
จากแบบกระสวน ให้สังเกตว่า คำท้ายวรรคแรกของบาทที่ ๑
ไม่จำเป็นต้องสัมผัสบังคับกับ คำที่ ๓ ของวรรคท้ายบาทที่ ๑ เสมอไป
แต่ที่คนส่วนใหญ่นิยมให้สัมผัสกันนั้นก็เพียงเพิ่มความไพเราะ ตามยุคสมัยนิยม แค่นั้นเอง ไม่ถือเป็นเรื่องถูกหรือผิด
**
เคล็ดลับการแต่งฉันท์ **
นักเรียนลองตามทีละบทนะครับ
๑ แต่งอินท์วิเชียรฉันท์ คุรุนั้นแนะมากมาย
มุ่งมั่นขยันหมาย ลหุห้วงมหรรณพ
... ยก ต.ย. อินทรวิเชียรฉันท์ บทหนึ่ง ( คาถาหนึ่ง ) มี ๒ บาทๆหนึ่ง มี ๒ วรรค คือวรรคหน้ากับวรรคหลัง
คำลหุ ( เสียงเบา ) จะอยู่ตรงตำแหน่งที่ ๓, ๖, ๗, และ ๙
ลหุ ตำแหน่งที่ ๓ อาจใช้คำโดด หรือ คำผสมก็ได้
ต.ย.คำโดด เช่น ผละ, ละ, ลุ, ริ, ก็, บ่, มิ, ธ, จะ, นะ, วะ เป็นต้น
คำประสม ใช้ได้ ๓ กรณี ได้แก่ ลหุอยู่หน้า, ลหุอยู่กลาง, และลหุอยู่ท้าย
จากตัวอย่างบทที่ ๑ บาทแรกวรรคแรกใช้ลหุอยู่กลาง คือ “อินท์วิเชียร” , บาทแรกวรรคสองใช้ลหุเดี่ยว คือ "แนะ" ,
บาทที่ ๒ วรรคแรก ใช้ลหุอยู่หน้า คือ “ขยัน” ส่วนวรรคสุดท้ายใช้ลหุอยู่หน้าคือ “มหรรณพ”
๒ แห่งวรรณศิลป์ไน- ยะพิสัยพิศาลสบ
ศิลป์ฟ้าพิมานภพ อิสราโศลกซึ้ง
... บทนี้จะเห็นเทคนิคการแยกคำ (ยัติภังค์) คือ ไนยะ เป็น ไน-ยะ เป็นการดึงเอาหนึ่งลหุมาใช้ เพื่อลดภาระในการหาลหุในต้นวรรคถัดไป
( ถ้าได้สองลหุเลยยิ่งดี )
น้องๆสังเกตถึงการเล่นกลบทในบทนี้ คือ มี “ศ” ทุกวรรค
๓ คำสันสกฤตกอปร นยะครอบนิยมถึง
บาลีบำเรอตรึง ดำริตรงประสงค์สาน
… บทนี้ต้องการสื่อถึง การเลือกใช้คำบาลี-สันสกฤต ซึ่งจำเป็นอย่างมากในการนำมาใช้แต่งฉันท์
ซึ่งโดยพื้นเพเดิมแล้วเรานำเค้ามาจากอินเดียโบราณ ฉันทลักษณ์ของฉันท์จึงเอื้อต่อภาษาของเขา
อีกทั้งคำไทยแท้ ส่วนมากเป็นคำโดด ไม่ค่อยเห็นคำประสมสักเท่าไหร่
๔ เปรียบหัยแมลงกวน ระบุถ้วนวะรำคาญ
ปรึกษาคชาธาร ก็มิอาจจะใช้งวง
… ทุกชีวิตเกิดมาไม่มีใครแต่งบทประพันธ์อะไรก็ตาม ได้ตั้งแต่เกิด มันต้องอาศัยการฝึกฝนเป็นอย่างมาก
อยู่ๆจะให้ม้าใช้ลิ้นแลบกินแมลงแบบกบ อึ่งอ่าง คางคก ก็คงเป็นไปได้ยาก ครั้นจะปรึกษาช้าง ช้างก็บอกใช้เป็นแต่งวง แต่อนิจจางวงช้างก็จับแมลงไม่ได้
๕ คางคกชราชาติ ตริประสาทวิชาปวง
แลบรสนาล้วง คติเลียแมลงรัง
… คางคกบางตัวก็เหลือชีวิตแสนสั้น แต่ก็ยังคิดสอนวิชาแลบลิ้นจับแมลงให้ม้า ทั้งๆที่ทราบอยู่แล้วว่ามันเป็นไปได้ยาก แต่ละชีวิตต่างมีความสามารถไม่เหมือนกัน เราอาจชำนาญสู้ใครอื่นไม่ได้ในบางเรื่องมันก็เป็นเรื่องธรรมดาสามัญ จึงอย่าได้ปริวิตกเกินเหตุไปเลย
๖ โธ่เอ๋ยอนาทร อสดรกระหวัดหวัง
ลิ้นพัลวัน, จัง- หวะกะพลาดเพราะปราศชาญ
… บทนี้ต้องการสื่อถึงการดัดแปลงคำมาใช้เพื่อให้ได้ลหุตามที่ต้องการ ยก ต.ย. คำ “อสดร”
นี้คือการลดรูปจาก “อัสดร” เหตุที่ทำได้เพราะคำนี้รากศัพท์จากบาลี-สันสกฤต จึงสามารถทอนสังโยคออกได้ หากเป็นคำไทยแท้ จะไม่สามารถทำเช่นนี้ได้
๗ ใดหวังจะชาญเชี่ยว เสนาะฉ่ำกวีหวาน
เปล่าฝึกโศลกสาร จะชำนาญกระนั้นฤา
… บทนี้สรุปจากการอุปมาอุปไมย อันเป็นส่วนหนึ่งของรสวรรณศิลป์ ซึ่งต้องมีโวหาร-ภาพพจน์ประกอบ ( ตรงนี้รายละเอียดมันมากนัก จึ่งขอให้ผู้มีใจรัก ศึกษากันเอง ) และ ตั้งใจให้คำท้ายวรรคแรก ไม่สัมผัสสระกับคำที่ ๓ ของวรรคหลัง (ในบาทแรก) แต่ใช้เทคนิคสัมผัสอักษรแทน
๘ ไป่เป็นแสะสินธพ รณรบแมลงหือ
ก้าวข้ามมนัสยื้อ สุนิรันดร์นิราศร
... จงอย่าเหมือนกับม้าในบทกวีนี้ ที่พยายามยื้อกับแมลงแบบไม่มีเคล็ดลับวิธีที่ถูกต้องในการจับแมลง
จงก้าวข้ามตนเองเพื่อให้สำเร็จการย์ โดยการหมั่นฝึกฝนจนเชี่ยวชาญ
๙ หว่านคำลออหวาม วทะความสถาพร
กล่อมแกล้มอลงกรณ์ กรวิกก็เอียงอาย
… ทั้งความที่ดีทั้งพจีที่ไพเราะ ต้องมาพร้อมกัน เรียกว่าพิเราะจน นกการเวก ( กรวิก ) นั้นยังต้องอาย
๑๐ จากสองประเคนสาม ระยะจังหวะเรียบง่าย
คงคำคละความหมาย สุขุมาลสราญรมย์ ๛
... จังหวะการอ่านของอินทรวิเชียรฉันท์ คือ ๒ + ๓ ---------------- ๓ + ๓
๒ + ๓ ----------------- ๓ + ๓
.... ที่สำคัญสุดคือ ความหมาย และความละเมียดละไมในการใช้คำ
แรกๆ ลองใช้คำง่ายๆดูก่อน แล้วค่อยเล่นคำยาก จนสุดท้ายสามารถสร้างคำใหม่ขึ้นมาเอง ( จากการ สมาส-สนธิ ) แล้วนักเรียนจะพบว่า นี่ช่างเป็นงานที่ท้าทายซะจริงๆ ช่างน่าสนุกสาหัสสากรรจ์อะไรเช่นนี้ ?!
... หมั่นอ่านพจนานุกรม เพื่อเก็บและจดจำคำความหมายดีๆไว้เยอะๆ ตลอดจนอ่านบทกวีเก่าๆอย่างสม่ำเสมอเพื่อจะได้ไอเดียมาปรับปรุงและพัฒนางานของเรา เพื่อสู่ความเป็นอัตลักษณ์ของเราเอง ครับ...
... ขอบคุณทุกท่านที่ติดตาม หากได้รับการตอบรับที่ดี ก็อาจจะมีภาคต่อๆไปครับ
** เคล็ดลับการแต่งฉันท์ ** ( ๑ )
จากแบบกระสวน ให้สังเกตว่า คำท้ายวรรคแรกของบาทที่ ๑ ไม่จำเป็นต้องสัมผัสบังคับกับ คำที่ ๓ ของวรรคท้ายบาทที่ ๑ เสมอไป
แต่ที่คนส่วนใหญ่นิยมให้สัมผัสกันนั้นก็เพียงเพิ่มความไพเราะ ตามยุคสมัยนิยม แค่นั้นเอง ไม่ถือเป็นเรื่องถูกหรือผิด
** เคล็ดลับการแต่งฉันท์ **
นักเรียนลองตามทีละบทนะครับ
๑ แต่งอินท์วิเชียรฉันท์ คุรุนั้นแนะมากมาย
มุ่งมั่นขยันหมาย ลหุห้วงมหรรณพ
... ยก ต.ย. อินทรวิเชียรฉันท์ บทหนึ่ง ( คาถาหนึ่ง ) มี ๒ บาทๆหนึ่ง มี ๒ วรรค คือวรรคหน้ากับวรรคหลัง
คำลหุ ( เสียงเบา ) จะอยู่ตรงตำแหน่งที่ ๓, ๖, ๗, และ ๙
ลหุ ตำแหน่งที่ ๓ อาจใช้คำโดด หรือ คำผสมก็ได้
ต.ย.คำโดด เช่น ผละ, ละ, ลุ, ริ, ก็, บ่, มิ, ธ, จะ, นะ, วะ เป็นต้น
คำประสม ใช้ได้ ๓ กรณี ได้แก่ ลหุอยู่หน้า, ลหุอยู่กลาง, และลหุอยู่ท้าย
จากตัวอย่างบทที่ ๑ บาทแรกวรรคแรกใช้ลหุอยู่กลาง คือ “อินท์วิเชียร” , บาทแรกวรรคสองใช้ลหุเดี่ยว คือ "แนะ" ,
บาทที่ ๒ วรรคแรก ใช้ลหุอยู่หน้า คือ “ขยัน” ส่วนวรรคสุดท้ายใช้ลหุอยู่หน้าคือ “มหรรณพ”
๒ แห่งวรรณศิลป์ไน- ยะพิสัยพิศาลสบ
ศิลป์ฟ้าพิมานภพ อิสราโศลกซึ้ง
... บทนี้จะเห็นเทคนิคการแยกคำ (ยัติภังค์) คือ ไนยะ เป็น ไน-ยะ เป็นการดึงเอาหนึ่งลหุมาใช้ เพื่อลดภาระในการหาลหุในต้นวรรคถัดไป
( ถ้าได้สองลหุเลยยิ่งดี )
น้องๆสังเกตถึงการเล่นกลบทในบทนี้ คือ มี “ศ” ทุกวรรค
๓ คำสันสกฤตกอปร นยะครอบนิยมถึง
บาลีบำเรอตรึง ดำริตรงประสงค์สาน
… บทนี้ต้องการสื่อถึง การเลือกใช้คำบาลี-สันสกฤต ซึ่งจำเป็นอย่างมากในการนำมาใช้แต่งฉันท์
ซึ่งโดยพื้นเพเดิมแล้วเรานำเค้ามาจากอินเดียโบราณ ฉันทลักษณ์ของฉันท์จึงเอื้อต่อภาษาของเขา
อีกทั้งคำไทยแท้ ส่วนมากเป็นคำโดด ไม่ค่อยเห็นคำประสมสักเท่าไหร่
๔ เปรียบหัยแมลงกวน ระบุถ้วนวะรำคาญ
ปรึกษาคชาธาร ก็มิอาจจะใช้งวง
… ทุกชีวิตเกิดมาไม่มีใครแต่งบทประพันธ์อะไรก็ตาม ได้ตั้งแต่เกิด มันต้องอาศัยการฝึกฝนเป็นอย่างมาก
อยู่ๆจะให้ม้าใช้ลิ้นแลบกินแมลงแบบกบ อึ่งอ่าง คางคก ก็คงเป็นไปได้ยาก ครั้นจะปรึกษาช้าง ช้างก็บอกใช้เป็นแต่งวง แต่อนิจจางวงช้างก็จับแมลงไม่ได้
๕ คางคกชราชาติ ตริประสาทวิชาปวง
แลบรสนาล้วง คติเลียแมลงรัง
… คางคกบางตัวก็เหลือชีวิตแสนสั้น แต่ก็ยังคิดสอนวิชาแลบลิ้นจับแมลงให้ม้า ทั้งๆที่ทราบอยู่แล้วว่ามันเป็นไปได้ยาก แต่ละชีวิตต่างมีความสามารถไม่เหมือนกัน เราอาจชำนาญสู้ใครอื่นไม่ได้ในบางเรื่องมันก็เป็นเรื่องธรรมดาสามัญ จึงอย่าได้ปริวิตกเกินเหตุไปเลย
๖ โธ่เอ๋ยอนาทร อสดรกระหวัดหวัง
ลิ้นพัลวัน, จัง- หวะกะพลาดเพราะปราศชาญ
… บทนี้ต้องการสื่อถึงการดัดแปลงคำมาใช้เพื่อให้ได้ลหุตามที่ต้องการ ยก ต.ย. คำ “อสดร”
นี้คือการลดรูปจาก “อัสดร” เหตุที่ทำได้เพราะคำนี้รากศัพท์จากบาลี-สันสกฤต จึงสามารถทอนสังโยคออกได้ หากเป็นคำไทยแท้ จะไม่สามารถทำเช่นนี้ได้
๗ ใดหวังจะชาญเชี่ยว เสนาะฉ่ำกวีหวาน
เปล่าฝึกโศลกสาร จะชำนาญกระนั้นฤา
… บทนี้สรุปจากการอุปมาอุปไมย อันเป็นส่วนหนึ่งของรสวรรณศิลป์ ซึ่งต้องมีโวหาร-ภาพพจน์ประกอบ ( ตรงนี้รายละเอียดมันมากนัก จึ่งขอให้ผู้มีใจรัก ศึกษากันเอง ) และ ตั้งใจให้คำท้ายวรรคแรก ไม่สัมผัสสระกับคำที่ ๓ ของวรรคหลัง (ในบาทแรก) แต่ใช้เทคนิคสัมผัสอักษรแทน
๘ ไป่เป็นแสะสินธพ รณรบแมลงหือ
ก้าวข้ามมนัสยื้อ สุนิรันดร์นิราศร
... จงอย่าเหมือนกับม้าในบทกวีนี้ ที่พยายามยื้อกับแมลงแบบไม่มีเคล็ดลับวิธีที่ถูกต้องในการจับแมลง
จงก้าวข้ามตนเองเพื่อให้สำเร็จการย์ โดยการหมั่นฝึกฝนจนเชี่ยวชาญ
๙ หว่านคำลออหวาม วทะความสถาพร
กล่อมแกล้มอลงกรณ์ กรวิกก็เอียงอาย
… ทั้งความที่ดีทั้งพจีที่ไพเราะ ต้องมาพร้อมกัน เรียกว่าพิเราะจน นกการเวก ( กรวิก ) นั้นยังต้องอาย
๑๐ จากสองประเคนสาม ระยะจังหวะเรียบง่าย
คงคำคละความหมาย สุขุมาลสราญรมย์ ๛
... จังหวะการอ่านของอินทรวิเชียรฉันท์ คือ ๒ + ๓ ---------------- ๓ + ๓
๒ + ๓ ----------------- ๓ + ๓
.... ที่สำคัญสุดคือ ความหมาย และความละเมียดละไมในการใช้คำ
แรกๆ ลองใช้คำง่ายๆดูก่อน แล้วค่อยเล่นคำยาก จนสุดท้ายสามารถสร้างคำใหม่ขึ้นมาเอง ( จากการ สมาส-สนธิ ) แล้วนักเรียนจะพบว่า นี่ช่างเป็นงานที่ท้าทายซะจริงๆ ช่างน่าสนุกสาหัสสากรรจ์อะไรเช่นนี้ ?!
... หมั่นอ่านพจนานุกรม เพื่อเก็บและจดจำคำความหมายดีๆไว้เยอะๆ ตลอดจนอ่านบทกวีเก่าๆอย่างสม่ำเสมอเพื่อจะได้ไอเดียมาปรับปรุงและพัฒนางานของเรา เพื่อสู่ความเป็นอัตลักษณ์ของเราเอง ครับ...
... ขอบคุณทุกท่านที่ติดตาม หากได้รับการตอบรับที่ดี ก็อาจจะมีภาคต่อๆไปครับ