สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 23
เคสนี้ ผมให้กำลังใจฝั่งโรงพยาบาลมากกว่า
เรื่องทางการแพทย์ การตรวจคัดกรองเป็นเรื่องละเอียดอ่อนมากๆ
เมื่อการคัดกรองสัญญาณชีพยังดี ผ่านเกณฑ์ที่กำหนดทุกอย่าง
เวลานั้นไม่เข้าข่ายฉุกเฉิน คนเจ็บก็ยังรู้สึกตัวดีด้วยซ้ำ
ขั้นตอนต่อมาคือ การแจ้งสิทธิ์ให้คนไข้เลือกว่าจะรักษาต่อที่นี่หรือไป รพ.ที่มีสิทธิ์
ซึ่งทุกอย่าง เท่าที่ผมดูจากข้อมูลที่มี ก็ถูกต้องตามขั้นตอน
ปัญหาคือ การเกิดดราม่า ไม่รับรักษา ไอ้บ้าที่ไหนเป็นคนจุดประเด็นนี้ขึ้นมา
ซึ่งตรงนี้ถ้าคนไม่รู้เรื่องทางการแพทย์ ไม่รู้อาการลำดับของโรคหรืออาการบาดเจ็บ
จะไปมั่วส่งเดชไม่ได้ ต้องใช้เหตุผล สติ มากกว่านี้ และต้องมีข้อมูลรอบด้าน
โดยเฉพาะคนเป็นทนาย จะเอาข้อกฎหมายมาหักด้ามพร้าด้วยเข่าไม่ได้
เรื่องนี้ต้องอยู่บนพื้นฐานข้อเท็จจริงครับ และ อย่าลืมว่าหมอกับพยาบาลไม่ใช่เทวดา
ที่จะวินิจฉัยอาการได้เป๊ะทุกอย่าง ทุกอาการมันมีขั้นตอนการวินิจฉัยอยู่
เราต้องเอาพื้นฐานตรงนี้มาคุยกัน ไม่ใช่ความรู้สึก อารมณ์ หรือข้อกฎหมายข้อใด
ในความเห็นของผม ถ้าใช้คำว่าไม่รับรักษา ป่านนี้ผู้เสียชีวิตไม่ได้เข้ามาห้องฉุกเฉินหรอก
ประเด็นที่ต้องตรวจสอบคือ
- ตอนที่สัญญาณชีพคนเจ็บยังดี ยังเดินเองไหว ใครเป็นคนตัดสินใจ
เรื่องการย้าย รพ. หลังแจ้งสิทธิ์ ลูกสาว เจ้าหน้าที่ รพ. หรือตัวผู้เสียชีวิต
- ตัวผู้เสียชีวิตเอง ตอนนี้มีพยานหลายคน ยืนยันว่าพูดโต้ตอบรู้เรื่อง
ช่วยเหลือตัวเองได้ ในเวลานั้น ถามว่า ผู้เสียชีวิตตอนนั้น ได้แจ้งหรือไม่
ว่าถูกกรอกปากด้วยน้ำกรดในช่วงที่ซักประวัติ
- ใน รพ.นี้ มีแพทย์ที่เชี่ยวชาญเรื่องการรักษาผู้ป่วยที่บาดเจ็บจากกรดหรือไม่
ถ้าไม่มี ก็ไม่แปลกที่จะไม่สามารถเดาอาการล่วงหน้าได้ ย้ำอีกครั้งว่าหมอไม่ใช่เทวดา
และถ้ารักษาพื้นฐานด้วยการล้างน้ำสะอาดมากๆไปแล้ว สัญญาณชีพยังดี
มันก็ยากที่จะรู้ว่าร่างกายภายในเสียหาย ยิ่งถ้าคนเจ็บไม่ได้บอกว่าถูกกรอกกรด
- ย้ำอีกครั้ง ประเด็นคือ ต้องสอบว่าการประเมินว่าฉุกเฉินวิกฤต ทำถูกต้องหรือไม่
ไม่ใช่ดราม่าไม่รับรักษา เราควรคุยกันด้วยเหตุผลตรงจุดนี้ครับ
เรื่องทางการแพทย์ การตรวจคัดกรองเป็นเรื่องละเอียดอ่อนมากๆ
เมื่อการคัดกรองสัญญาณชีพยังดี ผ่านเกณฑ์ที่กำหนดทุกอย่าง
เวลานั้นไม่เข้าข่ายฉุกเฉิน คนเจ็บก็ยังรู้สึกตัวดีด้วยซ้ำ
ขั้นตอนต่อมาคือ การแจ้งสิทธิ์ให้คนไข้เลือกว่าจะรักษาต่อที่นี่หรือไป รพ.ที่มีสิทธิ์
ซึ่งทุกอย่าง เท่าที่ผมดูจากข้อมูลที่มี ก็ถูกต้องตามขั้นตอน
ปัญหาคือ การเกิดดราม่า ไม่รับรักษา ไอ้บ้าที่ไหนเป็นคนจุดประเด็นนี้ขึ้นมา
ซึ่งตรงนี้ถ้าคนไม่รู้เรื่องทางการแพทย์ ไม่รู้อาการลำดับของโรคหรืออาการบาดเจ็บ
จะไปมั่วส่งเดชไม่ได้ ต้องใช้เหตุผล สติ มากกว่านี้ และต้องมีข้อมูลรอบด้าน
โดยเฉพาะคนเป็นทนาย จะเอาข้อกฎหมายมาหักด้ามพร้าด้วยเข่าไม่ได้
เรื่องนี้ต้องอยู่บนพื้นฐานข้อเท็จจริงครับ และ อย่าลืมว่าหมอกับพยาบาลไม่ใช่เทวดา
ที่จะวินิจฉัยอาการได้เป๊ะทุกอย่าง ทุกอาการมันมีขั้นตอนการวินิจฉัยอยู่
เราต้องเอาพื้นฐานตรงนี้มาคุยกัน ไม่ใช่ความรู้สึก อารมณ์ หรือข้อกฎหมายข้อใด
ในความเห็นของผม ถ้าใช้คำว่าไม่รับรักษา ป่านนี้ผู้เสียชีวิตไม่ได้เข้ามาห้องฉุกเฉินหรอก
ประเด็นที่ต้องตรวจสอบคือ
- ตอนที่สัญญาณชีพคนเจ็บยังดี ยังเดินเองไหว ใครเป็นคนตัดสินใจ
เรื่องการย้าย รพ. หลังแจ้งสิทธิ์ ลูกสาว เจ้าหน้าที่ รพ. หรือตัวผู้เสียชีวิต
- ตัวผู้เสียชีวิตเอง ตอนนี้มีพยานหลายคน ยืนยันว่าพูดโต้ตอบรู้เรื่อง
ช่วยเหลือตัวเองได้ ในเวลานั้น ถามว่า ผู้เสียชีวิตตอนนั้น ได้แจ้งหรือไม่
ว่าถูกกรอกปากด้วยน้ำกรดในช่วงที่ซักประวัติ
- ใน รพ.นี้ มีแพทย์ที่เชี่ยวชาญเรื่องการรักษาผู้ป่วยที่บาดเจ็บจากกรดหรือไม่
ถ้าไม่มี ก็ไม่แปลกที่จะไม่สามารถเดาอาการล่วงหน้าได้ ย้ำอีกครั้งว่าหมอไม่ใช่เทวดา
และถ้ารักษาพื้นฐานด้วยการล้างน้ำสะอาดมากๆไปแล้ว สัญญาณชีพยังดี
มันก็ยากที่จะรู้ว่าร่างกายภายในเสียหาย ยิ่งถ้าคนเจ็บไม่ได้บอกว่าถูกกรอกกรด
- ย้ำอีกครั้ง ประเด็นคือ ต้องสอบว่าการประเมินว่าฉุกเฉินวิกฤต ทำถูกต้องหรือไม่
ไม่ใช่ดราม่าไม่รับรักษา เราควรคุยกันด้วยเหตุผลตรงจุดนี้ครับ
ความคิดเห็นที่ 7
ขอเห็นต่างเจ้าของกระทู้
“ต่างฝ่ายต่างพ่ายแพ้ให้กับโทสะโวยวายใช้คำหยาบคาย”. ไม่ได้พ่ยแพ้โทสะอะไรเลย. เป็นการชิงพื้นที่. ยุคนี้ใครโวยเสียงดังได้เปรียบ. คนค่อยๆพูดไม่มีคนฟังหรอก.
“หากคิดว่าตนเองไม่ผิดก็รอไปสืบกันในระบบหรือสู้กันในศาลภาพจะออกมาดีกว่า”. กระบวนการศาลในกฏหมายสืบพยานหลักฐานใช้เวลาเป็นสิบปี. แต่ศาลsocial mediaใช้เวลาสิบวินาที. ถ้าไม่รีบแย้งตอนนี้ก็โดนสังคมตัดสินว่าผิดไปแล้วครับ
เห็นใจญาติผู้สูญเสียครับ. แต่ใครคือคนที่ลากเรื่องนี้ลงมาสื่อsocial. คือคนทำให้เกิดสถาณการณ์แบบนี้. โรงพยาบาลเหรอครับ?
“ต่างฝ่ายต่างพ่ายแพ้ให้กับโทสะโวยวายใช้คำหยาบคาย”. ไม่ได้พ่ยแพ้โทสะอะไรเลย. เป็นการชิงพื้นที่. ยุคนี้ใครโวยเสียงดังได้เปรียบ. คนค่อยๆพูดไม่มีคนฟังหรอก.
“หากคิดว่าตนเองไม่ผิดก็รอไปสืบกันในระบบหรือสู้กันในศาลภาพจะออกมาดีกว่า”. กระบวนการศาลในกฏหมายสืบพยานหลักฐานใช้เวลาเป็นสิบปี. แต่ศาลsocial mediaใช้เวลาสิบวินาที. ถ้าไม่รีบแย้งตอนนี้ก็โดนสังคมตัดสินว่าผิดไปแล้วครับ
เห็นใจญาติผู้สูญเสียครับ. แต่ใครคือคนที่ลากเรื่องนี้ลงมาสื่อsocial. คือคนทำให้เกิดสถาณการณ์แบบนี้. โรงพยาบาลเหรอครับ?
แสดงความคิดเห็น
ที่ซัดกันใน รพ วันนี้จะชี้หน้าตะโกนโวยวายใช้คำหยาบคายต่อหน้าเด็กเพื่ออะไรกัน?
ฝั่งหนึ่งเดือดส่วนอีกฝั่งทั้งๆที่น่าจะมีวุฒิภาวะมากกว่ากลับคุมอารมณ์ไม่อยู่สติหลุดไปซะงั้น
พอกันทั้งสองฝ่าย หากจะด่ากันแบบที่เห็นเนี่ยจะเอาเด็กไปนั่งอยู่ในห้องเพื่ออะไร น่าจะเอาเด็กออกไปก่อนแล้วจะหยาบคายกันยังไงก็ว่าไป
นี่ต่างฝ่ายต่างพ่ายแพ้ให้กับโทสะโวยวายใช้คำหยาบคายต่อหน้าเด็กทั้งๆที่เค้าเองก็สภาพจิตใจย่ำแย่พออยู่แล้ว ไม่ไหวแบบนี้
ก็แปลกดี
ไอ้ตัวการใจโหดที่ลงมือทำร้ายผู้เสียชีวิตกลับไม่ใช่คนที่ถูกชี้หน้าด่าทอหรือถูกเรียกร้องความยุติธรรมเท่ากับอีกฝ่ายที่อยู่ในเหตุๆนี้
คนตั้งคำถามเค้าจะเดือดจะมีอารมณ์ยังไงก็ต้องพยายามเห็นใจและทำความเข้าใจให้ได้ว่าเค้าคือผู้สูญเสีย
คนที่ถูกตั้งคำถามต้องใจเย็นๆอะไรตอบได้ตอบ อะไรตอบได้ไม่ชัดเจนก็ไม่ต้องพูดดีกว่า หากผิดจริงควรออกมาแสดงความรับผิดชอบ
หากคิดว่าตนเองไม่ผิดก็รอไปสืบกันในระบบหรือสู้กันในศาลภาพจะออกมาดีกว่าที่เห็นเยอะ
สงสารก็แต่เด็กนั่นแหละ
นั่งกันหน้าสลอนผู้ใหญ่ทั้งนั้นบ้างตะโกนบ้างเงียบกริบไม่มีเตือนกันปรามกันหรือทักว่าเอาเด็กออกไปก่อนได้ไหม