เลห์ ลาดักซ์ เมืองที่พี่ปุ่นเปิดรูปให้ดูเมื่อหลายปีมาแล้ว ตอนที่เห็นรูปครั้งแรก “อู้หูววว สวยจังงงง”
รูปนั้นเป็นรูปถนนที่มีภูเขาอยู่ด้านหน้า ทุกอย่างถูกปกคลุมด้วยหิมะขาวโพลน
ไผ่ผู้ไม่ค่อยจะทนหนาวซักเท่าไหร่ ด้วยความที่เป็นภูมิแพ้ ผิวแห้งขั้นสุด แถมขี้หนาวอี๊ก ก็คิดมาตลอดว่า
“เราจะไปที่นี่ไหวเหรอวะ”
แต่นะ ประเทศที่อยู่ใน list ดวงคนมันจะได้ไปมันก็ต้องได้ไปล่ะนะ
อยู่ๆ ‘พี่มล’ พี่สาวใจดีบ้าพลัง (และบ้าเที่ยว) ก็พิมพ์ในกรุ๊ปออฟฟิศว่า “ไปเลห์กันมั้ย ใครไปบ้าง”
เท่านั้นแหละ เราไลน์ไปบอกพี่ปุ่นทันที และเราก็ตกลงใจแล้วเริ่มซื้อตั๋วเครื่องบินกันเดือนกุมภา
โดยที่เราจะเดินทางกันเดือนตุลาคม ซึ่งพอลองไปหาข้อมูลเลห์ช่วงตุลาคม ก็พบว่าเป็นช่วง Autumn
ใบไม้เปลี่ยนสีสวยมากๆ แถมเป็นช่วงกำลังเข้าหน้าหนาว อากาศไม่น่าจะหนาวมากเท่าเดือนเมษายน (คิดว่านะ)
สรุปแล้วทริปนี้เรามีด้วยกัน 4 คน คือ
❆ ไผ่และพี่ปุ่น ผู้เตรียมขนกล้องไป
❆ พี่มล ผู้จัดการทุกอย่างในทริปนี้ ตั้งแต่จองตั๋วเครื่อง ที่ต้องโทรข้ามประเทศไปคุยกับแขก (ซึ่งสำเนียงฟังยากโคตร), จองและดีลกับโรงแรมให้จัดโปรแกรมทัวร์ให้, หาข้อมูลร้อยแปดพันเก้าและไปซื้อยาที่จำเป็นมาให้
❆ พี่เจี๊ยบ คู่หูพี่มล กองเสบียงของเรา อยากรู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องของกิน ถามพี่เจี๊ยบได้ ร้านใน IG นี่พี่เจี๊ยบสั่งมาชิมหมดละนะ 5555
สำหรับไผ่ 4 คนนี่กำลังดีเลย เคลื่อนตัวง่าย ไม่ต้องคอยรอกัน เวลานั่งรถไปไหนมาไหนก็ไม่ต้องอัดกัน
เรื่องของที่ต้องเตรียมไปไผ่ทำเป็นคลิปวีดีโอไว้ให้แล้ว ไปดูตาม link นี้ได้เลยค่ะ
https://youtu.be/aneS-lRPUPQ
ค่าใช้จ่ายทริปนี้
● ตั๋วเครื่องบินเราจองของ Jet Airway ทั้งจากกรุงเทพ – เดลีห์ และจากเดลีห์ – เลห์ลาดักซ์นะคะ 15,045 บาท
แนะนำให้จองสายการบินเดียวกันนะคะ เพราะว่าไฟลท์ที่เลห์จะเลื่อนบ่อยมาก ถ้าจองต่างสายการบินเค้าจะไม่รับผิดชอบนะ
● ค่าที่พัก + รถพร้อมคนขับที่จะพาเราเที่ยวตามโปรแกรมทัวร์ที่เลห์ เป็นเวลา 15 วัน 25,450 บาท
ถ้าวันที่พักโรงแรมในตัวเมืองเลห์จะรวมอาหารเช้า ส่วนถ้าวันที่พักนอกเมืองจะรวมอาหารเช้าและเย็นค่ะ
● ค่าทำวีซ่า คนละ 2,764 บาท
ซึ่งพวกเรายื่น Visa Online นะคะ ทำบนเว็ป ง่ายมาก รอแค่ 1 วันก็มี email ตอบกลับว่า approve แล้ว อไรจะเร็วขนาดน๊านน
● ค่า Pocket Money ที่แลกไป (รวมเที่ยวอินเดียอีก 2 วันแล้ว) 10,000 บาท
=> สรุปแล้วทริปนี้อยู่ที่คนละ 53,259 บาทค่ะ
เนื่องจากทริปนี้ไปยาวนานมากกก ตั้ง 15 วัน ไผ่ขอแบ่งเป็น Part ๆไปนะคะ
รีวิวนี้จะขอเริ่มที่การเที่ยวรอบๆตัวเมือง Leh ก่อนนะคะ
พร้อมแล้วไปกันเลยยย
Day 1:
ไผ่ตื่นมาขึ้นเครื่องไฟล์ 5:40 จริงๆอย่าเรียกว่าตื่น เรียกว่าไม่ได้นอนเลยดีกว่า วิวข้างหน้าต่างที่ทุกคนใฝ่ฝัน
ไผ่ไม่เห็นอะไรเลย เพราะหลับค่ะ! 555 และแล้วเครื่องก็มาถึงเลห์ตอน 7 โมงเช้า ใช้เวลาบินแค่ชั่วโมงครึ่งเอง
ไผ่ก็เพิ่งมาได้ อู้หูววว กับวิวของเลห์ก็ตอนลงจากเครื่องนี่ล่ะค่ะ พอเดินลงเครื่องมา เค้าก็จะมีรถมารับเข้าTerminal ซึ่ง
“อ้าว ถึงแล้วเหรอ”
555 คือสนามบินเลห์เล็กมากกกค่ะ แบบว่าไม่ต้องเอารถมารับก็ได้ เดินไปเองก็ด้ายยย
แต่คิดไปคิดมา ก็ดีเหมือนกัน เพราะตอนลงจากรถเดินเข้า Terminal ระยะทางแค่ 10 ก้าว เราก็เจออากาศเย็น –1 °C เข้ามากระทบหน้าจนชาไร้ความรู้สึกไปแล้ว แต่นี่มันแค่เริ่มต้น บอกแล้วใช่มั้ยว่านี่มันช่วงเข้าหน้าหนาว อากาศจะเย็นลงเรื่อยๆในทุกๆวันที่เราอยู่ที่นี่ หึ หึ หึ
พอรอรับกระเป๋าเรียบร้อย เราก็เดินออกมาด้านนอก ก็เจอกับคนขับรถที่ทางโรงแรมเตรียมไว้ให้
นอกจากวิวแล้ว อีกหนึ่งความประทับของเลห์ก็คือคนและบริการนี่แหละค่ะ คือที่นี่พอเราเจอคนขับแล้วปล่อยกระเป๋าได้เลยนะ เค้าเอารถมารับ 2 คัน
คันนึงเค้าจัดแจงยกกระเป๋าเราขนไปเรียบร้อย ส่วนเราก็เดินตัวปลิวนั่งรถอีกคันนึง
ตอนนี้ตื่นแล้วจ้า เราก็มอง 2 ข้างทาง ถนน บ้านเมืองแบบที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน แปลกตาดี
แปปเดียวเราก็มาถึงที่พักของเรา ชื่อว่า ‘Padma Hotel’
ต้องบอกว่ารูปทรง การตกแต่งของโรงแรมที่นี่จะหน้าตาคล้ายๆกันค่ะ มีเอกลักษณ์และน่ารักมากๆ

มาถึง Brickey ผู้จัดการโรงแรม คนที่พี่มลดีลทุกอย่างกับเค้า ก็มาต้อนรับเรา
Brickey พาเรามาที่ห้องอาหารก่อน ไม่ได้พาไปที่พักแฮะ Brickey บอกว่ายูพักทานอาหารกันก่อนเลย แล้วเดี๋ยวเค้าจะมาคุยเรื่องโปรแกรมทัวร์ด้วย ส่วนกระเป๋าพนักงานจะยกไปไว้ที่ห้องให้
ซึ่งที่ห้องอาหารโอ้โห…นี่เราอยู่เลห์จริงรึเปล่า นี่มันคนไทยล้วน!

ใช่ค่ะ เลห์เป็นเมืองที่โคตรจะ Popular สำหรับคนไทยไปแล้ว ที่นี่คนไทยมาเที่ยวเยอะมาก
อาหารเช้าวันนี้เป็น Breakfast Buffet อ๊ะ คนที่นี่เป็น Vegetarian ซะส่วนใหญ่นะคะ
เพราะฉะนั้นอาหารเช้าที่นี่ก็จะไม่มีเนื้อสัตว์ค่ะ เน้นไปที่ไข่ และขนมปังปิ้ง แต่สิ่งที่เราตื่นตากันคือ
ที่นี่มีไข่เจียวแบบไทยด้วย! พี่มลเลยอดไม่ได้ที่จะถามเค้า
พี่มล: “คุณทำไข่เจียวแบบนี้ได้ยังไง”
กัปตันห้องอาหาร: “มีแขกชาวไทยสอนเราทำ”
อ๋อออ อย่างนี้นี่เอง เห็นรึยังคะว่าคนไทยมากันเยอะขนาดไหน ถึงขึ้นไข่เจียวไทยถือเป็นเมนูอาหารเช้าของที่นี่ด้วย!

อีกความน่ารักคือ ระหว่างที่เรานั่งอยู่ คุณกัปต้นห้องอาหาร เค้าก็เอาชานมร้อนกับคุกกี้มาเสิร์ฟ
เรารู้สึกว่าการต้อนรับและบริการที่นี่มันเป็นกันเองและดูแลเราแบบจริงใจมากๆ

พอเราทานกันอิ่มแล้ว Brickey ก็เดินมาคุยกับเรา วันแรกเค้าจะให้เรานอนพักทั้งวัน
อย่าเพิ่งซ่าไปกระโดดโล้ดเต้น หรือเดินเล่นทั่วเมือง เนื่องจากที่เลห์อยู่สูงหนือระดับน้ำทะเลมากๆ
อ๊อกซิเจนที่นี่จะค่อนข้างน้อย คนที่ราบอย่างเราต้องนอนปรับสภาพให้ร่างกายเคยชินก่อน ใครที่มาแล้วไม่พัก
มีความเสี่ยงจะเป็น ‘โรคกลัวความสูง’ ในที่นี้ไม่ใช่ไม่กล้ามองลงไปข้างล่างจากที่สูงๆ นะคะ
มันคืออาการที่ร่างกายปรับสภาพกับอากาศน้อยๆในที่สูงแบบนี้ไม่ได้ แล้วก็ป่วยในที่สุดค่ะ
เพราะฉะนั้นอยากเที่ยวอย่างมีความสุข เชื่อเค้าค่ะ นอน!
ส่วนไผ่ไม่ต้องบอกค่ะ นอนเองเลย ง่วงมาก! 555
**ส่วนใหญ่แนะนำต่อๆกันให้ทานยา Diamox เพื่อช่วยปรับสภาพร่างกาย ต้องทานก่อนมาถึงเลห์ 2 วัน เช้า 1 เม็ด เย็นอีก 1 เม็ด สำหรับแก๊งค์เราก็ทานกันไว้ทุกคนค่ะ แต่! เราไม่ใช่หมอนะคะ แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ก่อนทานกันนะคะ เพราะสภาพร่างกายแต่ละคนไม่เหมือนกันเน้อ
นี่คือห้องพักค่ะ สภาพเตียงอาจจะเละไปบ้าง เพราะพี่ปุ่นได้รื้อผ้าห่มไปพันตัวเองเป็นไข่ม้วนไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ไอก้อนๆบนที่นอนนั่นแหละค่ะ

พื้นไม้ที่ห้องพักเย็นเฉียบมากค่ะ เค้าเลยต้องมีรองเท้าแตะไว้ให้ใส่ในห้อง แต่ไอที่ว่าพื้นห้องเย็นเฉียบแล้ว
พื้นห้องน้ำเย็นกว่าจ้า คือเอาเท้าไปแตะไม่ได้เลย มันทำมาจากหิน เยอะเข้าไปถึงกระดูกเลย

Heater เครื่องใหญ่อย่าคิดว่ามันจะอุ่นเหมือนที่ญี่ปุ่นนะคะ มันทำได้แค่ช่วยบรรเทา
ความอุ่นที่แท้ทรูคือผ้าห่มหนักๆบนเตียงค่ะ มุดตัวเข้าไปแล้วรอให้ความร้อนจากร่างกายเรามันแผ่ไปทั่วผ้าห่ม
เมื่อนั้นแหละ เราจะไม่อยากย่างกรายออกจากผ้าห่มอีกเลย 555
Heater ที่นี่เค้าเปิดปิดเป็นเวลานะคะ
ช่วงเช้า: 6:00 – 9:00 น.
ช่วงเย็น: 18:00 – 23:00 น.

เค้าให้หลับเราก็หลับค่ะ ตื่นมาอีกทีเกือบ 4 โมงเย็น พี่มลก็มาเคาะห้อง ชวนกันเตรียมตัวไปเดินตลาด Leh Market กัน นี่คือวิวที่มองเห็นจากทางเดินหน้าห้องพักค่ะ หน้านี้มันสวยจริงๆ!

โรงแรมเราตั้งอยู่ไม่ห่างจาก Leh Market นัก เดินไปได้ค่ะ เวลาเดินก็ค่อยๆเดินนะคะ เดี๋ยวหายใจไม่ทัน
เอาจริงๆเดินเร็วไม่ได้หรอก มันหนาว!

ระหว่างทางเดินไป เราก็เล็งร้านอาหารไว้ เผื่อมาทานวันหน้า

ระหว่างทางที่เดินมาก็จะมีร้านขายของอยู่ 2 ข้างทางเรื่อยๆค่ะ

และแล้วเราก็มาถึง Leh Market กันแล้ว เฮ้ยยย มันดีกว่าที่คิดไว้ คือเป็นสถานที่ท่องเที่ยวไปแล้ว ไม่ได้ Local อย่างที่คิดนะ!

และนี่คือสิ่งแรกที่เราพุ่งเข้าไปหา นั่นคือเนื้อแกะเสียบไม้ปิ้งค่ะ นี่เป็นเมนู Local ที่เราอยากจะแนะนำตั้งแต่วันแรกจนวันสุดท้ายที่เราจะกลับ เราก็อยากจะแนะนำอยู่ เป็นเมนูที่อร่อยมากกกกก และราคาโคตรถูก ไม้ละแค่ 40 รูปี (20 บาท)
ร้านเค้าจะขาย 3 อย่างนะคะ คือ แกะปิ้ง ไก่ปิ้ง และคิบับแกะ ซึ่งเนื้อไก่จะแพงกว่าแกนะคะ อยู่ที่ไม้ละ 50 รูปี (25 บาท) งงอ่ะเด้ ทำไมไก่แพงกว่าว้าาา 555

พ่อค้าเค้าจะเรียกคนไป พูดเหมือนท่องบทสวดอะไรซักอย่างอ่ะค่ะ
“Mutton Chicken Mutton Chicken Lamb Kibab” พูดอย่างเนี๊ยะเร็วๆ แล้ววนไปเรื่อยๆ
อันนี้เราไป Search มาด้วยความสงสัย เผื่อมีคนสงสัยเหมือนเรา
Mutton คือเนื้อแกะที่โตเต็มวัย ส่วน Lamb คือเนื้อลูกแกะ ค่ะ

พอปิ้งเสร็จแล้ว เค้าก็จะรูดวางไว้บนแป้งนาน แล้วตักซอสเครื่องเคียงให้ คืออย่างที่บอก แกะปิ้งอร่อยมากกก
ส่วนซอสแล้วแต่คนค่ะ มันจะมีรถเปรี้ยวนิดๆเอาไว้ตัดเลี่ยน พี่ๆบอกว่าอร่อย แต่เราชอบทานแกะเพียวๆมากกว่า

อ่ะ นี่ค่ะ พิธีกรรมก่อนทาน แกะปิ้งร่วมสาบาน นี่คือซื้อกันมาแค่ไม้เดียว เอามาชิมลางก่อนไง 555

ทานเสร็จกก็เดินกันต่อค่ะ ระหว่างทางเราจะเจอน้องหมานอนขดตัวกันอยู่เยอะมากกก ที่เลห์หมาเยอะมากค่ะ
หมาที่นี่จะตัวใหญ่มาก แล้วก็ขนปุยๆ ไม่ดุเลยซักกะตัว หรือมันไม่มีอารมณ์จะขยับตัวท่ามกลางอากาศหนาวอย่างนี้นะ 555

วันนี้วันแรกนี่ อะไรก็ตื่นตาไปหมดอ่ะค่ะ เจออะไรก็ถ่ายเก็บไว้ไปทั่ว

เจอขนมอะไรหน้าตาแปลกนิดแปลกหน่อยก็ถ่ายดะ 555

ที่ Leh Market จะมีคุณยายหลายคนเลยมาปูเสื่อขายผัก ผลไม้ข้างทางกัน

ตลาดวันนี้ค่อนข้างคึกคักเลยทีเดียว

ที่นี้ก็ถึงเวลาต้องหาร้านอาหารเพื่อทานข้าวเย็นกันแล้ว วันแรกก็ต้องสุ่มละล่ะค่ะ หันซ้าย หันขวา เอ้า ร้านนี้ละกัน ชื่อว่าร้าน Pasa เป็นร้านสีเขียวๆ ตั้งอยู่บนชั้น 2 ภายในร้านน่ารักเลยค่ะ พนักงานเดินยิ้มแย้มเข้ามาต้อนรับอย่างรวดเร็ว

เมนูอาหารที่นี่ไม่เยอะ แต่สำหรับการทานวันแรก เมนูเท่านี้ถือว่าเยอะพอให้เราลองของใหม่ๆแล้ว เราสั่งมา 3 อย่างทานด้วยค่ะ เป็นข้าวผัด 2 อย่าง และ Chicken Tikka รสชาติ ถือว่าผ่านเลย!
[CR] 15 Days in Autumn Leh Ladakh: EP.1 เที่ยวแบบออร์เดิร์ฟรอบเมืองเลห์ก่อน อย่าเพิ่งซ่า
เลห์ ลาดักซ์ เมืองที่พี่ปุ่นเปิดรูปให้ดูเมื่อหลายปีมาแล้ว ตอนที่เห็นรูปครั้งแรก “อู้หูววว สวยจังงงง”
รูปนั้นเป็นรูปถนนที่มีภูเขาอยู่ด้านหน้า ทุกอย่างถูกปกคลุมด้วยหิมะขาวโพลน
ไผ่ผู้ไม่ค่อยจะทนหนาวซักเท่าไหร่ ด้วยความที่เป็นภูมิแพ้ ผิวแห้งขั้นสุด แถมขี้หนาวอี๊ก ก็คิดมาตลอดว่า
“เราจะไปที่นี่ไหวเหรอวะ”
แต่นะ ประเทศที่อยู่ใน list ดวงคนมันจะได้ไปมันก็ต้องได้ไปล่ะนะ
อยู่ๆ ‘พี่มล’ พี่สาวใจดีบ้าพลัง (และบ้าเที่ยว) ก็พิมพ์ในกรุ๊ปออฟฟิศว่า “ไปเลห์กันมั้ย ใครไปบ้าง”
เท่านั้นแหละ เราไลน์ไปบอกพี่ปุ่นทันที และเราก็ตกลงใจแล้วเริ่มซื้อตั๋วเครื่องบินกันเดือนกุมภา
โดยที่เราจะเดินทางกันเดือนตุลาคม ซึ่งพอลองไปหาข้อมูลเลห์ช่วงตุลาคม ก็พบว่าเป็นช่วง Autumn
ใบไม้เปลี่ยนสีสวยมากๆ แถมเป็นช่วงกำลังเข้าหน้าหนาว อากาศไม่น่าจะหนาวมากเท่าเดือนเมษายน (คิดว่านะ)
สรุปแล้วทริปนี้เรามีด้วยกัน 4 คน คือ
❆ ไผ่และพี่ปุ่น ผู้เตรียมขนกล้องไป
❆ พี่มล ผู้จัดการทุกอย่างในทริปนี้ ตั้งแต่จองตั๋วเครื่อง ที่ต้องโทรข้ามประเทศไปคุยกับแขก (ซึ่งสำเนียงฟังยากโคตร), จองและดีลกับโรงแรมให้จัดโปรแกรมทัวร์ให้, หาข้อมูลร้อยแปดพันเก้าและไปซื้อยาที่จำเป็นมาให้
❆ พี่เจี๊ยบ คู่หูพี่มล กองเสบียงของเรา อยากรู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องของกิน ถามพี่เจี๊ยบได้ ร้านใน IG นี่พี่เจี๊ยบสั่งมาชิมหมดละนะ 5555
สำหรับไผ่ 4 คนนี่กำลังดีเลย เคลื่อนตัวง่าย ไม่ต้องคอยรอกัน เวลานั่งรถไปไหนมาไหนก็ไม่ต้องอัดกัน
เรื่องของที่ต้องเตรียมไปไผ่ทำเป็นคลิปวีดีโอไว้ให้แล้ว ไปดูตาม link นี้ได้เลยค่ะ
https://youtu.be/aneS-lRPUPQ
ค่าใช้จ่ายทริปนี้
● ตั๋วเครื่องบินเราจองของ Jet Airway ทั้งจากกรุงเทพ – เดลีห์ และจากเดลีห์ – เลห์ลาดักซ์นะคะ 15,045 บาท
แนะนำให้จองสายการบินเดียวกันนะคะ เพราะว่าไฟลท์ที่เลห์จะเลื่อนบ่อยมาก ถ้าจองต่างสายการบินเค้าจะไม่รับผิดชอบนะ
● ค่าที่พัก + รถพร้อมคนขับที่จะพาเราเที่ยวตามโปรแกรมทัวร์ที่เลห์ เป็นเวลา 15 วัน 25,450 บาท
ถ้าวันที่พักโรงแรมในตัวเมืองเลห์จะรวมอาหารเช้า ส่วนถ้าวันที่พักนอกเมืองจะรวมอาหารเช้าและเย็นค่ะ
● ค่าทำวีซ่า คนละ 2,764 บาท
ซึ่งพวกเรายื่น Visa Online นะคะ ทำบนเว็ป ง่ายมาก รอแค่ 1 วันก็มี email ตอบกลับว่า approve แล้ว อไรจะเร็วขนาดน๊านน
● ค่า Pocket Money ที่แลกไป (รวมเที่ยวอินเดียอีก 2 วันแล้ว) 10,000 บาท
=> สรุปแล้วทริปนี้อยู่ที่คนละ 53,259 บาทค่ะ
เนื่องจากทริปนี้ไปยาวนานมากกก ตั้ง 15 วัน ไผ่ขอแบ่งเป็น Part ๆไปนะคะ
รีวิวนี้จะขอเริ่มที่การเที่ยวรอบๆตัวเมือง Leh ก่อนนะคะ
พร้อมแล้วไปกันเลยยย
Day 1:
ไผ่ตื่นมาขึ้นเครื่องไฟล์ 5:40 จริงๆอย่าเรียกว่าตื่น เรียกว่าไม่ได้นอนเลยดีกว่า วิวข้างหน้าต่างที่ทุกคนใฝ่ฝัน
ไผ่ไม่เห็นอะไรเลย เพราะหลับค่ะ! 555 และแล้วเครื่องก็มาถึงเลห์ตอน 7 โมงเช้า ใช้เวลาบินแค่ชั่วโมงครึ่งเอง
ไผ่ก็เพิ่งมาได้ อู้หูววว กับวิวของเลห์ก็ตอนลงจากเครื่องนี่ล่ะค่ะ พอเดินลงเครื่องมา เค้าก็จะมีรถมารับเข้าTerminal ซึ่ง
“อ้าว ถึงแล้วเหรอ”
555 คือสนามบินเลห์เล็กมากกกค่ะ แบบว่าไม่ต้องเอารถมารับก็ได้ เดินไปเองก็ด้ายยย
แต่คิดไปคิดมา ก็ดีเหมือนกัน เพราะตอนลงจากรถเดินเข้า Terminal ระยะทางแค่ 10 ก้าว เราก็เจออากาศเย็น –1 °C เข้ามากระทบหน้าจนชาไร้ความรู้สึกไปแล้ว แต่นี่มันแค่เริ่มต้น บอกแล้วใช่มั้ยว่านี่มันช่วงเข้าหน้าหนาว อากาศจะเย็นลงเรื่อยๆในทุกๆวันที่เราอยู่ที่นี่ หึ หึ หึ
พอรอรับกระเป๋าเรียบร้อย เราก็เดินออกมาด้านนอก ก็เจอกับคนขับรถที่ทางโรงแรมเตรียมไว้ให้
นอกจากวิวแล้ว อีกหนึ่งความประทับของเลห์ก็คือคนและบริการนี่แหละค่ะ คือที่นี่พอเราเจอคนขับแล้วปล่อยกระเป๋าได้เลยนะ เค้าเอารถมารับ 2 คัน
คันนึงเค้าจัดแจงยกกระเป๋าเราขนไปเรียบร้อย ส่วนเราก็เดินตัวปลิวนั่งรถอีกคันนึง
ตอนนี้ตื่นแล้วจ้า เราก็มอง 2 ข้างทาง ถนน บ้านเมืองแบบที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน แปลกตาดี
แปปเดียวเราก็มาถึงที่พักของเรา ชื่อว่า ‘Padma Hotel’
ต้องบอกว่ารูปทรง การตกแต่งของโรงแรมที่นี่จะหน้าตาคล้ายๆกันค่ะ มีเอกลักษณ์และน่ารักมากๆ
มาถึง Brickey ผู้จัดการโรงแรม คนที่พี่มลดีลทุกอย่างกับเค้า ก็มาต้อนรับเรา
Brickey พาเรามาที่ห้องอาหารก่อน ไม่ได้พาไปที่พักแฮะ Brickey บอกว่ายูพักทานอาหารกันก่อนเลย แล้วเดี๋ยวเค้าจะมาคุยเรื่องโปรแกรมทัวร์ด้วย ส่วนกระเป๋าพนักงานจะยกไปไว้ที่ห้องให้
ซึ่งที่ห้องอาหารโอ้โห…นี่เราอยู่เลห์จริงรึเปล่า นี่มันคนไทยล้วน!
ใช่ค่ะ เลห์เป็นเมืองที่โคตรจะ Popular สำหรับคนไทยไปแล้ว ที่นี่คนไทยมาเที่ยวเยอะมาก
อาหารเช้าวันนี้เป็น Breakfast Buffet อ๊ะ คนที่นี่เป็น Vegetarian ซะส่วนใหญ่นะคะ
เพราะฉะนั้นอาหารเช้าที่นี่ก็จะไม่มีเนื้อสัตว์ค่ะ เน้นไปที่ไข่ และขนมปังปิ้ง แต่สิ่งที่เราตื่นตากันคือ
ที่นี่มีไข่เจียวแบบไทยด้วย! พี่มลเลยอดไม่ได้ที่จะถามเค้า
พี่มล: “คุณทำไข่เจียวแบบนี้ได้ยังไง”
กัปตันห้องอาหาร: “มีแขกชาวไทยสอนเราทำ”
อ๋อออ อย่างนี้นี่เอง เห็นรึยังคะว่าคนไทยมากันเยอะขนาดไหน ถึงขึ้นไข่เจียวไทยถือเป็นเมนูอาหารเช้าของที่นี่ด้วย!
อีกความน่ารักคือ ระหว่างที่เรานั่งอยู่ คุณกัปต้นห้องอาหาร เค้าก็เอาชานมร้อนกับคุกกี้มาเสิร์ฟ
เรารู้สึกว่าการต้อนรับและบริการที่นี่มันเป็นกันเองและดูแลเราแบบจริงใจมากๆ
พอเราทานกันอิ่มแล้ว Brickey ก็เดินมาคุยกับเรา วันแรกเค้าจะให้เรานอนพักทั้งวัน
อย่าเพิ่งซ่าไปกระโดดโล้ดเต้น หรือเดินเล่นทั่วเมือง เนื่องจากที่เลห์อยู่สูงหนือระดับน้ำทะเลมากๆ
อ๊อกซิเจนที่นี่จะค่อนข้างน้อย คนที่ราบอย่างเราต้องนอนปรับสภาพให้ร่างกายเคยชินก่อน ใครที่มาแล้วไม่พัก
มีความเสี่ยงจะเป็น ‘โรคกลัวความสูง’ ในที่นี้ไม่ใช่ไม่กล้ามองลงไปข้างล่างจากที่สูงๆ นะคะ
มันคืออาการที่ร่างกายปรับสภาพกับอากาศน้อยๆในที่สูงแบบนี้ไม่ได้ แล้วก็ป่วยในที่สุดค่ะ
เพราะฉะนั้นอยากเที่ยวอย่างมีความสุข เชื่อเค้าค่ะ นอน!
ส่วนไผ่ไม่ต้องบอกค่ะ นอนเองเลย ง่วงมาก! 555
**ส่วนใหญ่แนะนำต่อๆกันให้ทานยา Diamox เพื่อช่วยปรับสภาพร่างกาย ต้องทานก่อนมาถึงเลห์ 2 วัน เช้า 1 เม็ด เย็นอีก 1 เม็ด สำหรับแก๊งค์เราก็ทานกันไว้ทุกคนค่ะ แต่! เราไม่ใช่หมอนะคะ แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ก่อนทานกันนะคะ เพราะสภาพร่างกายแต่ละคนไม่เหมือนกันเน้อ
นี่คือห้องพักค่ะ สภาพเตียงอาจจะเละไปบ้าง เพราะพี่ปุ่นได้รื้อผ้าห่มไปพันตัวเองเป็นไข่ม้วนไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ไอก้อนๆบนที่นอนนั่นแหละค่ะ
พื้นไม้ที่ห้องพักเย็นเฉียบมากค่ะ เค้าเลยต้องมีรองเท้าแตะไว้ให้ใส่ในห้อง แต่ไอที่ว่าพื้นห้องเย็นเฉียบแล้ว
พื้นห้องน้ำเย็นกว่าจ้า คือเอาเท้าไปแตะไม่ได้เลย มันทำมาจากหิน เยอะเข้าไปถึงกระดูกเลย
Heater เครื่องใหญ่อย่าคิดว่ามันจะอุ่นเหมือนที่ญี่ปุ่นนะคะ มันทำได้แค่ช่วยบรรเทา
ความอุ่นที่แท้ทรูคือผ้าห่มหนักๆบนเตียงค่ะ มุดตัวเข้าไปแล้วรอให้ความร้อนจากร่างกายเรามันแผ่ไปทั่วผ้าห่ม
เมื่อนั้นแหละ เราจะไม่อยากย่างกรายออกจากผ้าห่มอีกเลย 555
Heater ที่นี่เค้าเปิดปิดเป็นเวลานะคะ
ช่วงเช้า: 6:00 – 9:00 น.
ช่วงเย็น: 18:00 – 23:00 น.
เค้าให้หลับเราก็หลับค่ะ ตื่นมาอีกทีเกือบ 4 โมงเย็น พี่มลก็มาเคาะห้อง ชวนกันเตรียมตัวไปเดินตลาด Leh Market กัน นี่คือวิวที่มองเห็นจากทางเดินหน้าห้องพักค่ะ หน้านี้มันสวยจริงๆ!
โรงแรมเราตั้งอยู่ไม่ห่างจาก Leh Market นัก เดินไปได้ค่ะ เวลาเดินก็ค่อยๆเดินนะคะ เดี๋ยวหายใจไม่ทัน
เอาจริงๆเดินเร็วไม่ได้หรอก มันหนาว!
ระหว่างทางเดินไป เราก็เล็งร้านอาหารไว้ เผื่อมาทานวันหน้า
ระหว่างทางที่เดินมาก็จะมีร้านขายของอยู่ 2 ข้างทางเรื่อยๆค่ะ
และแล้วเราก็มาถึง Leh Market กันแล้ว เฮ้ยยย มันดีกว่าที่คิดไว้ คือเป็นสถานที่ท่องเที่ยวไปแล้ว ไม่ได้ Local อย่างที่คิดนะ!
และนี่คือสิ่งแรกที่เราพุ่งเข้าไปหา นั่นคือเนื้อแกะเสียบไม้ปิ้งค่ะ นี่เป็นเมนู Local ที่เราอยากจะแนะนำตั้งแต่วันแรกจนวันสุดท้ายที่เราจะกลับ เราก็อยากจะแนะนำอยู่ เป็นเมนูที่อร่อยมากกกกก และราคาโคตรถูก ไม้ละแค่ 40 รูปี (20 บาท)
ร้านเค้าจะขาย 3 อย่างนะคะ คือ แกะปิ้ง ไก่ปิ้ง และคิบับแกะ ซึ่งเนื้อไก่จะแพงกว่าแกนะคะ อยู่ที่ไม้ละ 50 รูปี (25 บาท) งงอ่ะเด้ ทำไมไก่แพงกว่าว้าาา 555
พ่อค้าเค้าจะเรียกคนไป พูดเหมือนท่องบทสวดอะไรซักอย่างอ่ะค่ะ
“Mutton Chicken Mutton Chicken Lamb Kibab” พูดอย่างเนี๊ยะเร็วๆ แล้ววนไปเรื่อยๆ
อันนี้เราไป Search มาด้วยความสงสัย เผื่อมีคนสงสัยเหมือนเรา
Mutton คือเนื้อแกะที่โตเต็มวัย ส่วน Lamb คือเนื้อลูกแกะ ค่ะ
พอปิ้งเสร็จแล้ว เค้าก็จะรูดวางไว้บนแป้งนาน แล้วตักซอสเครื่องเคียงให้ คืออย่างที่บอก แกะปิ้งอร่อยมากกก
ส่วนซอสแล้วแต่คนค่ะ มันจะมีรถเปรี้ยวนิดๆเอาไว้ตัดเลี่ยน พี่ๆบอกว่าอร่อย แต่เราชอบทานแกะเพียวๆมากกว่า
อ่ะ นี่ค่ะ พิธีกรรมก่อนทาน แกะปิ้งร่วมสาบาน นี่คือซื้อกันมาแค่ไม้เดียว เอามาชิมลางก่อนไง 555
ทานเสร็จกก็เดินกันต่อค่ะ ระหว่างทางเราจะเจอน้องหมานอนขดตัวกันอยู่เยอะมากกก ที่เลห์หมาเยอะมากค่ะ
หมาที่นี่จะตัวใหญ่มาก แล้วก็ขนปุยๆ ไม่ดุเลยซักกะตัว หรือมันไม่มีอารมณ์จะขยับตัวท่ามกลางอากาศหนาวอย่างนี้นะ 555
วันนี้วันแรกนี่ อะไรก็ตื่นตาไปหมดอ่ะค่ะ เจออะไรก็ถ่ายเก็บไว้ไปทั่ว
เจอขนมอะไรหน้าตาแปลกนิดแปลกหน่อยก็ถ่ายดะ 555
ที่ Leh Market จะมีคุณยายหลายคนเลยมาปูเสื่อขายผัก ผลไม้ข้างทางกัน
ตลาดวันนี้ค่อนข้างคึกคักเลยทีเดียว
ที่นี้ก็ถึงเวลาต้องหาร้านอาหารเพื่อทานข้าวเย็นกันแล้ว วันแรกก็ต้องสุ่มละล่ะค่ะ หันซ้าย หันขวา เอ้า ร้านนี้ละกัน ชื่อว่าร้าน Pasa เป็นร้านสีเขียวๆ ตั้งอยู่บนชั้น 2 ภายในร้านน่ารักเลยค่ะ พนักงานเดินยิ้มแย้มเข้ามาต้อนรับอย่างรวดเร็ว
เมนูอาหารที่นี่ไม่เยอะ แต่สำหรับการทานวันแรก เมนูเท่านี้ถือว่าเยอะพอให้เราลองของใหม่ๆแล้ว เราสั่งมา 3 อย่างทานด้วยค่ะ เป็นข้าวผัด 2 อย่าง และ Chicken Tikka รสชาติ ถือว่าผ่านเลย!
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้