สวัสดีค่ะ อยากจะมาเล่าเประสบการณ์ อาการป่วยจากความเครียด ที่เหมือนเป็นเรื่องเล็กๆ
แต่สาหัส จริงๆ
เรามีอาชีพด้านกฎหมายค่ะ เเรกเริ่มไม่ได้อยากเดินในทางสายนี้ เเต่ไปๆมาๆ ก็ไม่พ้นจนได้
เปลี่ยนงานอยู่สองสามที่ ค่ะ เพราะอยากก้าวหน้าไปเรื่อยๆ สุดท้าย.. ก็มาได้ที่ทำงานล่าสุด
ทำงานมารวม 9 เดือนเองค่ะ เเต่เป็น 9 เดือนที่ สยองมาก กับโรคร้ายที่เราไม่รู้ตัว
งานที่เราทำ ค่อนข้างต้องรับผิดชอบเยอะ ต้องละเอียด มีการเดินทางบ่อยมาก
เราเข้าทำในตำแหน่งเดียวกันกับรุ่นน้องอีกคนค่ะ มีหน้าที่ช่วยกันรับผิดชอบงานคนล่ะครึ่ง
ปรากฎ รุ่นน้องคนนี้มีนิสัยไม่รับผิดชอบ ชอบโยนงาน และทำงานไม่เป็น ไม่สนใจหาความรู้
แต่มีข้อดีอย่างคือ พูดเป็น เอาใจเก่ง หน้าตาน่ารัก
เราก็ได้แต่ต้องรับผิดงาน 80% ของทั้งหมด อะไรทำไม่ได้โยนมาทางนี้หมด
เราก็แย้งไปบ้าง เจ้านายให้คำตอบว่า "เราเป็นพี่ ต้องข่วยเหลือน้อง" อายุห่างกันแค่ปีเดียสเองเนาะ (ประสาท)
ก็อดทนไปค่ะ มีทางบ้านที่เราต้องรับผิดชอบ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือ
1. เราทำงานหนักมาก แบกงานของคนอื่นตลอด
2. เราต้องใข้สมองหนักมาก งานยากๆมาเราก็ต้องแก้ไข
3. เราเดินทางไปตจว.บ่อยมาก
4. เราต้องรับแรงกดดันจากเจ้านายตลอด
ก็ตามระเบียบค่ะ อาการเครียดเริ่มแรกคือ ถ้าวันไหนคิดมากคือ นอนไม่หลับ
รู้ตัวเลยค่ะ แต่ไม่ได้คิดมากเพราะเป็นเรื่องธรรมดา เป็นบ่อยๆ
ต่อมา เเขน ขา เริ่มไม่มีแรงค่ะ อ่อนเพลีย นอนเท่าไหร่ก็ยังเพลียอยู่
ก็ไปพบแพทย์ แพทย์แจ้งว่าเรา ร่างกายขาดแร่ธาตุ ให้ทานกล้วย ก็มาทาน เริ่มดีขึ้น
หลังๆเริ่มหนักคือ เมื่อตื่นมา นอกจากจะไม่สดชื่นแล้ว มือเริ่มสั่น ใจสั่น แน่นหน้าอก ทานอาหารไม่ค่อยได้ ทานเข้าไปแล้วก็แน่นช่วงกลางท้อง จุก น้ำหนักลด ไป 5 กก.
จนต้องไปพบแพทย์ เฉพาะทางที่ตจว.ใกล้ๆกับกทม. ซึ่งเป็นอาจารย์หมอ (มีคนแนะนำมา)
ต้องบอกก่อนว่าเราได้ไปพบแพทย์ท่านอื่นมาแล้ว แต่ไม่ดีขึ้น และยาที่ได้รับส่งผลกระทบกับเราอย่างรุนแรง จนเราทนไม่ได้
คุณหมอก็แจ้งว่า เรามีอาการเครียดลงกระเพาะ ไม่ใช่กรดไหลย้อน (อย่างที่หมอท่านอื่นแจ้ง)
ก็โอเคร ทานยากันไป ทานไปได้สองเดือน เต็ม อาการดีขึ้นค่ะ นน.ขึ้นมาเท่าปกติ
คุณหมอก็แจ้งให้หยุดยา ให้ออกกำลังกายมากๆ เพื่อระบายความเครียด งดอาหารบางอย่าง
เราก็ปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด
และเราก็แจ้งทางเจ้านายว่ามีอากรแบบนี้ๆ นะ ขอพักงานหน่อย เขาก็เหมือนเข้าใจได้อาทิตเดียวค่ะ
หลังจากนั้น แม้แต่วันหยุด ก็แทบจะไม่ได้พัก เดินทางวันละ เกือบ 10 ชม.
เขาใช้คำว่า "พี่ต้องการ แต่พี่ไม่ได้บังคับ" มากดดันเราตลอดด
จนเราเริ่มหมดความอดทน เขาก็รู้ค่ะ เลยไม่พอใจ และหาข้ออ้างมาเล่นงานว่าเราโกงเงิน
แต่พี่ๆคนอื่นเขาช่วยค่ะ เลยรอดมา
สุดท้ายโรคร้ายก็กลับมา เราปรึกษากับครอบครัวว่าไม่ไหวแล้ว ร่างกายเราไม่โอเครแล้วอยากหยุด เขาก็บอกว่าให้เราอดทน เราร้องสู้ อยู่ที่ไหนก็เหมือนกัน ไปที่ไหนก็เจอเรื่องแบบนี้
เราก็อดทนค่ะ เพราะต้องดูแลครอบครัวอยู่
จนจุดสุดท้าย คือเราน็อคไปเลยค่ะ ต้องเข้ารพ.กลางดึก ตอนนั้นคิดเลยว่าทำไมเราต้องอดทนขนาดนี้ เราเต็มที่ทุกอย่าง เราทำดีแล้ว รับผิดชอบแล้ว ไม่ได้ทำผิดต่อใคร แต่มันเกิดอะไรขึ้น
ครอบครัวก็ยังบอกให้เราอดทนค่ะ
เราต้องกลับไปพบคุณหมอท่านเดิม เพื่อขอรับยา ท่านก็ถาม ทำไมมาอีกแล้วด้วยโรคเดิม
หมอช่วยหนูไม่ได้แล้วนะลูก หนูจะทำยังไง ให้ตัวเองหายล่ะ หมอหรือยาของหมอ ไม่สามารถช่วยหนูได้แล้วนะ
เราก็แทบจะร้องไห้.. คุณหมอท่านก็พูดว่า "หยุดไหมลูก พอไหม เขาใช้งานเราขนาดนี้เพราะคิดว่าเราทำงานได้ดี คนอื่นทำไม่ได้ เเสดงว่าหนูเก่ง หนูมีความสามารถ หนูเคยคิดไหม ว่าหนูอาจมีโอกาสที่ดีกว่านี้ ถ้าหนูหยุดจากที่นี่ หมอเคยมีเคสคนไข้แบบหนู เขาตัดสินใจลาออก และเขาก็ได้เจอทางเดินที่ดีกว่าเดิมนะ ลองเอาไปคิดดู"
ตลอดทางที่เดินทางกลับมากทม. เราก็น้ำตาไหลมาตลอดเลยค่ะ
เราโทรไปหาแม่ บอกว่าหนูไม่ไหวแล้ว หนูรู้ว่างานนี้เงินมันดี หนูรู้ว่าหนูต้องอดทน ต้องสู้ แต่หนูจ่ายด้วยร่างกายหนูไม่ไหวแล้ว
เราตัดสินใจเขียนใบลาออกค่ะ เจ้านายเขาก็บอกว่า อยากทำไร ก็เรื่องของเอ็งเถอะ ได้งานใหม่แล้วล่ะสิ เราก็เลยบอกไปว่าไม่ได้ค่ะแต่อยากลาออก แล้วก็เดินออกมา..
สิ้นเดือนนี้ เราก็จะหลุดพ้นแล้วค่ะ เขาก็มีไปคุยกับคนอื่นให้มาบอกเรา คิดให้ดีๆนะจะออกจากที่นี่ เราก็แน่วแน่แล้ว ทำไปแล้ว ก็เดินหน้าค่ะ
เราต้องขอบคุณ คุณหมอมาก ที่ช่วยปลดล็อคความรู้สึกเรา จนทำให้เรากล้าที่จะออกมา
จากตรงนั้น
อาจจะมีคนสงสัยทำไมไม่หางานก่อน ค่อยออก ที่นี่ไม่ค่อยให้ลาค่ะ ถ้าลาบ่อยจะโดนเรียกคุยขู่ตัดเงิน หรือมีปัญหาอื่นตามมาค่ะ โดยเฉพาะเรา ที่เป็นลูกชัง
ทำไมเป็นลูกชัง เราคนพูดตรงค่ะ ชอบการทำงานเเบบเตรียมพร้อม ไม่ทำแบบไปตายเอาดาบหน้า ตรงข้ามกับเขาทุกอย่าง (อย่างว่าค่ะทำงานแบบนี้ ต้องชั่วบ้างจะไปได้ดี)
ข้อเสีย พูดตรง ไม่ดี พูดเรื่องถูกต้อง( กับบางคน ) ไม่ดี ไม่ยอมเห็นแก่ตัว ไม่รับงานของคนอื่นแต่แรก ไม่ดี คิดว่าตัวเองทำงาน รับผิดชอบงานดีแล้ว แต่กลับไม่คิดว่าคนบางคน ชอบที่คน ไม่ได้ชอบที่เนื้องาน ต้องมองคนให้เป็น อยู่ให้เป็น
ที่สำคัญ เรื่องบางเรื่องควรทิ้งไว้ที่ทำงาน ไม่ต้องเก็บกลับบ้านค่ะ ไม่งั๊นก็จะเป็นภาระร่างกายแบบนี้
เล่าสู่กันฟังค่ะ เจ็บใจเหลือทน หมดค่ายาไปเป็นหมื่น เพราะแค่ความคิดที่ไม่มีทางออกขอวตัวเองทีเดียวเชียว
ปล.ถ้าแท็กผิดห้องขออภัยนะคะ
มันก็แค่เริ่มจากความเครียดเล็กๆ ที่เริ่มไม่ตลก
แต่สาหัส จริงๆ
เรามีอาชีพด้านกฎหมายค่ะ เเรกเริ่มไม่ได้อยากเดินในทางสายนี้ เเต่ไปๆมาๆ ก็ไม่พ้นจนได้
เปลี่ยนงานอยู่สองสามที่ ค่ะ เพราะอยากก้าวหน้าไปเรื่อยๆ สุดท้าย.. ก็มาได้ที่ทำงานล่าสุด
ทำงานมารวม 9 เดือนเองค่ะ เเต่เป็น 9 เดือนที่ สยองมาก กับโรคร้ายที่เราไม่รู้ตัว
งานที่เราทำ ค่อนข้างต้องรับผิดชอบเยอะ ต้องละเอียด มีการเดินทางบ่อยมาก
เราเข้าทำในตำแหน่งเดียวกันกับรุ่นน้องอีกคนค่ะ มีหน้าที่ช่วยกันรับผิดชอบงานคนล่ะครึ่ง
ปรากฎ รุ่นน้องคนนี้มีนิสัยไม่รับผิดชอบ ชอบโยนงาน และทำงานไม่เป็น ไม่สนใจหาความรู้
แต่มีข้อดีอย่างคือ พูดเป็น เอาใจเก่ง หน้าตาน่ารัก
เราก็ได้แต่ต้องรับผิดงาน 80% ของทั้งหมด อะไรทำไม่ได้โยนมาทางนี้หมด
เราก็แย้งไปบ้าง เจ้านายให้คำตอบว่า "เราเป็นพี่ ต้องข่วยเหลือน้อง" อายุห่างกันแค่ปีเดียสเองเนาะ (ประสาท)
ก็อดทนไปค่ะ มีทางบ้านที่เราต้องรับผิดชอบ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือ
1. เราทำงานหนักมาก แบกงานของคนอื่นตลอด
2. เราต้องใข้สมองหนักมาก งานยากๆมาเราก็ต้องแก้ไข
3. เราเดินทางไปตจว.บ่อยมาก
4. เราต้องรับแรงกดดันจากเจ้านายตลอด
ก็ตามระเบียบค่ะ อาการเครียดเริ่มแรกคือ ถ้าวันไหนคิดมากคือ นอนไม่หลับ
รู้ตัวเลยค่ะ แต่ไม่ได้คิดมากเพราะเป็นเรื่องธรรมดา เป็นบ่อยๆ
ต่อมา เเขน ขา เริ่มไม่มีแรงค่ะ อ่อนเพลีย นอนเท่าไหร่ก็ยังเพลียอยู่
ก็ไปพบแพทย์ แพทย์แจ้งว่าเรา ร่างกายขาดแร่ธาตุ ให้ทานกล้วย ก็มาทาน เริ่มดีขึ้น
หลังๆเริ่มหนักคือ เมื่อตื่นมา นอกจากจะไม่สดชื่นแล้ว มือเริ่มสั่น ใจสั่น แน่นหน้าอก ทานอาหารไม่ค่อยได้ ทานเข้าไปแล้วก็แน่นช่วงกลางท้อง จุก น้ำหนักลด ไป 5 กก.
จนต้องไปพบแพทย์ เฉพาะทางที่ตจว.ใกล้ๆกับกทม. ซึ่งเป็นอาจารย์หมอ (มีคนแนะนำมา)
ต้องบอกก่อนว่าเราได้ไปพบแพทย์ท่านอื่นมาแล้ว แต่ไม่ดีขึ้น และยาที่ได้รับส่งผลกระทบกับเราอย่างรุนแรง จนเราทนไม่ได้
คุณหมอก็แจ้งว่า เรามีอาการเครียดลงกระเพาะ ไม่ใช่กรดไหลย้อน (อย่างที่หมอท่านอื่นแจ้ง)
ก็โอเคร ทานยากันไป ทานไปได้สองเดือน เต็ม อาการดีขึ้นค่ะ นน.ขึ้นมาเท่าปกติ
คุณหมอก็แจ้งให้หยุดยา ให้ออกกำลังกายมากๆ เพื่อระบายความเครียด งดอาหารบางอย่าง
เราก็ปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด
และเราก็แจ้งทางเจ้านายว่ามีอากรแบบนี้ๆ นะ ขอพักงานหน่อย เขาก็เหมือนเข้าใจได้อาทิตเดียวค่ะ
หลังจากนั้น แม้แต่วันหยุด ก็แทบจะไม่ได้พัก เดินทางวันละ เกือบ 10 ชม.
เขาใช้คำว่า "พี่ต้องการ แต่พี่ไม่ได้บังคับ" มากดดันเราตลอดด
จนเราเริ่มหมดความอดทน เขาก็รู้ค่ะ เลยไม่พอใจ และหาข้ออ้างมาเล่นงานว่าเราโกงเงิน
แต่พี่ๆคนอื่นเขาช่วยค่ะ เลยรอดมา
สุดท้ายโรคร้ายก็กลับมา เราปรึกษากับครอบครัวว่าไม่ไหวแล้ว ร่างกายเราไม่โอเครแล้วอยากหยุด เขาก็บอกว่าให้เราอดทน เราร้องสู้ อยู่ที่ไหนก็เหมือนกัน ไปที่ไหนก็เจอเรื่องแบบนี้
เราก็อดทนค่ะ เพราะต้องดูแลครอบครัวอยู่
จนจุดสุดท้าย คือเราน็อคไปเลยค่ะ ต้องเข้ารพ.กลางดึก ตอนนั้นคิดเลยว่าทำไมเราต้องอดทนขนาดนี้ เราเต็มที่ทุกอย่าง เราทำดีแล้ว รับผิดชอบแล้ว ไม่ได้ทำผิดต่อใคร แต่มันเกิดอะไรขึ้น
ครอบครัวก็ยังบอกให้เราอดทนค่ะ
เราต้องกลับไปพบคุณหมอท่านเดิม เพื่อขอรับยา ท่านก็ถาม ทำไมมาอีกแล้วด้วยโรคเดิม
หมอช่วยหนูไม่ได้แล้วนะลูก หนูจะทำยังไง ให้ตัวเองหายล่ะ หมอหรือยาของหมอ ไม่สามารถช่วยหนูได้แล้วนะ
เราก็แทบจะร้องไห้.. คุณหมอท่านก็พูดว่า "หยุดไหมลูก พอไหม เขาใช้งานเราขนาดนี้เพราะคิดว่าเราทำงานได้ดี คนอื่นทำไม่ได้ เเสดงว่าหนูเก่ง หนูมีความสามารถ หนูเคยคิดไหม ว่าหนูอาจมีโอกาสที่ดีกว่านี้ ถ้าหนูหยุดจากที่นี่ หมอเคยมีเคสคนไข้แบบหนู เขาตัดสินใจลาออก และเขาก็ได้เจอทางเดินที่ดีกว่าเดิมนะ ลองเอาไปคิดดู"
ตลอดทางที่เดินทางกลับมากทม. เราก็น้ำตาไหลมาตลอดเลยค่ะ
เราโทรไปหาแม่ บอกว่าหนูไม่ไหวแล้ว หนูรู้ว่างานนี้เงินมันดี หนูรู้ว่าหนูต้องอดทน ต้องสู้ แต่หนูจ่ายด้วยร่างกายหนูไม่ไหวแล้ว
เราตัดสินใจเขียนใบลาออกค่ะ เจ้านายเขาก็บอกว่า อยากทำไร ก็เรื่องของเอ็งเถอะ ได้งานใหม่แล้วล่ะสิ เราก็เลยบอกไปว่าไม่ได้ค่ะแต่อยากลาออก แล้วก็เดินออกมา..
สิ้นเดือนนี้ เราก็จะหลุดพ้นแล้วค่ะ เขาก็มีไปคุยกับคนอื่นให้มาบอกเรา คิดให้ดีๆนะจะออกจากที่นี่ เราก็แน่วแน่แล้ว ทำไปแล้ว ก็เดินหน้าค่ะ
เราต้องขอบคุณ คุณหมอมาก ที่ช่วยปลดล็อคความรู้สึกเรา จนทำให้เรากล้าที่จะออกมา
จากตรงนั้น
อาจจะมีคนสงสัยทำไมไม่หางานก่อน ค่อยออก ที่นี่ไม่ค่อยให้ลาค่ะ ถ้าลาบ่อยจะโดนเรียกคุยขู่ตัดเงิน หรือมีปัญหาอื่นตามมาค่ะ โดยเฉพาะเรา ที่เป็นลูกชัง
ทำไมเป็นลูกชัง เราคนพูดตรงค่ะ ชอบการทำงานเเบบเตรียมพร้อม ไม่ทำแบบไปตายเอาดาบหน้า ตรงข้ามกับเขาทุกอย่าง (อย่างว่าค่ะทำงานแบบนี้ ต้องชั่วบ้างจะไปได้ดี)
ข้อเสีย พูดตรง ไม่ดี พูดเรื่องถูกต้อง( กับบางคน ) ไม่ดี ไม่ยอมเห็นแก่ตัว ไม่รับงานของคนอื่นแต่แรก ไม่ดี คิดว่าตัวเองทำงาน รับผิดชอบงานดีแล้ว แต่กลับไม่คิดว่าคนบางคน ชอบที่คน ไม่ได้ชอบที่เนื้องาน ต้องมองคนให้เป็น อยู่ให้เป็น
ที่สำคัญ เรื่องบางเรื่องควรทิ้งไว้ที่ทำงาน ไม่ต้องเก็บกลับบ้านค่ะ ไม่งั๊นก็จะเป็นภาระร่างกายแบบนี้
เล่าสู่กันฟังค่ะ เจ็บใจเหลือทน หมดค่ายาไปเป็นหมื่น เพราะแค่ความคิดที่ไม่มีทางออกขอวตัวเองทีเดียวเชียว
ปล.ถ้าแท็กผิดห้องขออภัยนะคะ