวิวแล้ว เป็นคาเฟ่ที่ทางเข้าเหมือนป่าไผ่ แต่พอไปถึง อ้าว ป่าแตก คนอย่างเยอะ เยอะทุกมุม ทุกตำแหน่ง ทุกพื้นที่ จากที่อยากจะนั่งจิบกาแฟชิว ๆก็เลยทำได้แค่ หามุมถ่ายรูปดี ๆ ซื้อของตามที่เพื่อน order มาแล้วก็จากไป
อันนี้คือมุมภาพมหาชนที่เลือกมาแล้ว ว่าต้องได้ถ่าย ซูมเข้าไปค่ะ เดินเข้าไปไม่ได้ เพราะคนถ่ายเป็น BG กันเยอะมาก ๆ
ส่วนอันนี้คือความเป็นจริงจ้า นอกจากที่นี่แล้ว ถนนเส้นนี้ยังมีอีกหลายอย่างที่น่าสนใจ เช่น shop เครื่องสำอางของ จอง แซม มุล ที่ใหม่ดาวิกามาเป็น presenter หรือ Shop ที่มีขาย skincare ของ ordinary แม้ว่าหน้าร้านจะทำให้หาไม่เจอ ต้องเดินวนอยู่หลายรอบก็ตาม รวมถึงร้านครัวซองค์ที่เค้าว่าดัง แต่ว่าหาไม่เจอนะ เพราะว่าร้านปิดแบบ permanently closed กันไปเลย อันนี้ google บอกมาตอนหยุดอยู่ที่ location ที่ปักหมุดไว้ สุดท้ายจากที่หวังว่าจะมานั่งร้านคาเฟ่ชิค ๆ ก็กลายเป็นทริปซื้อของ เดินชมเมืองไปโดยปริยาย
จบจากทุกภารกิจที่นี่แล้ว อยู่ดี ๆ พายุก็เข้า จากที่พยากรณ์ไว้ว่าจะตกตั้งแต่เช้า กลายเป็นว่ามาตกช่วงบ่าย ซึ่งเรานั้น กำลังจะไปสะพานริมแม่น้ำพอดี หลังจากหลบฟ้า หลบฝน ที่พัดซะร่มเกือบพัง โชคดีทีเป็นร่มญี่ปุ่น โดนไต้ฝุ่นก็ยังไม่พังเลยจ้า ของเค้าดีจริง ๆนะ ทางเราก็เดินทางไปยัง Banpo Hangang Park ที่ซึ่งคนเกาหลีแนะนำให้มา บอกว่าช่วงค่ำ ๆจะมีโชว์น้ำพุและแสงไฟที่สะพาน
อันนี้คือรูปจาก google ที่ขอยืมมาแปะให้เห็นภาพ จริง ๆ เราอยากมาที่นี่นานแล้ว แต่ก็ไม่รู้ทำไมถึงไม่ได้มาสักที รอบนี้ดูจาก google map เห็นว่าอยู่ไม่ไกลจาก garosugil เท่าไหร่ ก็เลยขอไปสักครั้งละกัน ด้วยความที่ไม่อยากนั่งรถไฟฟ้า เพราะอ่านรีวิวแล้วเค้าบอกว่า ถ้าเดินจากสถานี Seoul express bus terminal จะไกลมากๆ ทางเรานั้นก็เลยขอขึ้นรถเมล์จาก garosugil ไปเลยจ้า เค้าบอกว่าให้ลงป้ายรถเมล์แถวๆสถานี sinbanpo ซึ่งไม่ยากค่ะ ขึ้นถูก ลงถูก แต่อากู๋จะบอกให้หนูเดินข้ามทางด่วนไม่ด้ายยยยย หรือสุดท้ายอาจจะเป็นเราที่โง่เองที่เดินไปไม่ถูก เดินไปเดินมาจากจุดที่ลงรถเมล์ ก็ไปเจอเหมือนหมู่บ้านอพาร์ทเมนต์เก่าๆ แบบว่า หลอนไปอี๊กกกกกก
เส้นทึบคือที่อากู๋บอกให้เดิน นี่ก็เดินไปจนถึงอพาร์ทเมนต์หรู แล้วยังไงต่อฟระ เป็นทางด่วนอยู่ข้างหน้า เลยหักเลี้ยวไปเจอภาพนี้
อันนี้คือภาพจาก google map เช่นกัน เพราะตอนนั้นสับขาอย่างไว ไม่สนใจอะไรแล้วจ้า ต้องนึกภาพตามว่า บรรยากาศ 4 โมงที่เหมือนใกล้จะ 6 โมง ไม่คนเดินเลย ตึกเป็นตึกเก่าแบบนี้ทุกตึก เงียบสุด ระหว่างทางที่เดินมองเข้าไปก็เจอทางเข้าตึกเป็นระยะ มืดๆ เป็นลิฟท์อยู่ข้างใน ตอนนั้นถอดใจแล้วว่าจะเอายังไงดี จะกลับเลยดีมั้ยวะ ไม่ไปแล้วสะพงสะพาน กลัวทั้งคน กลัวทั้งผี (อันนี้คิดไปเอง) สุดท้ายยอมล่าถอย แม้ google จะบอกว่ามีทางลัดเด้อ เดินต่อไปได้ก็ตาม กลับออกมาถนนใหญ่ ซึ่งก็คือนั่งมาลง Seoul express bus terminal ยังจะใกล้กว่า สุดท้ายหนทางก็เลยเป็นแบบเส้นประในรูปนั่นเอง
เมื่อมาถึงสะพาน Banpo แล้วก็พีคไปอีกเมื่อพบว่าไม่ได้หาข้อมูลมาก่อนว่าเค้าจะเปิดไฟกับน้ำพุรอบแรกคือ ทุ่มครึ่งจ้า และ ณ เวลานั้นที่มาถึงคือ จะ 5 โมงเย็น นี่เราจะอยู่รอดีมั้ย ไหน ๆก็มาแล้ว แล้วจะอยู่ทำอะไรอีกหลายชั่วโมง หลังจากเดินถ่ายรูปจนพอใจก็เลยขอบายดีกว่า ไว้ครั้งหน้ามีโอกาสค่อยมาใหม่ละกัน เพราะว่าไม่รู้จะกลับไป Seoul express bus terminal ยังไง เดี๋ยวมืดแล้วจะน่ากลัวเหมือนตอนขามา ก็เลยว่ากด google map ขึ้นรถเมล์กลับดีกว่า
อันนี้คือภาพที่ได้ ก่อนจะต้องบ๊ายบายกันไป จากนั้นก็ขึ้นรถเมล์ตรงนั้นแหละ แล้วทำไมตอนแรกมันไม่บอกให้เราขึ้นมาลงที่นี่ฟระ ปล่อยให้เดินหลงตั้งนาน กลับมา Seoul express bus terminal กันอีกรอบ แวะเข้า Halff cafe ที่ปักหมุดไว้หน่อย จะได้สบายใจ หายเหนื่อย ปลอบขวัญที่เดินหลงอยู่ในดงตึกเก่ามานาน cafe นี้ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายนะ เพราะว่ามันอยู่ในห้างไง google พาเดินไปไม่ถูก แล้วห้างดันใหญ่อีก ก็เลยต้องอาศัยดูจากรูปรีวิว บริบทโดยรอบว่ามันควรจะอยู่ตรงไหนกันแน่
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้