สมมุติคุณอ้วนมากๆ กินอุจจาระของคนผอมทุกๆวัน คุณก็จะผอมลง
นี่คือเทรนด์ของวงการแพทย์ปัจจุบัน?
งานวิจัยเกี่ยวกับเรื่องของแบคทีเรียในลำไส้นี่น่าสนใจมากๆ ผมอยากเล่าให้ฟังแบบง่ายๆ
ไม่มี reference มาก เพราะสามารถไปหาในกูเกิลได้
ตอนที่มีการค้นพบแบคทีเรียใหม่ๆ มนุษย์ค่อนข้างรังเกียจมากๆ เพราะดูยุบๆยิบๆไม่น่ารัก
ขณะเดียวกันอวัยวะที่เป็นที่อยู่ของแบคทีเรีย คือลำไส้ก็ดูไม่ฉลาด ข้อสอบต่างๆมักจัด
ให้เป็นอวัยวะที่ไม่สำคัญเมื่อเทียบกับสมองหรือหัวใจ
แต่ผมคิดว่าประมาณสิบปีนี้ ความสำคัญของแบคทีเรีย/ไส้ กลับเพิ่มสูงขึ้นอย่างน่าประหลาดใจ
เพราะการศึกษาใหม่ๆ เช่น
- 40% ของเซลล์ประสาทอยู่ในลำไส้ ดังนั้นอารมณ์และความรู้สึกหลายๆอย่างจึงมาจากไส้
เช่นความรู้สึกโหวงเหวงในท้องเวลาตื่นตระหนก ซึ่งการที่ลำไส้มาช่วยคิดนี้มันตรงกับความเชื่อ
ของคนไทย ที่ว่า "ใช้กึ๋น"
- แบคทีเรียในลำไส้มีการติดต่อกับสมองทั้งผ่านการกระตุ้นประสาทเวกัส ส่งสารเคมีการอักเสบไปสมอง
(ทำให้เกิดอัลไซเมอร์) หรือตัวมันเดินทางไปสมองจริงๆ เช่นผมเพิ่งอ่านงานวิจัยล่าสุดที่ตีพิมพ์ (สรุป) ใน
Science
พบว่าในคน 100% มีแบคทีเรียอาศัยอยู่ในสมอง ทั้งคนปกติและคนโรคจิตเภท

ภาพแบคทีเรียในสมอง คลิ๊กที่ภาพเพื่อดูต้นฉบับ
- ในคอนเซปต์ล่าสุด คนไม่ใช่คน แต่เป็นเหมือนคนขับรถบัส ที่มีผู้โดยสารเป็นแบคทีเรีย พาราสิต ไวรัส และทุกคนต่างก็มีสิทธิ
มีเสียง ในการควบคุมความรู้สึกของคนคนนั้น
นอกจากนี้การรักษาโรคหลายๆอย่างก็เปลี่ยนไป เช่น
- อ้วน ก็หาอุจจาระของคนผอมมากิน เพื่อปรับแบคทีเรีย เปเปอร์ที่บอกว่าความอ้วนเกิดจากแบคทีเรียมีเยอะเช่น
https://www.nature.com/articles/ismej2012153 "Lipopolysaccharide endotoxin is the only known bacterial product which,
when subcutaneously infused into mice in its purified form,
can induce obesity and insulin resistance via an inflammation"
- เป็นโรคกระเพาะ ก็ดูดเอาน้ำในกระเพาะคนปกติมากิน
- เป็นโรครักษายากเช่น Ulcerative Colitis ก็หาไข่พยาธิมากิน
- อ้วน ก็หลีกเลี่ยงการสัมผัสสารกำจัดวัชพืช เพราะมันเปลี่ยนแบคทีเรียในลำไส้ให้ดูดซึมไขมันได้ดีขึ้น (มีงานวิจัยแต่ผมว่าไม่ชัดเจนเท่าไหร่)
สรุป ทศวรรษหน้าน่าจะเป็นยุคของแบคทีเรียบำบัดและการปรับอารมณ์ความรู้สึกโดยปรับแบคทีเรียในลำไส้
แบคทีเรียบำบัด อนาคตของวงการแพทย์
นี่คือเทรนด์ของวงการแพทย์ปัจจุบัน?
งานวิจัยเกี่ยวกับเรื่องของแบคทีเรียในลำไส้นี่น่าสนใจมากๆ ผมอยากเล่าให้ฟังแบบง่ายๆ
ไม่มี reference มาก เพราะสามารถไปหาในกูเกิลได้
ตอนที่มีการค้นพบแบคทีเรียใหม่ๆ มนุษย์ค่อนข้างรังเกียจมากๆ เพราะดูยุบๆยิบๆไม่น่ารัก
ขณะเดียวกันอวัยวะที่เป็นที่อยู่ของแบคทีเรีย คือลำไส้ก็ดูไม่ฉลาด ข้อสอบต่างๆมักจัด
ให้เป็นอวัยวะที่ไม่สำคัญเมื่อเทียบกับสมองหรือหัวใจ
แต่ผมคิดว่าประมาณสิบปีนี้ ความสำคัญของแบคทีเรีย/ไส้ กลับเพิ่มสูงขึ้นอย่างน่าประหลาดใจ
เพราะการศึกษาใหม่ๆ เช่น
- 40% ของเซลล์ประสาทอยู่ในลำไส้ ดังนั้นอารมณ์และความรู้สึกหลายๆอย่างจึงมาจากไส้
เช่นความรู้สึกโหวงเหวงในท้องเวลาตื่นตระหนก ซึ่งการที่ลำไส้มาช่วยคิดนี้มันตรงกับความเชื่อ
ของคนไทย ที่ว่า "ใช้กึ๋น"
- แบคทีเรียในลำไส้มีการติดต่อกับสมองทั้งผ่านการกระตุ้นประสาทเวกัส ส่งสารเคมีการอักเสบไปสมอง
(ทำให้เกิดอัลไซเมอร์) หรือตัวมันเดินทางไปสมองจริงๆ เช่นผมเพิ่งอ่านงานวิจัยล่าสุดที่ตีพิมพ์ (สรุป) ใน Science
พบว่าในคน 100% มีแบคทีเรียอาศัยอยู่ในสมอง ทั้งคนปกติและคนโรคจิตเภท
ภาพแบคทีเรียในสมอง คลิ๊กที่ภาพเพื่อดูต้นฉบับ
- ในคอนเซปต์ล่าสุด คนไม่ใช่คน แต่เป็นเหมือนคนขับรถบัส ที่มีผู้โดยสารเป็นแบคทีเรีย พาราสิต ไวรัส และทุกคนต่างก็มีสิทธิ
มีเสียง ในการควบคุมความรู้สึกของคนคนนั้น
นอกจากนี้การรักษาโรคหลายๆอย่างก็เปลี่ยนไป เช่น
- อ้วน ก็หาอุจจาระของคนผอมมากิน เพื่อปรับแบคทีเรีย เปเปอร์ที่บอกว่าความอ้วนเกิดจากแบคทีเรียมีเยอะเช่น
https://www.nature.com/articles/ismej2012153 "Lipopolysaccharide endotoxin is the only known bacterial product which,
when subcutaneously infused into mice in its purified form,
can induce obesity and insulin resistance via an inflammation"
- เป็นโรคกระเพาะ ก็ดูดเอาน้ำในกระเพาะคนปกติมากิน
- เป็นโรครักษายากเช่น Ulcerative Colitis ก็หาไข่พยาธิมากิน
- อ้วน ก็หลีกเลี่ยงการสัมผัสสารกำจัดวัชพืช เพราะมันเปลี่ยนแบคทีเรียในลำไส้ให้ดูดซึมไขมันได้ดีขึ้น (มีงานวิจัยแต่ผมว่าไม่ชัดเจนเท่าไหร่)
สรุป ทศวรรษหน้าน่าจะเป็นยุคของแบคทีเรียบำบัดและการปรับอารมณ์ความรู้สึกโดยปรับแบคทีเรียในลำไส้