เพื่อนส่งต่อมาให้ทางไลน์ พอเราอ่านจบก็เริ่มจะคล้อยตามบทความนี้เหมือนกันนะ
เพื่อนๆ ท่านอื่นมีความคิดเห็นอย่างไรกับการเลือกตั้งหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ที่พึ่งจบไปบ้างคะ
#บทความนี้แทนความคิดผมเลย
ชัยชนะของอภิสิทธิ์ คือ ความพ่ายแพ้ของคนประชาธิปัตย์
การลงคะแนนหยั่งเสียงเลือกหัวหน้าพรรคที่เพิ่งผ่านมา ดูผิวเผินมองได้ว่าเป็นกระบวนการที่สวยงามที่สมาชิกพรรคจะได้มีส่วนร่วมในการเลือกหัวหน้าพรรค พรรคจะได้เป็นสถาบันอย่างแท้จริง หรือน่าจะรวมไปถึงพรรคจะได้รับความนิยมมากขึ้น แต่ใครเลยจะรู้ความจริงที่แสนเจ็บปวดว่าพรรคได้สูญเสียอะไรไปบ้าง
จากกระบวนการนี้ถึงกับต้องใช้คำว่า
“ความพ่ายแพ้ของคนประชาธิปัตย์”
“ไม่ให้ความสำคัญกับคนรากหญ้า”
เริ่มตั้งแต่การรับสมัครสมาชิกพรรคที่กำหนดเงื่อนไขยุ่งยาก จะต้องใช้บัญชีธนาคารของตัวเอง โอนเงินผ่านบัญชีธนาคาร เข้าบัญชีของพรรค ซึ่งอภิสิทธิ์ คงลืมไปว่าคนระดับรากหญ้าจำนวนมาก ไม่ได้มีสมุดบัญชีธนาคาร หรือบางคนมีก็ไว้ฝากถอนธรรมดา โอนเงินก็ทำไม่ค่อยจะเป็น คงลืมไปว่าคนระดับรากหญ้าจำนวนมากหาเช้ากินค่ำแสนลำบาก แทบไม่มีเวลาไปธนาคาร แต่เค้าก็สนใจการเมือง แต่กลับไม่ได้รับความสะดวก เรื่องมีอยู่ว่ามีคนระดับรากหญ้าจำนวนมากที่เริ่มหันมาสนใจพรรคประชาธิปัตย์ เพราะกระบวนการในการเลือกหัวหน้าพรรค แต่ในท้ายที่สุดต้องส่ายหน้าหนีกระบวนการรับสมัครที่ยุ่งยากเสียเหลือเกิน และตราหน้าว่าพรรคนี้ไม่เคยสนใจคนรากหญ้าเช่นเคย ตอกย้ำจุดอ่อน ตอกย้ำความเชื่อเดิมๆ ของคนรากหญ้าที่มีต่อพรรค
หลังจากนั้นมีการเปิดให้โหวตทางโทรศัพท์มือถือ ดูดีว่าให้ระบบแอนดรอยด์สามารถทำได้ ก็ดันไปกำหนดเวอร์ชั่น 7.0 ซึ่งต้องเป็นโทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่ๆ แพงๆ คิดว่าอภิสิทธิ์คงไม่ได้ตั้งใจหรอก เพียงแต่ไม่เคยรับรู้หรือไม่เคยสนใจเลยว่าชีวิตนี้ชาวบ้านเค้าอยู่กันยังไง ตอกย้ำความเชื่อเดิมๆ ว่าพรรคไม่เคยสนใจ หรือไม่เคยรับรู้ชีวิตของคนรากหญ้า กระบวนการนี้แทนที่จะได้ใจคนรากหญ้า ได้พวกเพิ่มบ้าง กลับทำให้คนรากหญ้ารังเกียจพรรคมากยิ่งขึ้น ตราหน้าว่าพรรคผู้ดี พรรคคนรวย ไม่สนใจชาวบ้าน
“ไม่มีความเป็นมืออาชีพ” เริ่มตั้งแต่การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นมากมายโดยขาดการหารือร่วมกัน เป็นการกำหนดกติกาฝ่ายเดียว โดยมอบให้บุคคลที่คนทั้งประเทศไว้ใจน้อยที่สุดคือนาย ศ. ให้รับผิดชอบเรื่องที่สำคัญที่สุดคือการลงคะแนนทางไอที การจ้างบริษัทผู้รับจ้างก็ซื้อของแพง คุณภาพต่ำ การลงคะแนนก็ล่มล้มเหลวในวันที่ 1 พ.ย. 61 จนต้องประกาศยกเลิกกลางคันคนก่นด่าไปทั้งประเทศ ว่าไร้ประสิทธิภาพ ไม่เป็นมืออาชีพ การลงคะแนนทางมือถือก็เปลี่ยนแปลงกติกาตลอดเวลา ครบเวลาแล้วต่อเวลาอีก ต่อเวลาแล้วประกาศยุติกลางคัน ไอโอเอสก็ไม่ยอมรับ เพราะแอพไม่มีมาตรฐาน ไม่มีคุณภาพ จนเกิดความเคลือบแคลงสงสัยกันทั้งประเทศว่าพรรคมีประสิทธิภาพจริงหรือไม่ เรื่องง่ายๆ แค่นี้ยังทำไม่ได้ แล้วจะเอาปัญญาที่ไหนไปบริหารประเทศ ลำพังคำแก้ตัวสวยๆ ไม่ได้ช่วยอะไรขอบอก หมดความน่าเชื่อถือหมดแล้ว
“ขายวิญญาณ” บริษัทในโลกมีตั้งเยอะ ดันไปจ้างเอาบริษัทที่มีเอี่ยวแนบแน่นกับพรรคการเมืองฝ่ายตรงข้าม จนมีข่าวลือกันว่าพรรคขายวิญญาณให้กับฝ่ายตรงข้ามไปแล้ว ลงคะแนนเสร็จสมอารมย์หมาย ฝ่ายตรงข้ามได้ข้อมูลไปวิเคราะห์ใช้ในการเลือกตั้งเต็มๆ พรรคเสียหายเน้นๆ ประกอบกับมีข่าวว่าอดีตนายกหญิงฝ่ายตรงข้ามถอนฟ้องนาย ศ. คนสนิทอภิสิทธิ์ ในคดีที่หมิ่นศักดิ์ศรี วรงค์ประกาศชัดไม่เอาพรรคเพื่อไทย แต่อภิสิทธิ์ไม่เคยประกาศว่าจะไม่ร่วมรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทย พอประกาศว่าจะร่วมได้โดยเงื่อนไขคือไม่มีคนตระกูลชินวัตรในพรรค ปรากฏว่าตระกูลชินวัตรย้ายออกไปพรรคสาขากันหมด กลิ่นทะเเมร่งๆ ยิ่งตอกย้ำความเชื่อเรื่องการขายวิญญาณไปซะแล้ว จริงหรือไม่รอเวลาเป็นเครื่องพิสูจน์
“โกงกันเอง” เสียงลือให้แซด ว่ามีการปล่อยให้คนของอภิสิทธิ์ เข้าถึงข้อมูลได้ฝ่ายเดียว ละเมิดข้อตกลงสามฝ่าย วรงค์ยื่นร้องเรียน กกต.พรรค บอกว่า น่าเอ็นดู เรื่องเล็กน้อย และยังไม่มีเวลาพิจารณา ทั้งๆ ที่การเข้าไปนั้นเพราะมีการแอบสร้างประตูลับไว้ โดยนาย ศ. ร่วมกับบริษัทรับจ้าง เพื่อให้สามารถเข้าไปดูข้อมูลและแก้ไขข้อมูลได้ กกต.พรรค บอกเรื่องเล็ก น่าเอ็นดู ฮาาา! รวมถึงเรื่องทะเเมร่งหลายอย่าง เช่น ข่าวนาย ศ. อมซอสโค๊ด ประธาน กกต.พรรค ขยายเวลาในการลงคะแนนทางมือถือโดยพลกาล คราวแรกบอกให้ลงคะแนนทางมือถือได้วันที่ 1 ถึงวันที่ 3 พ.ย. 61 พอครบเวลา ประธาน กกต. คนเดียว เดินไปให้บริษัทผู้รับจ้างขยายเวลาเอง โดย กกต. ฝ่ายวรงค์ และฝ่ายอลงกรณ์ ไม่รู้เรื่อง ที่สำคัญคือข่าวว่า จะประกาศคะแนนผู้ชนะ ในวันที่ 9 พ.ย. 61 เวลา 1 ทุ่ม ปรากฏว่าพอถึงเวลา กลับประกาศขยายเวลาไปประกาศวันรุ่งขึ้น ข่าวว่าที่ไม่ประกาศตอน 1 ทุ่ม เพราะวรงค์ ชนะคะแนนนำอภิสิทธิ์ ประมาณ 22,000 คะแนน อภิสิทธิ์ ไม่ยอมให้ประกาศ ขอให้ตัดคะแนนหมอจากการร้องเรียน วันรุ่งขึ้นหาเรื่องตัดคะแนนหมอไป 32,000 คะแนน ยังไม่มีคำอธิบายจนวันนี้ จนหมอแพ้ 10,000 แล้วก็ชิงประกาศผลกันแบบ งงๆ ทันที คนเค้าว่าดูจากสีหน้าอภิสิทธิ์ก่อนประกาศผล หน้าซีดเป็นศพไม่มีสง่าราศรี ประกาศผลออกมาก็ยิ้มแห้งๆ จริงไม่จริงไม่รู้ ข่าวว่างั้น คนเค้าถึงบอกโกงกันเอง โกงกันเอง โกงกันเอง แล้วจะปล่อยให้ไปบริหารประเทศได้อย่างไร จริงเท็จยังไงไม่รู้ แต่ภาพของพรรคเป็นแบบนั้นไปแล้ว
“ล้างบาง” ผลการคัดเลือกคณะผู้บริหารพรรคออกมา ทีมวรงค์โดนล้างบาง ไม่ได้ตำแหน่งซักคน คะแนนวรงค์ 89,000 คะแนน ก่อนโดนตัดไป 32,000 คะแนน เหลือ 57,000 คะแนน ไม่มีความหมายในสายตาอภิสิทธิ์ เอาใจเพียงคนที่เชียร์ตัวเอง 67,000 คะแนน ชนะได้ แต่ก็บอบช้ำแสนสาหัส ใช้ทุกกระบวนการทุกขั้นตอนทุกวิธีการ รวมทั้งที่คนเค้าว่ากันโกงกันเอง กว่าจะเอาชนะมาได้ ชนะได้แบบสมาชิกเกือบครึ่งไม่ให้การยอมรับ ชนะแบบไร้ศักดิ์ศรี แทนที่จะเลือกมาร่วมงานกันก็ไม่เลือก ดันเลือกที่จะล้างบางวรงค์ซะเลย แบบนี้เรียกว่า ไม่รู้แพ้ รู้แต่ชนะ และไม่รู้อภัย ฮาาา!
อย่างที่บอก วันนี้อภิสิทธิ์ชนะ แต่คนของพรรคประชาธิปัตย์พ่ายแพ้ย่อยยับ จริงไม่จริง รู้ผลกันตอนเลือกตั้งครับ
ชัยชนะของอภิสิทธิ์ คือ ความพ่ายแพ้ของคนประชาธิปัตย์
เพื่อนๆ ท่านอื่นมีความคิดเห็นอย่างไรกับการเลือกตั้งหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ที่พึ่งจบไปบ้างคะ
#บทความนี้แทนความคิดผมเลย
ชัยชนะของอภิสิทธิ์ คือ ความพ่ายแพ้ของคนประชาธิปัตย์
การลงคะแนนหยั่งเสียงเลือกหัวหน้าพรรคที่เพิ่งผ่านมา ดูผิวเผินมองได้ว่าเป็นกระบวนการที่สวยงามที่สมาชิกพรรคจะได้มีส่วนร่วมในการเลือกหัวหน้าพรรค พรรคจะได้เป็นสถาบันอย่างแท้จริง หรือน่าจะรวมไปถึงพรรคจะได้รับความนิยมมากขึ้น แต่ใครเลยจะรู้ความจริงที่แสนเจ็บปวดว่าพรรคได้สูญเสียอะไรไปบ้าง
จากกระบวนการนี้ถึงกับต้องใช้คำว่า “ความพ่ายแพ้ของคนประชาธิปัตย์”
“ไม่ให้ความสำคัญกับคนรากหญ้า”
เริ่มตั้งแต่การรับสมัครสมาชิกพรรคที่กำหนดเงื่อนไขยุ่งยาก จะต้องใช้บัญชีธนาคารของตัวเอง โอนเงินผ่านบัญชีธนาคาร เข้าบัญชีของพรรค ซึ่งอภิสิทธิ์ คงลืมไปว่าคนระดับรากหญ้าจำนวนมาก ไม่ได้มีสมุดบัญชีธนาคาร หรือบางคนมีก็ไว้ฝากถอนธรรมดา โอนเงินก็ทำไม่ค่อยจะเป็น คงลืมไปว่าคนระดับรากหญ้าจำนวนมากหาเช้ากินค่ำแสนลำบาก แทบไม่มีเวลาไปธนาคาร แต่เค้าก็สนใจการเมือง แต่กลับไม่ได้รับความสะดวก เรื่องมีอยู่ว่ามีคนระดับรากหญ้าจำนวนมากที่เริ่มหันมาสนใจพรรคประชาธิปัตย์ เพราะกระบวนการในการเลือกหัวหน้าพรรค แต่ในท้ายที่สุดต้องส่ายหน้าหนีกระบวนการรับสมัครที่ยุ่งยากเสียเหลือเกิน และตราหน้าว่าพรรคนี้ไม่เคยสนใจคนรากหญ้าเช่นเคย ตอกย้ำจุดอ่อน ตอกย้ำความเชื่อเดิมๆ ของคนรากหญ้าที่มีต่อพรรค
หลังจากนั้นมีการเปิดให้โหวตทางโทรศัพท์มือถือ ดูดีว่าให้ระบบแอนดรอยด์สามารถทำได้ ก็ดันไปกำหนดเวอร์ชั่น 7.0 ซึ่งต้องเป็นโทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่ๆ แพงๆ คิดว่าอภิสิทธิ์คงไม่ได้ตั้งใจหรอก เพียงแต่ไม่เคยรับรู้หรือไม่เคยสนใจเลยว่าชีวิตนี้ชาวบ้านเค้าอยู่กันยังไง ตอกย้ำความเชื่อเดิมๆ ว่าพรรคไม่เคยสนใจ หรือไม่เคยรับรู้ชีวิตของคนรากหญ้า กระบวนการนี้แทนที่จะได้ใจคนรากหญ้า ได้พวกเพิ่มบ้าง กลับทำให้คนรากหญ้ารังเกียจพรรคมากยิ่งขึ้น ตราหน้าว่าพรรคผู้ดี พรรคคนรวย ไม่สนใจชาวบ้าน
“ไม่มีความเป็นมืออาชีพ” เริ่มตั้งแต่การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นมากมายโดยขาดการหารือร่วมกัน เป็นการกำหนดกติกาฝ่ายเดียว โดยมอบให้บุคคลที่คนทั้งประเทศไว้ใจน้อยที่สุดคือนาย ศ. ให้รับผิดชอบเรื่องที่สำคัญที่สุดคือการลงคะแนนทางไอที การจ้างบริษัทผู้รับจ้างก็ซื้อของแพง คุณภาพต่ำ การลงคะแนนก็ล่มล้มเหลวในวันที่ 1 พ.ย. 61 จนต้องประกาศยกเลิกกลางคันคนก่นด่าไปทั้งประเทศ ว่าไร้ประสิทธิภาพ ไม่เป็นมืออาชีพ การลงคะแนนทางมือถือก็เปลี่ยนแปลงกติกาตลอดเวลา ครบเวลาแล้วต่อเวลาอีก ต่อเวลาแล้วประกาศยุติกลางคัน ไอโอเอสก็ไม่ยอมรับ เพราะแอพไม่มีมาตรฐาน ไม่มีคุณภาพ จนเกิดความเคลือบแคลงสงสัยกันทั้งประเทศว่าพรรคมีประสิทธิภาพจริงหรือไม่ เรื่องง่ายๆ แค่นี้ยังทำไม่ได้ แล้วจะเอาปัญญาที่ไหนไปบริหารประเทศ ลำพังคำแก้ตัวสวยๆ ไม่ได้ช่วยอะไรขอบอก หมดความน่าเชื่อถือหมดแล้ว
“ขายวิญญาณ” บริษัทในโลกมีตั้งเยอะ ดันไปจ้างเอาบริษัทที่มีเอี่ยวแนบแน่นกับพรรคการเมืองฝ่ายตรงข้าม จนมีข่าวลือกันว่าพรรคขายวิญญาณให้กับฝ่ายตรงข้ามไปแล้ว ลงคะแนนเสร็จสมอารมย์หมาย ฝ่ายตรงข้ามได้ข้อมูลไปวิเคราะห์ใช้ในการเลือกตั้งเต็มๆ พรรคเสียหายเน้นๆ ประกอบกับมีข่าวว่าอดีตนายกหญิงฝ่ายตรงข้ามถอนฟ้องนาย ศ. คนสนิทอภิสิทธิ์ ในคดีที่หมิ่นศักดิ์ศรี วรงค์ประกาศชัดไม่เอาพรรคเพื่อไทย แต่อภิสิทธิ์ไม่เคยประกาศว่าจะไม่ร่วมรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทย พอประกาศว่าจะร่วมได้โดยเงื่อนไขคือไม่มีคนตระกูลชินวัตรในพรรค ปรากฏว่าตระกูลชินวัตรย้ายออกไปพรรคสาขากันหมด กลิ่นทะเเมร่งๆ ยิ่งตอกย้ำความเชื่อเรื่องการขายวิญญาณไปซะแล้ว จริงหรือไม่รอเวลาเป็นเครื่องพิสูจน์
“โกงกันเอง” เสียงลือให้แซด ว่ามีการปล่อยให้คนของอภิสิทธิ์ เข้าถึงข้อมูลได้ฝ่ายเดียว ละเมิดข้อตกลงสามฝ่าย วรงค์ยื่นร้องเรียน กกต.พรรค บอกว่า น่าเอ็นดู เรื่องเล็กน้อย และยังไม่มีเวลาพิจารณา ทั้งๆ ที่การเข้าไปนั้นเพราะมีการแอบสร้างประตูลับไว้ โดยนาย ศ. ร่วมกับบริษัทรับจ้าง เพื่อให้สามารถเข้าไปดูข้อมูลและแก้ไขข้อมูลได้ กกต.พรรค บอกเรื่องเล็ก น่าเอ็นดู ฮาาา! รวมถึงเรื่องทะเเมร่งหลายอย่าง เช่น ข่าวนาย ศ. อมซอสโค๊ด ประธาน กกต.พรรค ขยายเวลาในการลงคะแนนทางมือถือโดยพลกาล คราวแรกบอกให้ลงคะแนนทางมือถือได้วันที่ 1 ถึงวันที่ 3 พ.ย. 61 พอครบเวลา ประธาน กกต. คนเดียว เดินไปให้บริษัทผู้รับจ้างขยายเวลาเอง โดย กกต. ฝ่ายวรงค์ และฝ่ายอลงกรณ์ ไม่รู้เรื่อง ที่สำคัญคือข่าวว่า จะประกาศคะแนนผู้ชนะ ในวันที่ 9 พ.ย. 61 เวลา 1 ทุ่ม ปรากฏว่าพอถึงเวลา กลับประกาศขยายเวลาไปประกาศวันรุ่งขึ้น ข่าวว่าที่ไม่ประกาศตอน 1 ทุ่ม เพราะวรงค์ ชนะคะแนนนำอภิสิทธิ์ ประมาณ 22,000 คะแนน อภิสิทธิ์ ไม่ยอมให้ประกาศ ขอให้ตัดคะแนนหมอจากการร้องเรียน วันรุ่งขึ้นหาเรื่องตัดคะแนนหมอไป 32,000 คะแนน ยังไม่มีคำอธิบายจนวันนี้ จนหมอแพ้ 10,000 แล้วก็ชิงประกาศผลกันแบบ งงๆ ทันที คนเค้าว่าดูจากสีหน้าอภิสิทธิ์ก่อนประกาศผล หน้าซีดเป็นศพไม่มีสง่าราศรี ประกาศผลออกมาก็ยิ้มแห้งๆ จริงไม่จริงไม่รู้ ข่าวว่างั้น คนเค้าถึงบอกโกงกันเอง โกงกันเอง โกงกันเอง แล้วจะปล่อยให้ไปบริหารประเทศได้อย่างไร จริงเท็จยังไงไม่รู้ แต่ภาพของพรรคเป็นแบบนั้นไปแล้ว
“ล้างบาง” ผลการคัดเลือกคณะผู้บริหารพรรคออกมา ทีมวรงค์โดนล้างบาง ไม่ได้ตำแหน่งซักคน คะแนนวรงค์ 89,000 คะแนน ก่อนโดนตัดไป 32,000 คะแนน เหลือ 57,000 คะแนน ไม่มีความหมายในสายตาอภิสิทธิ์ เอาใจเพียงคนที่เชียร์ตัวเอง 67,000 คะแนน ชนะได้ แต่ก็บอบช้ำแสนสาหัส ใช้ทุกกระบวนการทุกขั้นตอนทุกวิธีการ รวมทั้งที่คนเค้าว่ากันโกงกันเอง กว่าจะเอาชนะมาได้ ชนะได้แบบสมาชิกเกือบครึ่งไม่ให้การยอมรับ ชนะแบบไร้ศักดิ์ศรี แทนที่จะเลือกมาร่วมงานกันก็ไม่เลือก ดันเลือกที่จะล้างบางวรงค์ซะเลย แบบนี้เรียกว่า ไม่รู้แพ้ รู้แต่ชนะ และไม่รู้อภัย ฮาาา!
อย่างที่บอก วันนี้อภิสิทธิ์ชนะ แต่คนของพรรคประชาธิปัตย์พ่ายแพ้ย่อยยับ จริงไม่จริง รู้ผลกันตอนเลือกตั้งครับ