ก่อนหน้านี้มีดราม่าไทย vs เวียดนาม เพราะคะแนน PISA เวียดนามสูงกว่าไทย แล้วก็มีคนมาอธิบายว่าไม่สูงกว่าสิแปลก เพราะ..
- การสอบ PISA เป็นการสอบวัดเด็กอายุ 15 ปี ถ้าเทียบระดับชั้นเรียนคือ ม.4 ( ม.ปลาย )
- ในเวียดนาม คนที่เรียนต่อ ม.ปลายได้ถ้าไม่ใช่เด็กที่หัวดีจนได้ทุน ก็ต้องเป็นลูกหลานชนชั้นกลางขึ้นไปที่ผู้ปกครองมีปัญญาส่งเรียน แน่นอนว่าโรงเรียนค่าเทอมแพง ก็มีแนวโน้มที่ทรัพยากรด้านการศึกษาจะมีคุณภาพดีด้วย ดังนั้นถ้าไม่สติปัญญาด้อยจนเกินไปกว่าระดับคนปกติ ย่อมสามารถเข็น สามารถผลักดันให้เก่งขึ้นมาได้ในระดับหนึ่ง
- เด็กเวียดนามกลุ่มที่ไปสอบ จึงมีทั้งเด็กหัวกะทิโดยกำเนิดประเภทช้างเผือกที่จนแต่ได้ทุนเรียน กับเด็กธรรมดาๆ แต่ถูกเคี่ยวเข็ญให้เก่งขึ้นมาได้พอสมคสรเพราะทางบ้านมีเงินลงทุนให้ จากชนชั้นสูงบ้าง ชนชั้นกลางบ้าง แต่โดยรวมถือว่าไม่ต่างกันมาก คะแนนสอบ PISA ของเวียดนามที่ออกมาสวยๆ ก็เพราะแบบนี้ ส่วนเด็กระดับธรรมดาทั่วไปจากครอบครัวชนชั้นค่อนไปทางล่าง ไม่ถูกนับเข้าระบบเพราะไม่ได้มาอยู่ในชั้น ม.ปลาย ข้อมูลเป็น Unknown ที่ชาวโลกไม่มีโอกาสได้ล่วงรู้ว่าเขาใช้ชีวิตกันแบบไหน
- ตรงกันข้ามกับไทย ด้วยความที่รัฐบาลไทยไม่ว่าชุดไหนก็มีเป้าหมายตรงกันคือ "อยากให้เด็กไทยทุกคนได้เรียนสูงๆ เท่าที่จะเป็นไปได้" แม้จะต่างพรรคต่างที่มา แต่สิ่งที่เหมือนกันคือเราพยายาม "ขยายโอกาสทางการศึกษา" สร้างโรงเรียนและผลิตครูกระจายออกไปให้มากที่สุด ทยอยเพิ่มการศึกษาภาคบังคับที่ทุกคนต้องได้เรียน จาก ป. 6 เป็น ม.3 และปัจจุบันคือ ม.6 (หรือเทียบเท่า เช่น ปวช. ปี 3 ) เด็กไทยในภาพรวมจึงอยู่ในระบบโรงเรียนถึงอายุ 18 มากขึ้นเรื่อยๆ ตามลำดับ
- แต่ขณะเดียวกันก็ไม่มีรัฐบาลไทยชุดไหนเลยที่สามารถแก้ปัญหา "คุณภาพที่ต่างกันเกินไปของโรงเรียนแต่ละแห่งในประเทศ" ในสังคมไทย คนไทยเราทราบดีว่าสามารถแบ่งคุณภาพโรงเรียนได้เป็น Class ตั้งแต่ S ( โรงเรียนชั้นนำระดับประเทศ ส่วนใหญ่กระจุกตัวในกรุงเทพฯ และมีบ้างที่อยู่ตามเขตอำเภอเมืองของจังหวัดใหญ่ๆ ) A ( โรงเรียนชั้นนำเกรดรองลงมา ส่วนใหญ่อยู่ในกรุงเทพฯ ถ้าเป็นจังหวัดอื่นๆ ก็จะอยู่ในเขตเมือง เช่น เขตอำเภอเมืองอันเป็นศูนย์กลางของจังหวัด หรือเป็นโรงเรียนชั้นนำของอำเภอ ) B ( โรงเรียนทั่วๆ ไป ) และ C ( โรงเรียนขยายโอกาส )
- โรงเรียนไทย S Class กับ A Class ได้รับทรัพยากรทางการศึกษาอย่างมาก ทั้งจากรัฐที่จัดงบประมาณและบุคลากรลงไป และจากผู้ปกครองเด็ก ( ใครจะเรียกแป๊ะเจี๊ยะหรือไม่ก็แล้วแต่ แต่ความเป็นจริงคือโรงเรียนกลุ่มนี้มีวิธีการคัดจนเหลือแค่ถ้าไม่ใช่เด็กยากจนแต่เป็นช้างเผือกหัวกะทิได้ทุน กับเด็กชนชั้นกลาง/ชั้นสูงที่ผู้ปกครองมีกำลังทรัพย์ในระดับหนึ่ง และคนกลุ่มหลังนี่แหละที่เป็นแหล่งรายได้ทางหนึ่งของโรงเรียน ) จึงมีทรัพยากรมากพอ (หรือ ถึงขั้นเหลือเฟือ ) ที่จะทำให้บรรยากาศในโรงเรียนเอื้อต่อการพัฒนาศักยภาพคนไปด้วย เด็กทีอาจไม่ถึงขั้นหัวกะทิ แต่ก็ไม่หัวทึบต่ำกว่าเกณฑ์คนปกติ เมื่อมาเรียนในโรงเรียนกลุ่มนี้มันก็เก่งขึ้นมาได้ระดับหนึ่งเหมือนกัน
- แต่โรงเรียนไทยระดับ B Class อาจจะมีปัจจัยพื้นฐานครบ เช่นครู สื่อการเรียนการสอน แต่ก็ได้แค่ปัจจัยพื้นฐาน และเป็นปัจจัยพื้นฐานที่ไม่ได้มีคุณภาพสูงนักถ้าเทียบกับโรงเรียนระดับ S , A Class ที่พร้อมกว่ามาก ยิ่งโรงเรียนระดับ C Class นี่ไม่ต้องพูดถึง แม้แต่ปัจจัยพื้นฐานอาจจะไม่ครบก็ได้ เช่น มีครูไม่ครบชั้น ไม่มีอินเตอร์เน็ตความเร็วสูง เด็กธรรมดาๆ ไม่ใช่หัวกะทิ และบ้านไม่ค่อยมีฐานะเท่าใดนัก ก็กลายเป็นเด็กคุณภาพไม่ดีได้ เพราะไม่มีโอกาสได้รับการขัดเกลาด้วยระบบและทรัพยากรที่มีคุณภาพสูง อย่างเด็กกลุ่มเดียวกันแต่ฐานะดีกว่าที่มีช่องทางเข้าไปเรียนในโรงเรียน S , A Class
- อย่างไรก็ตามเมื่อไทยเราตัดสินใจใช้นโยบายกวาดเด็กเข้าสุ่ระบบโรงเรียนให้มากที่สุด เด็กจากโรงเรียน B , C Class ย่อมมีสิทธิ์ที่จะเป็นตัวแทนไปสอบ PISA เช่นเดียวกับเด็กโรงเรียน S , A Class แม้คุณภาพโรงเรียนทั้ง 2 กลุ่มจะต่างกันราวฟ้ากับเหว ผลก็คือคะแนนจากเด็กโรงเรียน B , C Class นี่แหละที่ฉุดคะแนนภาพรวมของประเทศให้ต่ำลง ไทยจึงไม่อาจอวดตัวเลขสวยๆ ได้อย่างเวียดนาม
( จริงๆ คะแนน O-Net มันก็ฟ้องทุกปีละ พวก S , A คะแนนจะอยู่หัวตาราง แต่มีเด็กกลุ่มนี้น้อยเมื่อเทียบกับพวก B , C ที่เยอะกว่าแล้วไปกองกันท้ายตาราง ระดับโรงเรียนมันต่างกันเกินไป )
ฉะนั้นผมเลยคิดเล่นๆ ว่า ถ้าเราสามารถส่งเฉพาะเด็กจากโรงเรียน S , A Class ไปสอบ PISA ได้แบบเวียดนาม เผลอๆ เราน่าจะเป็นหัวตารางในระดับโลกได้เลยนะ หรืออย่างน้อยไม่ต่ำกว่ากลางตารางแน่นอน เลยมาตั้งกระทู้นี้นี่ละครับ คิดว่าถ้าไทยทำแบบนี้ได้ เราจะอยุ่ประมาณไหนของโลก?
ปล.ในเว็บ สสวท. เขียนข้อสังเกตไว้เล็กน้อยครับ
"อย่างไรก็ตาม ยังมีแง่มุมอื่น ๆ ที่อาจเพิ่มคำอธิบายส่วนที่เหลือของผลการประเมินที่แตกต่างของนักเรียนเวียดนาม ประการแรก คือ ข้อสังเกตที่เวียดนามมีนักเรียนจำนวนมากที่ออกจากโรงเรียนตั้งแต่จบชั้นประถมศึกษาหรือมัธยมศึกษาตอนต้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มนักเรียนที่ยากจน หรือนักเรียนชนกลุ่มน้อยทางชาติพันธุ์ สถิติอัตราการเรียนต่อของนักเรียนมัธยมศึกษาตอนปลายมีเพียง 60% เท่านั้น (ไทย 98%) และส่วนใหญ่เป็นนักเรียนที่ได้เปรียบกว่าทางวิชาการและทางด้านเศรษฐกิจ ส่วนนักเรียนยากจนมีอัตราการเรียนต่อที่ต่ำ เพราะมีเพียง 20% เท่านั้นที่เรียนต่อในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย (M.I., 2013) จึงชี้ว่านักเรียนที่เรียนต่อชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายส่วนใหญ่เป็นนักเรียนที่มีภูมิหลังทางเศรษฐกิจและสังคมที่ได้เปรียบซึ่งผลการวิจัยชี้ว่า ตัวแปรนี้ส่งผลกระทบทางบวกต่อผลการเรียนรู้ และเนื่องจากนักเรียนอายุ 15 ปี ของเวียดนามศึกษาอยู่ในชั้นปีที่ 10 มีถึง 88% (OECD, 2013b) จึงเป็นที่แน่นอนว่ากลุ่มตัวอย่าง PISA ของเวียดนามถือว่าคัดเลือกมาแล้วโดยอัตโนมัติจากระบบฯ กล่าวคือคัดเลือกมาจากกลุ่มที่มีพื้นฐานที่ได้เปรียบกว่าอยู่แล้วโดยตัวเอง"
ที่มา :
https://pisathailand.ipst.ac.th/issue-2016-11/
TonyMao_NK51 (ใช้แทนอมยิ้มที่ถูกแบน )
ถ้าไทยคัดเฉพาะเด็กที่เรียนในโรงเรียนระดับ S กับ A Class ไปสอบ PISA คิดว่าจะอยู่อันดับประมาณไหนของโลกครับ?
- การสอบ PISA เป็นการสอบวัดเด็กอายุ 15 ปี ถ้าเทียบระดับชั้นเรียนคือ ม.4 ( ม.ปลาย )
- ในเวียดนาม คนที่เรียนต่อ ม.ปลายได้ถ้าไม่ใช่เด็กที่หัวดีจนได้ทุน ก็ต้องเป็นลูกหลานชนชั้นกลางขึ้นไปที่ผู้ปกครองมีปัญญาส่งเรียน แน่นอนว่าโรงเรียนค่าเทอมแพง ก็มีแนวโน้มที่ทรัพยากรด้านการศึกษาจะมีคุณภาพดีด้วย ดังนั้นถ้าไม่สติปัญญาด้อยจนเกินไปกว่าระดับคนปกติ ย่อมสามารถเข็น สามารถผลักดันให้เก่งขึ้นมาได้ในระดับหนึ่ง
- เด็กเวียดนามกลุ่มที่ไปสอบ จึงมีทั้งเด็กหัวกะทิโดยกำเนิดประเภทช้างเผือกที่จนแต่ได้ทุนเรียน กับเด็กธรรมดาๆ แต่ถูกเคี่ยวเข็ญให้เก่งขึ้นมาได้พอสมคสรเพราะทางบ้านมีเงินลงทุนให้ จากชนชั้นสูงบ้าง ชนชั้นกลางบ้าง แต่โดยรวมถือว่าไม่ต่างกันมาก คะแนนสอบ PISA ของเวียดนามที่ออกมาสวยๆ ก็เพราะแบบนี้ ส่วนเด็กระดับธรรมดาทั่วไปจากครอบครัวชนชั้นค่อนไปทางล่าง ไม่ถูกนับเข้าระบบเพราะไม่ได้มาอยู่ในชั้น ม.ปลาย ข้อมูลเป็น Unknown ที่ชาวโลกไม่มีโอกาสได้ล่วงรู้ว่าเขาใช้ชีวิตกันแบบไหน
- ตรงกันข้ามกับไทย ด้วยความที่รัฐบาลไทยไม่ว่าชุดไหนก็มีเป้าหมายตรงกันคือ "อยากให้เด็กไทยทุกคนได้เรียนสูงๆ เท่าที่จะเป็นไปได้" แม้จะต่างพรรคต่างที่มา แต่สิ่งที่เหมือนกันคือเราพยายาม "ขยายโอกาสทางการศึกษา" สร้างโรงเรียนและผลิตครูกระจายออกไปให้มากที่สุด ทยอยเพิ่มการศึกษาภาคบังคับที่ทุกคนต้องได้เรียน จาก ป. 6 เป็น ม.3 และปัจจุบันคือ ม.6 (หรือเทียบเท่า เช่น ปวช. ปี 3 ) เด็กไทยในภาพรวมจึงอยู่ในระบบโรงเรียนถึงอายุ 18 มากขึ้นเรื่อยๆ ตามลำดับ
- แต่ขณะเดียวกันก็ไม่มีรัฐบาลไทยชุดไหนเลยที่สามารถแก้ปัญหา "คุณภาพที่ต่างกันเกินไปของโรงเรียนแต่ละแห่งในประเทศ" ในสังคมไทย คนไทยเราทราบดีว่าสามารถแบ่งคุณภาพโรงเรียนได้เป็น Class ตั้งแต่ S ( โรงเรียนชั้นนำระดับประเทศ ส่วนใหญ่กระจุกตัวในกรุงเทพฯ และมีบ้างที่อยู่ตามเขตอำเภอเมืองของจังหวัดใหญ่ๆ ) A ( โรงเรียนชั้นนำเกรดรองลงมา ส่วนใหญ่อยู่ในกรุงเทพฯ ถ้าเป็นจังหวัดอื่นๆ ก็จะอยู่ในเขตเมือง เช่น เขตอำเภอเมืองอันเป็นศูนย์กลางของจังหวัด หรือเป็นโรงเรียนชั้นนำของอำเภอ ) B ( โรงเรียนทั่วๆ ไป ) และ C ( โรงเรียนขยายโอกาส )
- โรงเรียนไทย S Class กับ A Class ได้รับทรัพยากรทางการศึกษาอย่างมาก ทั้งจากรัฐที่จัดงบประมาณและบุคลากรลงไป และจากผู้ปกครองเด็ก ( ใครจะเรียกแป๊ะเจี๊ยะหรือไม่ก็แล้วแต่ แต่ความเป็นจริงคือโรงเรียนกลุ่มนี้มีวิธีการคัดจนเหลือแค่ถ้าไม่ใช่เด็กยากจนแต่เป็นช้างเผือกหัวกะทิได้ทุน กับเด็กชนชั้นกลาง/ชั้นสูงที่ผู้ปกครองมีกำลังทรัพย์ในระดับหนึ่ง และคนกลุ่มหลังนี่แหละที่เป็นแหล่งรายได้ทางหนึ่งของโรงเรียน ) จึงมีทรัพยากรมากพอ (หรือ ถึงขั้นเหลือเฟือ ) ที่จะทำให้บรรยากาศในโรงเรียนเอื้อต่อการพัฒนาศักยภาพคนไปด้วย เด็กทีอาจไม่ถึงขั้นหัวกะทิ แต่ก็ไม่หัวทึบต่ำกว่าเกณฑ์คนปกติ เมื่อมาเรียนในโรงเรียนกลุ่มนี้มันก็เก่งขึ้นมาได้ระดับหนึ่งเหมือนกัน
- แต่โรงเรียนไทยระดับ B Class อาจจะมีปัจจัยพื้นฐานครบ เช่นครู สื่อการเรียนการสอน แต่ก็ได้แค่ปัจจัยพื้นฐาน และเป็นปัจจัยพื้นฐานที่ไม่ได้มีคุณภาพสูงนักถ้าเทียบกับโรงเรียนระดับ S , A Class ที่พร้อมกว่ามาก ยิ่งโรงเรียนระดับ C Class นี่ไม่ต้องพูดถึง แม้แต่ปัจจัยพื้นฐานอาจจะไม่ครบก็ได้ เช่น มีครูไม่ครบชั้น ไม่มีอินเตอร์เน็ตความเร็วสูง เด็กธรรมดาๆ ไม่ใช่หัวกะทิ และบ้านไม่ค่อยมีฐานะเท่าใดนัก ก็กลายเป็นเด็กคุณภาพไม่ดีได้ เพราะไม่มีโอกาสได้รับการขัดเกลาด้วยระบบและทรัพยากรที่มีคุณภาพสูง อย่างเด็กกลุ่มเดียวกันแต่ฐานะดีกว่าที่มีช่องทางเข้าไปเรียนในโรงเรียน S , A Class
- อย่างไรก็ตามเมื่อไทยเราตัดสินใจใช้นโยบายกวาดเด็กเข้าสุ่ระบบโรงเรียนให้มากที่สุด เด็กจากโรงเรียน B , C Class ย่อมมีสิทธิ์ที่จะเป็นตัวแทนไปสอบ PISA เช่นเดียวกับเด็กโรงเรียน S , A Class แม้คุณภาพโรงเรียนทั้ง 2 กลุ่มจะต่างกันราวฟ้ากับเหว ผลก็คือคะแนนจากเด็กโรงเรียน B , C Class นี่แหละที่ฉุดคะแนนภาพรวมของประเทศให้ต่ำลง ไทยจึงไม่อาจอวดตัวเลขสวยๆ ได้อย่างเวียดนาม
( จริงๆ คะแนน O-Net มันก็ฟ้องทุกปีละ พวก S , A คะแนนจะอยู่หัวตาราง แต่มีเด็กกลุ่มนี้น้อยเมื่อเทียบกับพวก B , C ที่เยอะกว่าแล้วไปกองกันท้ายตาราง ระดับโรงเรียนมันต่างกันเกินไป )
ฉะนั้นผมเลยคิดเล่นๆ ว่า ถ้าเราสามารถส่งเฉพาะเด็กจากโรงเรียน S , A Class ไปสอบ PISA ได้แบบเวียดนาม เผลอๆ เราน่าจะเป็นหัวตารางในระดับโลกได้เลยนะ หรืออย่างน้อยไม่ต่ำกว่ากลางตารางแน่นอน เลยมาตั้งกระทู้นี้นี่ละครับ คิดว่าถ้าไทยทำแบบนี้ได้ เราจะอยุ่ประมาณไหนของโลก?
ปล.ในเว็บ สสวท. เขียนข้อสังเกตไว้เล็กน้อยครับ
"อย่างไรก็ตาม ยังมีแง่มุมอื่น ๆ ที่อาจเพิ่มคำอธิบายส่วนที่เหลือของผลการประเมินที่แตกต่างของนักเรียนเวียดนาม ประการแรก คือ ข้อสังเกตที่เวียดนามมีนักเรียนจำนวนมากที่ออกจากโรงเรียนตั้งแต่จบชั้นประถมศึกษาหรือมัธยมศึกษาตอนต้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มนักเรียนที่ยากจน หรือนักเรียนชนกลุ่มน้อยทางชาติพันธุ์ สถิติอัตราการเรียนต่อของนักเรียนมัธยมศึกษาตอนปลายมีเพียง 60% เท่านั้น (ไทย 98%) และส่วนใหญ่เป็นนักเรียนที่ได้เปรียบกว่าทางวิชาการและทางด้านเศรษฐกิจ ส่วนนักเรียนยากจนมีอัตราการเรียนต่อที่ต่ำ เพราะมีเพียง 20% เท่านั้นที่เรียนต่อในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย (M.I., 2013) จึงชี้ว่านักเรียนที่เรียนต่อชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายส่วนใหญ่เป็นนักเรียนที่มีภูมิหลังทางเศรษฐกิจและสังคมที่ได้เปรียบซึ่งผลการวิจัยชี้ว่า ตัวแปรนี้ส่งผลกระทบทางบวกต่อผลการเรียนรู้ และเนื่องจากนักเรียนอายุ 15 ปี ของเวียดนามศึกษาอยู่ในชั้นปีที่ 10 มีถึง 88% (OECD, 2013b) จึงเป็นที่แน่นอนว่ากลุ่มตัวอย่าง PISA ของเวียดนามถือว่าคัดเลือกมาแล้วโดยอัตโนมัติจากระบบฯ กล่าวคือคัดเลือกมาจากกลุ่มที่มีพื้นฐานที่ได้เปรียบกว่าอยู่แล้วโดยตัวเอง"
ที่มา : https://pisathailand.ipst.ac.th/issue-2016-11/
TonyMao_NK51 (ใช้แทนอมยิ้มที่ถูกแบน )